Today’s NEWS FEED

News Feed

SCB EIC แนวโน้มอุตสาหกรรมการผลิตสีทาอาคาร

100

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (20 ตุลาคม 2568 )-----ปี 2026 มูลค่าตลาดสีทาอาคารมีแนวโน้มหดตัว -2.4%YOY ตามปริมาณการใช้งานที่ลดลง จากภาวะตลาดที่อยู่อาศัยที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ และราคาสีทาอาคารปรับตัวลดลงเล็กน้อย โดยการเปิดโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ ส่งผลให้ปริมาณการใช้งาน และการจำหน่ายสีทาอาคารยังคงลดลงต่อเนื่องจากปี 2025 อย่างไรก็ดี การพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่ยังทรงตัวได้ รวมถึงการปรับปรุงซ่อมแซมอาคาร และที่พักอาศัย จะเป็นปัจจัยที่ช่วยพยุงให้ปริมาณการใช้งานสีทาอาคารในปี 2026 ลดลงไม่มากจากปี 2025 


ตลาดสีทาอาคารในไทยมีการแข่งขันกันด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย ครอบคลุมผู้บริโภคในทุกกลุ่มในตลาด ทั้งนี้แม้ว่าตลาดสีทาอาคารจะเผชิญกับการแข่งขันจากการนำเข้าสีทาอาคารจากจีนมากขึ้น แต่ผู้ผลิตสีทาอาคารในไทยยังสามารถรักษาศักยภาพการแข่งขันได้ดี โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีการผลิตปริมาณมาก และก่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด จะได้เปรียบในการแข่งขันด้านราคา และยังสามารถรักษาอัตรากำไรได้ดีกว่าผู้ผลิตรายกลางและเล็ก อีกทั้ง ยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย ครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภคในตลาด ตั้งแต่กลุ่มผู้ใช้งานสีทาอาคารราคาประหยัดไปจนถึงสินค้าพรีเมียม และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  


การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ จะสร้างความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มโอกาสในการขยายตลาด ทั้งกลุ่มการก่อสร้างภาคเอกชน และกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป แนวโน้มการก่อสร้างภาคเอกชน ในส่วนของการพัฒนาอาคารที่ได้การรับรองมาตรฐานอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะเป็นปัจจัยหนุนความต้องการใช้งานสีทาอาคารที่ตอบโจทย์การอนุรักษ์พลังงานให้ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นในระยะข้างหน้า อีกทั้งผลสำรวจ Residential real estate survey 2025 โดย SCB EIC พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ราว 42% ยังคงมีความยินดีที่จะจ่ายเงินสำหรับซื้อวัสดุก่อสร้างประเภทดังกล่าวเพิ่มขึ้น 1-5% จากวัสดุก่อสร้างแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ สัดส่วนของผู้บริโภคที่ยินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้นในช่วง 6-10% เพิ่มขึ้นเป็น 28% จาก 22% ในผลการสำรวจของปีก่อน สะท้อนความยินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้นสำหรับการซื้อสีทาอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ โดยสีทาอาคารที่ผู้บริโภคมีแนวโน้มให้ความสนใจเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ สีทาภายในแห้งไวที่ปราศจากสารระเหยอินทรีย์ สีทาอาคารที่สามารถล้างทำความสะอาดได้ง่าย สีทาอาคารสะท้อนความร้อนและลดอุณหภูมิภายในอาคาร 



อุตสาหกรรมสีทาอาคารในไทย ส่วนใหญ่ราว 95% ของมูลค่าตลาดเป็นการใช้งานในประเทศ ในขณะที่อีก 5% เป็นการส่งออกไปจำหน่ายยังกลุ่มประเทศ CLMV คือ กัมพูชา, ลาว, เมียนมา และเวียดนาม เป็นหลัก โดยปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความต้องการใช้งานสีทาอาคาร ได้แก่ การขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย และพื้นที่เชิงพาณิชย์ของภาคเอกชน รวมถึงภาคครัวเรือนที่มีความต้องการปรับปรุงและตกแต่งที่พักอาศัย ทั้งนี้อุตสาหกรรมสีทาอาคารในไทยประกอบด้วยผู้เล่นหลัก 8 ราย ทั้งผู้ผลิตสัญชาติไทย และผู้ผลิตต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนตั้งโรงงานในไทยภายใต้แบรนด์ชั้นนำในระดับสากล  โดยมีบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจำนวน 2 ราย ได้แก่ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (TOA) และบริษัท สีเดลต้า จำกัด (มหาชน) (DPAINT)


ตลาดสีทาอาคารในไทยมีการแข่งขันสูงระหว่างผู้ประกอบการหลักในอุตสาหกรรม ทั้งตลาดสีทาอาคารกลุ่มพรีเมียมและสีคุณภาพพิเศษ (Premium & Specialty) เช่น สีกันความร้อน สีต้านเชื้อรา สีปลอดสารพิษ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผู้อยู่อาศัย และสัตว์เลี้ยง ซึ่งมีราคาสูงกว่าสีทาอาคารทั่วไป และเน้นการแข่งขันด้านคุณภาพและนวัตกรรมการผลิต และตลาดสีกลุ่ม Standard & Economy ซึ่งเป็นตลาดทั่วไป ที่เน้นการแข่งขันด้านราคา และความคุ้มค่าเป็นหลัก


 

สำหรับโครงสร้างต้นทุนการผลิตสีทาอาคารส่วนใหญ่ราว 48% ของต้นทุนการผลิตโดยรวม เป็นต้นทุนวัตถุดิบ เช่น สารช่วยยึดและประสานสี (Binder) และเม็ดสี (Pigment) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเคมีภัณฑ์ที่อาศัยการนำเข้าจากต่างประเทศเป็นหลัก และราคาวัตถุดิบดังกล่าวมักมีทิศทางเดียวกันกับการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันโลก ประกอบกับผู้ผลิตสีทาอาคารยังมีต้นทุนพลังงานอีกราว 24% ที่ใช้ในการขนส่ง และพลังงานไฟฟ้าในสายการผลิต สะท้อนความท้าทายในการบริหารจัดการต้นทุนของผู้ผลิตสีทาอาคารที่มีความผันผวนระดับสูง 
ทั้งนี้ช่องทางการจำหน่ายหลักของสินค้าสีทาอาคารของผู้ผลิตราว 65% ของยอดขายรวม ยังคงเป็นร้านค้าปลีกหรือร้านขายวัสดุก่อสร้างทั่วไปที่เป็นตัวแทนจำหน่ายของบริษัทโดยตรง ที่มีการกระจายตัวทั่วประเทศ นอกจากนี้ เป็นการจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern trade) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 25% ของยอดขายรวม และอีกประมาณ 10% เป็นการจำหน่ายผ่านช่องทางการจำหน่ายอื่น ๆ อาทิ การจำหน่ายโดยตรงไปยังผู้รับเหมาก่อสร้าง และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ตามความต้องการใช้งานในภาคก่อสร้าง การจำหน่ายผ่านช่องทาง E-commerce รวมไปถึงการส่งออกไปยังต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ค้าส่งและผู้ค้าปลีกใน CLMV




Industry outlook and trend
ปี 2026 มูลค่าตลาดสีทาอาคารมีแนวโน้มหดตัว -2.4%YOY ลงมาอยู่ที่ระดับ 3.66 หมื่นล้านบาท จากการก่อสร้างภาคเอกชนที่หดตัว ไปตามภาวะตลาดที่อยู่อาศัยที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ ซึ่งกดดันการเปิดโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ปริมาณการใช้งาน และการจำหน่ายสีทาอาคารยังคงลดลงต่อเนื่องจากปี 2025 อย่างไรก็ดี การพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่ยังทรงตัวได้ อาทิ โรงแรม, ศูนย์การค้า รวมถึงการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารและที่พักอาศัย จะเป็นปัจจัยที่ช่วยพยุงให้ปริมาณการใช้งานสีทาอาคารในปี 2026 ลดลงไม่มากจากปี 2025
สำหรับราคาสีทาอาคารในปี 2026 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 100 บาท/ลิตร ปรับตัวลดลงเล็กน้อยต่อเนื่องจากปี 2025 ตามต้นทุนวัตถุดิบสำคัญ และต้นทุนค่าขนส่ง จากทิศทางราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ทั้งนี้ในปี 2026 ยังมีความผันผวนของราคาวัตถุดิบ, ราคาพลังงาน และค่าเงินบาท ซึ่งจะมีผลต่อต้นทุนการผลิต และการขนส่ง นับเป็นความท้าทายที่สำคัญในการรักษาอัตรากำไรของผู้ประกอบการในช่วงที่ปริมาณการใช้งานสีทาอาคาร และราคาสีทาอาคารมีแนวโน้มลดลง


Competitive landscape
ตลาดสีทาอาคารในไทยมีการแข่งขันด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย ผู้ผลิตสีทาอาคารในไทยประกอบด้วยผู้ผลิตหลายรายภายใต้แบรนด์ต่าง ๆ ที่มีการแข่งขันด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย ครอบคลุมความต้องการใช้งานของกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน โดยผู้ผลิตรายใหญ่ที่มีการผลิตปริมาณมากจนเกิดการประหยัดต่อขนาด จะมีความได้เปรียบในการแข่งขันด้านราคา และได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงต้นทุนน้อยกว่าผู้ผลิตรายกลางและเล็ก ทำให้ยังสามารถรักษาอัตรากำไรได้ดีกว่า ท่ามกลางภาวะต้นทุนวัตถุดิบ อาทิ เคมีภัณฑ์ และเรซิน ยังคงผันผวน นอกจากนี้ การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนในกระบวนการผลิต จะยังช่วยลดต้นทุนด้านพลังงาน ซึ่งเป็นต้นทุนที่สำคัญของการผลิตสีทาอาคาร และช่วยรักษาระดับอัตรากำไรได้


ตัวแทนจำหน่ายตามร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมจะยังคงเป็นช่องทางหลักในการจำหน่ายสีทาอาคาร แต่ตลาดสีทาอาคารก็ยังมีโอกาสในการขยายการเข้าถึงผู้บริโภคผ่านช่องทางการจำหน่ายอื่น ๆ อาทิ ร้านโมเดิร์นเทรดที่มีบริการเครื่องผสมสีตามความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย และมีสต็อกสินค้ามาก รวมถึงการจำหน่ายโดยตรงจากบริษัทผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน อีกทั้ง แนวโน้มการจำหน่ายบนแพลตฟอร์ม E-commerce ที่ผู้บริโภคสามารถสร้างประสบการณ์การเลือกเฉดสีจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) และ Augmented Reality (AR) ช่วยทำให้เห็นภาพห้องหรืออาคารก่อนดำเนินการทาสีจริง


อุตสาหกรรมการผลิตสีทาอาคารของไทยยังคงสามารถรักษาศักยภาพในการแข่งขัน แม้ว่าจะมีการนำเข้าสีทาอาคารจากจีนมากขึ้น โดยการนำเข้าสีทาอาคารจากจีนเริ่มมีสัญญาณขยายตัวที่ชัดเจนมาตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2023 ทั้งนี้แม้ว่าจะมีการนำเข้าสีทาอาคารจากจีนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่การผลิตสีทาอาคารในประเทศยังคงรักษาระดับการผลิตไว้ได้ เนื่องจากผู้ผลิตสีทาอาคารรายใหญ่ของไทยมีการผลิตปริมาณมากจนเกิดการประหยัดต่อขนาด ส่งผลให้สามารถแข่งขันด้านราคาได้ อีกทั้ง ผู้ผลิตไทยยังมีการผลิตสีทาอาคารหลากหลายกลุ่มครอบคลุมตั้งแต่กลุ่ม Standard & Economy ไปจนถึงกลุ่มพรีเมียมและสีคุณภาพพิเศษ ทำให้สามารถกระจายตลาดผู้ใช้งานได้หลากหลายกลุ่ม ทั้งนี้ผู้ผลิตสีทาอาคารของไทยยังคงมีความสามารถในการแข่งขันทั้งในประเทศ และต่างประเทศ จากการลงทุนอย่างต่อเนื่องในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี ประกอบกับสีทาอาคารจากจีนที่นำเข้ามาส่วนมากเป็นกลุ่มสินค้าราคาประหยัด และผู้บริโภคส่วนใหญ่ในไทยก็ยังไม่มั่นใจในด้านคุณภาพของสีทาอาคารจากจีน จึงส่งผลให้ผู้ผลิตไทยยังคงสามารถรักษาศักยภาพในการแข่งขันไว้ได้    

การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ จะสร้างความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มโอกาสในการขยายตลาด ทั้งกลุ่มการก่อสร้างภาคเอกชน และกลุ่มผู้บริโภค


แนวโน้มการก่อสร้างภาคเอกชน ในส่วนของการพัฒนาอาคารที่ได้การรับรองมาตรฐานอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน (Building Energy Code : BEC) ที่บังคับใช้กับอาคารขนาดใหญ่ ทั้งที่เป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ อาทิ โรงแรม, ศูนย์การค้า, อาคารสำนักงาน, โรงพยาบาล, สถานศึกษา รวมไปถึงพื้นที่อยู่อาศัยที่เป็นอาคารชุดขนาดใหญ่ตั้งแต่ 2,000 ตารางเมตรขึ้นไป จะเป็นปัจจัยหนุนความต้องการใช้งานสีทาอาคารที่ตอบโจทย์การอนุรักษ์พลังงานให้ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นในระยะข้างหน้า อาทิ สีทาสะท้อนความร้อนและปรับอุณหภูมิภายในอาคารให้ต่ำกว่าการใช้สีทาอาคารทั่วไป ซึ่งจะช่วยลดการทำงานของเครื่องปรับอากาศ รวมถึงการใช้ผลิตภัณฑ์สีทาอาคารที่มีสารอินทรีย์ระเหยง่ายในปริมาณต่ำ (Low-VOCs) ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ด้านสุขภาวะที่สำคัญในการรับรองอาคารเขียวอย่าง LEED ที่เป็นมาตรฐานอาคารเขียวจากสหรัฐอเมริกา และ TREES ที่เป็นมาตรฐานอาคารเขียวของไทย


สำหรับในส่วนของกลุ่มผู้บริโภค พบว่า แนวโน้มการให้ความสำคัญกับการประหยัดพลังงานท่ามกลางสภาวะอากาศที่ร้อนจัด รวมถึงสุขภาพของผู้อยู่อาศัยและสัตว์เลี้ยง ยังส่งผลให้ตลาดวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้รับความสนใจ และขยายตัวต่อเนื่องในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูง สะท้อนจากผลสำรวจ Residential real estate survey 2025 โดย SCB EIC ที่พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ราว 42% ยังคงมีความยินดีที่จะจ่ายเงินสำหรับซื้อวัสดุก่อสร้างประเภทดังกล่าวเพิ่มขึ้น 1-5% จากวัสดุก่อสร้างแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ สัดส่วนของผู้บริโภคที่ยินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้นในช่วง 6-10% เพิ่มขึ้นเป็น 28% จาก 22% ในผลการสำรวจของปีก่อน สะท้อนการยินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้นสำหรับการซื้อสีทาอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ โดยสีทาอาคารที่ผู้บริโภคมีแนวโน้มให้ความสนใจเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ สีทาภายในแห้งไวที่ปราศจากสารระเหยอินทรีย์ (Zero-Volatile Organic Compounds : Zero-VOCs) ที่ไม่ทำลายระบบทางเดินหายใจ หรือสีทาอาคารที่สามารถล้างทำความสะอาดได้ง่าย สีทาอาคารสะท้อนความร้อน ลดอุณหภูมิภายในอาคาร ที่นำไปสู่การประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าในที่พักอาศัย นอกจากนี้ ยังพบว่ากลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ให้ความสนใจสีทาภายในที่ใช้งานง่าย สามารถทาเองได้โดยไม่ต้องจ้างช่างทาสี จากเทรนด์การตกแต่งบ้านด้วยตนเอง (Do It Yourself : DIY)


การที่ผู้ผลิตสีทาอาคารให้ความสำคัญกับการขยายตลาดผลิตภัณฑ์สีทาอาคารเกรดพรีเมียม ทั้งกลุ่มที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ นอกจากจะตอบโจทย์ความต้องการใช้งาน ทั้งกลุ่มการก่อสร้างภาคเอกชน และกลุ่มผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ที่มีความต้องการปรับปรุงซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากการฟื้นตัวช้าของเศรษฐกิจแล้ว ผู้ผลิตสีทาอาคารยังสามารถกำหนดราคาขายผลิตภัณฑ์สีทาอาคารเกรดพรีเมียมได้ในระดับสูง และมีอัตรากำไรที่สูงกว่าสีทาอาคารเกรดทั่วไปอีกด้วย โดยนอกจากตลาดผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพแล้ว ผลิตภัณฑ์สีทาอาคารที่เพิ่มความทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ มีชั้นเนื้อฟิล์มที่ยืดหยุ่นได้สำหรับปิดผิวแตกร้าว ทนต่อความชื้นสูง ก็เป็นสินค้าอีกกลุ่มที่มีศักยภาพ ที่ผู้ผลิตสีทาอาคารสามารถขยายตลาดความต้องการใช้งาน ทั้งกลุ่มการก่อสร้างภาคเอกชน และกลุ่มผู้บริโภคให้กว้างขึ้นได้เช่นกัน

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ATLAS เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันแรก

ATLAS เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันแรก

วอลุ่มเทรดบางตา By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ เช้าวันนี้ ดัชนีฯ ดีดบวก รับข่าวสหรัฐฯ กับจีน ผ่อนคลายระยะสั้นหลัง ประธานาธิบดีโดนัลด์....

มัลติมีเดีย

หุ้นอินไซด์ทอล์ค : รู้จักพื้นฐาน ATLAS เคาะราคาไอพีโอที่ 3 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อ 7-10 ตุลาคมนี้

หุ้นอินไซด์ทอล์ค : รู้จักพื้นฐาน ATLAS เคาะราคาไอพีโอที่ 3 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อ 7-10 ตุลาคมนี้

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้