สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(8 ตุลาคม 2568)----------บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เดินหน้าขับเคลื่อนมาตรการเชิงรุก ขานรับนโยบายของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดภาระค่าครองชีพ และเพิ่มรายได้ให้ประชาชน หรือ Quick Win โดยเฉพาะ การสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย เกษตรกร และ SME ให้เข้าถึงโอกาสทางการตลาดใหม่ ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยการใช้ศักยภาพด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ของไปรษณีย์ไทย ที่มีเครือข่ายครอบคลุมรวมมากกว่า 50,000 จุดทั่วประเทศ และต่างประเทศครอบคลุมกว่า 193 ประเทศ 205 ปลายทางเมืองสำคัญ รวมถึงโอกาส ในการกระจายสินค้าคอมเมิร์ซที่ยังคงเป็นเทรนด์การค้าสำคัญ
ดร. ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า ในฐานะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมขานรับนโยบายของรัฐบาลที่ได้ แถลงมาตรการเร่งด่วน (Quick Win) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี 2568 โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนภาคธุรกิจ รายย่อย เกษตรกร และผู้ประกอบการท้องถิ่นให้สามารถแข่งขันได้ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งภาคการขนส่งและโลจิสติกส์ถือเป็นกลไกสำคัญในการช่วยลดต้นทุน ขยายช่องทางตลาด และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายดังกล่าว ไปรษณีย์ไทยจึงเตรียม ดำเนินมาตรการระยะเร่งด่วน ด้วยการปรับบริการและโครงสร้างราคาที่เอื้อต่อประชาชนและผู้ประกอบการทุกระดับ เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและฟื้นภาคการส่งออกของไทยอย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้
ลดค่าขนส่งทั่วประเทศ ไปรษณีย์ไทยออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซและ ลูกค้าธุรกิจ ด้วย “โปรลับ EMS ส่งด่วน” ที่มอบอัตราค่าบริการพิเศษเฉพาะกลุ่ม เพื่อช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์และ เพิ่มความยืดหยุ่นในการส่งสินค้าให้สอดคล้องกับลักษณะธุรกิจของแต่ละราย โดยผู้ประกอบการสามารถออกแบบรูปแบบบริการได้ตามความต้องการ เช่น ความถี่ในการส่ง ปริมาณพัสดุ หรือพื้นที่จัดส่ง พร้อมระบบบริหารต้นทุนแบบคงที่ในระยะยาว
สนับสนุนมาตรการเฉพาะด้านของหน่วยงานภาครัฐ โดยมีความร่วมมือกับ สภาเกษตรกรแห่งชาติ จัดโปรโมชัน EMS ส่งด่วนผลไม้ ส่ง 3 กก. ราคาเพียง 45 บาท เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการขนส่ง ของเกษตรกร พร้อมด้วยความร่วมมือกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ออกโปรโมชัน EMS ส่งด่วนผลไม้ ส่ง 3 กก. ราคา 48 บาท และยังมีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ที่สนับสนุน กล่องผลไม้และตะกร้า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์ของเกษตรกร พร้อมสนับสนุนเชิงระบบและความร่วมมือแบบบูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้เกษตรกรมั่นใจ ได้ว่าจะยังสามารถส่งออกผลผลิตเข้าสู่ตลาดได้อย่างต่อเนื่องในช่วงปลายปีนี้
หนุนสินค้าชุมชนขึ้นแพลตฟอร์มออนไลน์ ไปรษณีย์ไทยเร่งส่งเสริมให้สินค้า OTOP และ สินค้าชุมชนไทยเข้าสู่แพลตฟอร์ม ThailandPostMart เพื่อเปิดช่องทางจำหน่ายจากท้องถิ่นสู่ตลาดออนไลน์ พร้อมทั้งขยายตลาดไปสู่ผู้บริโภค 23 ประเทศทั่วโลกให้เข้าถึงสินค้าคุณภาพตัวท็อปได้โดยตรงจากผู้ผลิต ทั้งยังเป็นช่องทาง ที่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นและธุรกิจ SME ให้เติบโตไปพร้อมกับโลกยุคดิจิทัล โดยยกระดับมาตรฐาน การคัดเลือกสินค้าให้มีคุณภาพ บริหารระบบโลจิสติกส์แบบครบวงจรตั้งแต่การรับเข้า จัดเก็บ แพ็กจิ้ง ขนส่งที่รวดเร็วและปลอดภัย รวมถึงระบบติดตามสถานะแบบเรียลไทม์ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ทั้งผู้ขายและผู้บริโภคว่า สินค้าจะถูกส่งถึงมืออย่างสมบูรณ์แบบและมีคุณภาพในทุกคำสั่งซื้อ
ขยายตลาดสินค้าสู่ต่างประเทศ ใช้เครือข่ายครอบคลุมกว่า 193 ประเทศ 205 ปลายทาง ในการส่งออกสินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์ SME และสินค้านวัตกรรม พร้อมให้บริการแบบ End-to-End ตั้งแต่ ให้คำปรึกษาการส่งออก จัดทำเอกสารศุลกากร การจัดเก็บและแพ็กกิ้งตามมาตรฐานสากล ไปจนถึงการเลือก บริการขนส่งที่เหมาะสม เช่น EMS World, ePacket และบริการโลจิสติกส์เฉพาะทางตามประเภทสินค้า พร้อมบริการหลังการขายเพื่อสร้างความมั่นใจตลอดเส้นทาง ในขณะเดียวกันไปรษณีย์ไทยยังได้จัดโปรโมชัน “Courier Saver” สำหรับการส่งต่างประเทศ ลดราคาสูงสุดถึง 34% สำหรับปลายทางสหรัฐอเมริกา เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ด้วยต้นทุนที่เข้าถึงได้มากขึ้น
“ไปรษณีย์ไทยเดินหน้ามาตรการครั้งนี้ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน คือการช่วยลดต้นทุนด้านการขนส่งให้กับผู้ประกอบการทุกกลุ่ม พร้อมสร้างเครือข่ายการตลาดที่เข้มแข็งขึ้น ทั้งในมิติภายในประเทศและการเชื่อมต่อ สู่ต่างประเทศ การขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรมนี้จะมีส่วนสำคัญในการเสริมสภาพคล่องและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในทุกระดับ จากศักยภาพเครือข่ายของไปรษณีย์ไทยที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ มีโครงสร้างบริการที่ปรับให้เข้ากับความต้องการของภาคธุรกิจ และความพร้อมในการเชื่อมโยงสินค้าสู่ตลาดโลก อันเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ระบบเศรษฐกิจไทยเดินหน้าไปได้อย่างต่อเนื่อง และสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนต่อทั้งประเทศ”