สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(8 ตุลาคม 2568)----------• มาตรการคนละครึ่งพลัส & เติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อาจหนุนยอดขายค้าปลีกปี 2568 เพิ่มขึ้นอีก 0.3% เป็นโต 3.1% จากเดิมที่คาดว่าจะโต 2.8%
หนึ่งในนโยบายเศรษฐกิจระยะสั้น (Quick Big Win) อย่างมาตรการคนละครึ่งพลัส & เติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เบื้องต้นมีวงเงินราว 66,000 ล้านบาท (การให้เงินประชาชนที่อยู่ในฐานระบบภาษี 9 ล้านคน นอกระบบภาษี 11 ล้านคน และการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13 ล้านคน) ซึ่งจะใช้ได้ในช่วงวันที่ 29 ต.ค. – 31 ธ.ค. 2568 น่าจะช่วยบรรเทาค่าครองชีพของผู้บริโภค และกระตุ้นการใช้จ่ายของธุรกิจค้าปลีกเอสเอ็มอีได้บ้าง โดยมีรายละเอียดดังนี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ อาจหนุนการใช้จ่ายของธุรกิจค้าปลีกในช่วงไตรมาส 4 ปี 2568 เพิ่มขึ้น 0.3%
ผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งคนละครึ่งพลัส & เติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อาจส่งผลให้ยอดขายค้าปลีกในช่วงไตรมาส 4 เพิ่มขึ้นจากเดิมราว 0.3% และภาพรวมทั้งปี 2568 โต 3.1% ขยับขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะโต 2.8% โดยประเมินจากการใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคบนฐานธุรกิจค้าปลีกที่น่าจะเพิ่มราว 0.3 บาท หากผู้บริโภคมีรายได้เพิ่มขึ้น 1 บาท (Marginal propensity to consume: MPC) และภายใต้สมมติฐานการใช้จ่ายของผู้บริโภคเกิดขึ้นภายในในช่วงวันที่ 29 ต.ค. – 31 ธ.ค. 2568 และมีกรอบวงเงินอยู่ที่ราว 66,000 ล้านบาท
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้ยอดขายค้าปลีกเพิ่มขึ้นจำกัด เพราะเป็นการนำเงินที่ได้จากภาครัฐมาใช้จ่ายแทนเงินในส่วนของตัวเอง
ยอดขายค้าปลีกในช่วงไตรมาสสุดท้ายมักเร่งขึ้นจากปัจจัยฤดูกาล ผู้บริโภควางแผนใช้จ่ายช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น เทศกาลคริสต์มาส - ปีใหม่อยู่แล้ว แม้ไม่มีมาตรการฯ โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เช่น อาหาร เครื่องดื่มและของใช้ส่วนตัว ซึ่งมีสัดส่วนยอดขายกว่า 80% ของยอดขายค้าปลีกทั้งหมด (รูปที่ 2) แต่ผลของมาตรการอาจทำให้ผู้บริโภคมีการทยอยซื้อสินค้าดังกล่าวแทนเงินของตัวเอง ขณะที่ภาระและค่าครองชีพยังสูง ดังนั้น แรงหนุนส่วนเพิ่มจากมาตรการคงไม่มากเท่าที่คาดหวัง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจช่วยหนุนบรรยากาศการใช้จ่ายของผู้บริโภคระยะสั้นหรือเฉพาะหน้า แต่ภายหลังสิ้นสุดมาตรการ ธุรกิจค้าปลีกยังเผชิญหลายปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อการเพิ่มยอดขาย
• กำลังซื้อของผู้บริโภคยังไม่ฟื้นตัว สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก (RSI) เดือนกันยายน ยังคงอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 50 ต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9 ของปีนี้ ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจในอีก 3 เดือนข้างหน้า (BSI) แม้ว่าจะขยับขึ้นมาเกินที่ระดับ 50 เพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังถือว่าต่ำกว่าปีก่อน (รูปที่ 3) บ่งชี้ถึงความไม่เชื่อมั่นทางด้านเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังมีอยู่
สอดรับไปกับ ยอดขายค้าปลีกสาขาเดิม (Same Store Sales Growth: SSSG) ในไตรมาสที่ 3/2568 ของผู้ประกอบการบางรายที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย วัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้าน รวมถึงของใช้จำเป็น คาดว่ายังคงมีแนวโน้มหดตัวเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2.0% ต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 2/2568 สะท้อนถึงผลประกอบการที่ยังถูกกดดันจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังอ่อนแรง และใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง
• การแข่งขันยังคงรุนแรงต่อเนื่อง ทั้งจากการแข่งขันกันเองในประเทศที่มีจำนวนผู้ประกอบการกว่า 1.2 ล้านราย เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 1% (หรือเพิ่มขึ้น 13,000 รายต่อปี) อีกทั้งยังต้องแข่งกับสินค้านำเข้าโดยเฉพาะจากจีน ที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากนโยบายการปรับขึ้นภาษีของทรัมป์ ทำให้อาจเห็นการทะลักเข้ามาของสินค้าจีนมากขึ้นสะท้อนจาก ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 ไทยมีมูลค่านำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากจีน 3.6 แสนล้านบาท ขยายตัว 9% หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 42% ของการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งหมด