Today’s NEWS FEED

News Feed

SCB FM มองเงินบาทในระยะสั้นจะเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าหาก US shutdown จบลงเร็ว แต่มองว่าบาทจะยังกลับมาแข็งค่าได้ในระยะต่อไป

120

 

 

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (7 ตุลาคม 2568 )-----กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets: SCB FM) เปิดเผยว่า เงินบาทกลับมาอ่อนค่าลง หลังจากที่แข็งค่าแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 ปีเมื่อช่วงกลางเดือน ก.ย. โดยพบว่าปัจจัยที่เคยหนุนให้บาทแข็งค่า เช่น ราคาทองคำ และดัชนีเงินดอลลาร์ กลับมาเป็นปัจจัยที่ทำให้บาทอ่อนในช่วงนี้ นอกจากนี้ หาก US government shutdown จบลง อาจทำให้บาทอ่อนค่าได้อีก มองกรอบระยะสั้นที่ 32.40-32.90 แต่ในระยะยาวมองบาทกลับมาแข็งค่าได้ แต่ในอัตราที่ไม่มากนัก เนื่องจากปัจจัยด้านแข็งค่า เช่น ส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ และเงินทุนเคลื่อนย้าย จะถูกชดเชยด้วยปัจจัยด้านอ่อนค่า เช่น ความอ่อนแอของเศรษฐกิจไทย และมาตรการรัฐ โดยมองกรอบเงินบาทปลายปีที่ราว 31.25-32.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

นายแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่าเงินบาทในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมากลับอ่อนค่าลง หลังจากที่แข็งค่าแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 ปีเมื่อช่วงกลางเดือน ก.ย. โดยปัจจัยที่ทำให้บาทกลับมาอ่อนค่าลงมาจาก 1) ดัชนีเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่า หลังเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ บางตัวออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด โดยถึงแม้เลข Nonfarm payrolls จะถูกเลื่อนการเผยแพร่ออกไปจาก US government shutdown แต่ยอดค้าปลีก ผลผลิตอุตสาหกรรม และการบริโภคเอกชนของสหรัฐฯ ยังออกมาดี 2แม้ราคาทองคำจะปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่ความสัมพันธ์ของราคาทองคำกับเงินบาทสัปดาห์ที่ผ่านมาเปลี่ยนไป โดยราคาทองคำสูงขึ้นแต่เงินบาทอ่อนค่า เพราะที่ผ่านมาผู้ค้าทองคำได้ขายทองเพื่อทำกำไรไปมากแล้ว กอปรกับมุมมองว่าราคาทองคำอาจสูงขึ้นอีกได้ ทำให้มีอุปสงค์ซื้อทองคำเพิ่มในตลาด offshore จึงมีการแลกเงินบาทเป็นดอลลาร์ กดดันบาทอ่อน และ 3เลขเศรษฐกิจไทยยังอ่อนแอ โดยการส่งออกเดือน ส.ค. ชะลอลงแรง ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดไทยกลับมาขาดดุลอีกครั้ง นอกจากนี้ เงินเฟ้อทั่วไปยังติดลบต่อเนื่องและมากกว่าที่ตลาดคาด

ปัจจัยเรื่องการปิดทำการของภาครัฐสหรัฐฯ (US government shutdown) ก็ส่งผลต่อเงินบาทในระยะสั้นเช่นกัน โดยหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณได้ ทำให้หน่วยงานรัฐบาลตกอยู่ในภาวะปิดทำการ ซึ่งทางทีมงานได้ย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ US government shutdown ในอดีต และพบว่า การปิดทำการของภาครัฐส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงโดยเฉลี่ย และพบอีกว่ายิ่งการปิดทำการลากยาวเท่าไหร่ ยิ่งส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงมากขึ้น ซึ่งในปี 2018 ที่เกิดการ Shutdown ถึง 1 เดือน ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงสูงสุดเกือบ 2% อย่างไรก็ดี ในเดือนตุลาคมนี้ พบว่าดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐยังไม่อ่อนค่าลงมากนัก และล่าสุดเริ่มเห็นสัญญาณที่พรรค Republican และพรรค Democrat อาจกลับมาเจรจาเพื่อให้รัฐเปิดทำการได้ โดย Trump เริ่มมีท่าทีผ่อนปรนขึ้น และกล่าวว่าหาก Democrat ยอมโหวตให้ร่างงบประมาณผ่านได้ จะเจรจาเรื่องเงินอุดหนุนด้านสาธารณสุขซึ่งเป็นประเด็นที่ Democrat เรียกร้อง ดังนั้นหากสถานการณ์ดีขึ้น ดัชนีเงินดอลลาร์อาจปรับสูงขึ้นอีกได้ ทำให้บาทอาจอ่อนค่าต่อได้ในระยะสั้น โดยมองกรอบที่ราว 32.40-32.90

สำหรับในระยะยาว มองว่าเงินบาทอาจจะกลับมาแข็งค่าได้อีก เนื่องจาก 1ส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ และประเทศอื่นที่จะแคบลง เพราะ Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ และอีกอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงต้นปีหน้า ขณะที่ธนาคารกลางหลักอื่นจะลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่า จึงทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์มีโอกาสอ่อนค่าลงอีกได้ 2สกุลเงินหลักอื่น เช่น ยูโร อาจแข็งค่าต่อ ตามมาตรการสนับสนุนของภาครัฐที่คาดว่าจะมีการใช้จ่ายและลงทุนมากขึ้นในระยะข้างหน้า ซึ่งจะช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปด้วย 3แม้นักลงทุนโลกจะกลับมาลงทุนในสินทรัพย์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น แต่พบว่าทำผ่าน FX-hedging ส่งผลให้เงินดอลลาร์จะไม่แข็งค่า นอกจากนี้ คาดว่า Hedging cost จะมีแนวโน้มถูกลงตามส่วนต่างดอกเบี้ยที่แคบลง จึงทำให้คาดได้ว่าอาจมีการทำ Hedging เพิ่มขึ้นต่อไปได้ และ 4) แนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายยังอาจไหลเข้า EM-Asia ต่อได้ เนื่องจากคาดว่าเงินเฟ้อในเอเชียจะยังต่ำ ขณะที่ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจในระยะข้างหน้ายังสูง จึงมองว่ามีโอกาสที่ธนาคารกลางในเอเชียจะลดดอกเบี้ยต่อได้ ซึ่งจะดึงดูดให้เงินทุนไหลเข้าในภูมิภาค

อย่างไรก็ดี การแข็งค่าของเงินบาทจะไม่มากนัก เนื่องจากจะมีปัจจัยด้านอ่อนค่าเข้ามาประคองมากขึ้น คือ 1เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอลง โดยเฉพาะภาคการส่งออกจากผลของ Tariffs 2ความกังวลเรื่อง Credit rating ของไทยที่อาจทำให้ความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์ไทยลดลง 3การเมืองและการคลังในต่างประเทศ (เช่น ยุโรป และญี่ปุ่น) อาจทำให้สกุลเงินเหล่านั้นอ่อนค่า และดันให้เงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าตามในบางช่วง และ 4การออกมาตรการของภาครัฐ เพื่อควบคุมเงินทุนที่ไหลเข้าไทย จึงอาจช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาทอีกด้วย

นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา เงินยูโรและเงินเยนปรับอ่อนค่าลงจากประเด็นทางการเมือง ซึ่งเป็นจังหวะให้ลูกค้านำเข้าที่ต้องการซื้อสกุลเงินดังกล่าวได้ถูกลง โดยเงินเยนอ่อนค่าหลังนาง Sanae Takaichi ชนะเลือกตั้งหัวหน้าพรรค LDP ญี่ปุ่น ซึ่ง Takaichi มีนโยบายที่เน้นการใช้จ่ายภาครัฐ และกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการเทขาย (Sell-off) ในตลาดบอนด์ ส่งผลให้ Government bond yields ของญี่ปุ่นสูงขึ้น และเงินเยนอ่อนค่า ส่วนเงินยูโรก็อ่อนค่าลงหลังนาย Lecornu นายกฯ ฝรั่งเศสลาออกจากตำแหน่ง เพราะเผชิญแรงต่อต้านจากฝ่ายค้าน และมีความเสี่ยงที่จะแพ้ในการอภิปราย Confidence vote ทำให้การเมืองฝรั่งเศสยังเผชิญ Deadlock ส่งผลให้เกิดการเทขายสินทรัพย์ฝรั่งเศส Yields สูงขึ้น และเงินยูโรอ่อนค่า สำหรับในระยะต่อไป นายวชิรวัฒน์มองว่าแรงกดดันด้านอ่อนค่าจะยังมีต่อในระยะสั้น และเงินเยนอาจกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ในปีหน้า หากธนาคารกลางญี่ปุ่นส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย ส่วนเงินยูโรอาจกลับมาสู่เทรนด์แข็งค่าต่อได้ในไตรมาส 4 ปีนี้ ตามแนวโมการใช้จ่ายภาครัฐของกลุ่มประเทศยุโรปที่จะสนับสนุนเศรษฐกิจในภูมิภาค

สำหรับมุมมองอัตราดอกเบี้ยไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Government bond yields) เดือนที่ผ่านมาลดลงตามมุมมองการลดดอกเบี้ยของ กนง. โดยเงินเฟ้อไทยยังออกมาติดลบต่อเนื่อง หนุนให้ตลาดมองว่ามีโอกาสราว 70% ที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้ (ต.ค.) และอาจลดอีก 1 ครั้งในช่วงปลายไตรมาส 1 ปีหน้า นอกจากนี้ ด้วย Yields ของไทยที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูงกว่า Yields ของประเทศอื่นในภูมิภาค จึงทำให้มี Correction ปรับลดลงมาด้วย

กนง. จะคงดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ต.ค. นี้ที่ 1.50% เนื่องจาก 1ภาวะการเงินไทยเริ่มกลับมาผ่อนคลายขึ้นบ้าง โดยที่ผ่านมา กนง. กังวลเรื่องภาวะการเงินมากขึ้น แต่ล่าสุดพบว่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่า ดัชนีตลาดหุ้นสูงขึ้น และการระดมทุนผ่านบอนด์เพิ่มขึ้น ทำให้ภาวะการเงินไทยผ่อนคลายลง ลดความกดดันต่อ กนง. และ 2กนง. อาจต้องการเก็บ Policy space ไว้ เนื่องจากในช่วงที่เหลือของปีต่อเนื่องถึงปีหน้า เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงหลายด้าน ทำให้เศรษฐกิจอาจชะลอลงอีก กนง. จึงอาจต้องการลดดอกเบี้ยในช่วงที่มีความจำเป็นมากขึ้นหลังจากนี้ ทั้งนี้ นายวชิรวัฒน์คาดว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. ปีนี้ และอีกครั้งในช่วงต้นปีหน้า ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายจะลงไปที่ 1.00% เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจไทยจะอ่อนแอต่อเนื่อง ทั้งจากภาคส่งออก การจ้างงาน การบริโภคที่ชะลอลงพร้อมการลงทุนภาคเอกชน จึงทำให้ กนง. จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยในที่สุด

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

กลุ่มอีเลคฯ ดันตลาดฯ By : แม่มดน้อย

เช้านี้ ตลาดหุ้นไทย ดีดขึ้นแรง กลับมายืน1300 จุด ด้วยแรงซื้อหุ้นกลุ่มอีเลคโทรนิคส์ ดันตลาด ประกอบกับเก็งข่าวประชุม...

ONSENS เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันแรก

ONSENS เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันแรก

มัลติมีเดีย

หุ้นอินไซด์ทอล์ค : รู้จักพื้นฐาน ATLAS เคาะราคาไอพีโอที่ 3 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อ 7-10 ตุลาคมนี้

หุ้นอินไซด์ทอล์ค : รู้จักพื้นฐาน ATLAS เคาะราคาไอพีโอที่ 3 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อ 7-10 ตุลาคมนี้

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้