Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

96

 


ภาพตลาดและแนวโน้ม Market wrap & Outlook

แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ

อัปเดตแนวโน้มตลาดหุ้นโลกและทองคำ
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกยังคงเป็นบวกอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนี MSCI ทั้งในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (DM) และตลาดเกิดใหม่ (EM) ต่างปรับตัวสูงขึ้น 1.4% และ 3.6% ตามลำดับ ส่งผลให้ดัชนีภาพรวม MSCI ACWI ปิดบวกที่ 1.7% แม้ว่าเครื่องชี้วัด Momentum Tracker จะเข้าสู่ภาวะ Overbought แล้วก็ตาม
ขณะเดียวกัน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในยุโรปได้กระตุ้นแรงซื้อในกลุ่มสินทรัพย์ปลอดภัย ทำให้ราคาเงินและทองคำทะยานขึ้น 4.2% และ 3.4% สวนทางกับราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ร่วงลงถึง 7.4% จากความกังวลด้านอุปทานส่วนเกิน
สำหรับตลาดในประเทศ ตลาดหุ้นไทยสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ 1.2% โดยมีแรงซื้อกระจุกตัวเด่นชัดในหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มขนส่ง


ประเด็นสำคัญในต่างประเทศที่น่าสนใจ
ดัชนี ISM Services PMI ของสหรัฐฯ ลดลงสู่ระดับ 50 ในเดือนกันยายน 2025 จาก 52 ในเดือนก่อนหน้า ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 51.7 สะท้อนว่าภาคบริการ ซึ่งเป็นหัวใจของเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ช่วงชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด หลังจากขยายตัวต่อเนื่องมาหลายเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้คำสั่งซื้อใหม่และสินค้าคงคลังอ่อนตัวลงพร้อมกัน (50.4 และ 47.8 เทียบกับ 56 และ 53.2 ตามลำดับ) สะท้อนแรงส่งของอุปสงค์ที่เริ่มอ่อนกำลังลงอย่างมีนัยสำคัญ
ด้านแรงงานยังคงเป็นจุดอ่อนสำคัญของภาคบริการ โดยดัชนีการจ้างงานอยู่ในภาวะหดตัวต่อเนื่องที่ 47.2 แม้ปรับดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า (46.5) ปัญหาการหาพนักงานที่มีทักษะเหมาะสมยังเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของภาคนี้ ขณะที่แรงกดดันด้านราคากลับเพิ่มขึ้น โดยดัชนีราคาพุ่งขึ้นแตะ 69.4 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดอันดับสองนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2022 บ่งชี้ว่าต้นทุนบริการยังคงอยู่ในระดับสูงแม้เศรษฐกิจโดยรวมจะชะลอตัว นอกจากนี้ ดัชนีการส่งมอบสินค้าจากซัพพลายเออร์ที่เพิ่มขึ้นเป็น 52.6 ยังสะท้อนถึงความล่าช้าในการจัดส่งมากที่สุดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งอาจเป็นผลจากปัญหาห่วงโซ่อุปทานในบางหมวดบริการ
ในอีกด้านหนึ่ง ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ส่งสัญญาณฟื้นตัวเล็กน้อย โดยดัชนี ISM Manufacturing PMI ปรับขึ้นสู่ 49.1 จาก 48.7 สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ และถือเป็นระดับที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบการชะลอตัวครั้งนี้ การฟื้นตัวของการผลิต (51.0 จาก 47.8) สะท้อนว่าภาคอุตสาหกรรมอาจเริ่มผ่านพ้นจุดต่ำสุด แม้ว่าคำสั่งซื้อใหม่จะอ่อนตัวลงและการจ้างงานยังอยู่ในภาวะหดตัว (45.3 จาก 43.8)


Implication:
ภาพรวมของดัชนี ISM ทั้งสองภาคสะท้อนชัดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระยะชะลอตัว แต่ลักษณะของการชะลอตัวมีแนวโน้มเป็นแบบ rolling recession มากกว่าจะนำไปสู่ hard landing สัญญาณฟื้นตัวในภาคการผลิตถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ หากแนวโน้มนี้ต่อเนื่อง มีโอกาสสูงที่ภาคการผลิตจะกลับเข้าสู่โหมดขยายตัวได้ในช่วงปลายไตรมาส 1 ปี 2026 ขณะที่ภาคบริการ แม้จะยังอยู่ในช่วงชะลอตัว แต่โดยธรรมชาติแล้ว วัฏจักรการชะลอตัวของภาคบริการมัก สั้นกว่าและฟื้นตัวเร็วกว่า จึงยังสามารถประคองภาพรวมเศรษฐกิจไม่ให้ถดถอยรุนแรง ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า สหรัฐฯ น่าจะกำลังเข้าสู่ช่วง mild slowdown มากกว่าภาวะถดถอยอย่างรุนแรง ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานของเราที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเคลื่อนผ่านจุดต่ำสุดของรอบเศรษฐกิจแล้วในปีนี้ และจะค่อยๆ ฟื้นตัวในปีหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในไตรมาส 2/2026 เป็นต้นไป

แนวโน้มราคาสินทรัพย์ต่างๆ ในสัปดาห์นี้

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สามารถปรับตัวขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง สวนกระแสปัจจัยกดดันหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นภาวะ Overbought ของดัชนีหลักทั้งสาม (S&P500, Nasdaq100 และ Russell2000) หรือความเสี่ยงจาก Government Shutdown ก็ตาม ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงพลังของสภาพคล่องที่ยังคงหนาแน่นในระบบการเงิน ประกอบกับความเชื่อมั่นต่อการเติบโตของเทคโนโลยี AI ที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่เลือกที่จะมองข้ามปัจจัยลบระยะสั้น และมุ่งความสนใจไปยังศักยภาพการเติบโตในระยะกลาง
สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์นี้ แม้ตลาดยังคงมีโอกาสไต่ระดับขึ้นสู่จุดสูงสุดใหม่ได้อีกครั้ง แต่คาดว่าจะต้องเผชิญกับความผันผวนที่เพิ่มสูงขึ้นระหว่างการซื้อขาย ดังนั้น กลยุทธ์ที่เหมาะสมจึงควรเน้นการทยอยเข้าสะสมเมื่อราคาย่อตัว แทนการลงทุนด้วยเงินก้อนใหญ่ในครั้งเดียว (Lump Sum) ซึ่งยากต่อการบริหารความเสี่ยงในสภาวะตลาดที่มีแรงเหวี่ยงสูง ในขณะเดียวกัน การรอคอยให้ตลาดปรับฐานลึกก็อาจทำให้พลาดโอกาสสร้างผลตอบแทนในช่วงตลาดกระทิงได้ ด้วยเหตุนี้ การลงทุนแบบทยอยสะสม หรือ DCA จึงยังคงเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพสำหรับรอบการลงทุนในอีก 1–2 ปีข้างหน้า


อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ในระยะสั้น แต่คาดว่าการปรับขึ้นจะเริ่มจำกัด เมื่อเข้าใกล้กรอบแนวต้านสำคัญทางเทคนิคที่ระดับ 4.2-4.3% ซึ่งเป็นบริเวณที่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ EMA 50 วัน และ EMA 200 วัน และน่าจะกระตุ้นให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาด
ปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนแนวโน้มนี้ มาจากสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจและตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะปรากฏชัดเจนขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 2025 ซึ่งจะเป็นเหตุผลสำคัญให้ Fed ดำเนินนโยบายลดอัตราดอกเบี้ยต่อไป
ดังนั้น เราจึงยังคงมุมมองเดิมว่าในภาพรวม Yield พันธบัตรอายุ 10 ปี มีแนวโน้มที่จะทยอยปรับฐานลง โดยคาดว่าจะได้เห็นการอ่อนตัวลงไปทดสอบแนวรับสำคัญที่ระดับ 3.9% ภายในไตรมาส 4 ปี 2025 ตามแรงซื้อที่ค่อยๆ กลับคืนสู่ตลาด

ราคาทองคำ (Gold Spot) ยังคงแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากความตึงเครียดในยุโรป ทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาอย่างรวดเร็วหลังเผชิญแรงขายทำกำไรบริเวณ 3,880 ดอลลาร์ อย่างไรก็ดี แม้ราคาจะทะลุแนวต้านขึ้นมาได้ แต่สัญญาณทางเทคนิคที่ร้อนแรงอาจกดดันให้เกิดแรงขายทำกำไรได้ทุกเมื่อ
ดังนั้น กลยุทธ์สำหรับนักลงทุนระยะสั้นแนะนำให้ ขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัว และรอซื้อคืนเมื่อราคาย่อตัว ส่วนนักลงทุนระยะยาวยังควรรอจังหวะทยอยสะสมในช่วงที่ราคาปรับฐาน โดยเรายังคงเป้าหมายระยะยาวในปี 2028 ไว้ที่ 5,000 ดอลลาร์
หมายเหตุ: สัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มีการรายงานข้อมูลจากคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า (CFTC) เนื่องจากผลกระทบของ Government shutdown

มติของกลุ่ม OPEC+ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่จะปรับเพิ่มกำลังการผลิตในระดับเล็กน้อยเพียง 137,000 บาร์เรลต่อวัน (เริ่มเดือนพฤศจิกายน 2025) ได้ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากช่วยคลายความกังวลของตลาดเกี่ยวกับภาวะอุปทานล้นตลาด อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอุปสงค์ที่ชะลอตัวจะยังคงเป็นปัจจัยกดดันสำคัญที่จำกัดกรอบการฟื้นตัวในระยะสั้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในกรอบแคบต่อไป

ดัชนี SET มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,250–1,320 จุด เพื่อสร้างฐานต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนหน้า และแม้ว่าในภาพรวมของ Momentum Tracker จะยังไม่บ่งชี้ถึงภาวะ Overbought เมื่อเทียบกับดัชนี MSCI EM แต่หากพิจารณาในรายอุตสาหกรรม จะพบว่าแรงส่งของหุ้นหลายกลุ่มเริ่มอ่อนกำลังลง หลังจากที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างร้อนแรงตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์เช่นนี้บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นไทยจำเป็นต้องใช้เวลาพักฐาน เพื่อสะสมพลังและสร้างเสถียรภาพสำหรับการปรับตัวขึ้นในระยะถัดไป
Quant Focus List (สัปดาห์นี้):
Commerce: COM7, CPALL, CPAXT
Electronics: DELTA
Food: ICHI, ITC
ICT: TRUE
Transportation: AOT


สรุปภาพตลาดวานนี้
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้นไทยยังรักษา Momentum ขารีบาวด์ได้ โดย DELTA AOT TRUE KTB TISCO กอดคอกันดันหุ้นไว้ สู้กับแรงขายในกลุ่มอื่น โดยเฉพาะ ปิโตรเคมี

แนวโน้มตลาดวันนี้
พร้อมบิน
ตลาดหุ้นสัปดาห์ที่แล้วน่าจะเสร็จสิ้นการปรับฐาน (อีกครั้ง!) หลังจากย่อลงมาที่โซน 1270 จุด และรีบาวด์กลับขึ้นมาได้(อีกครั้ง) แม้จะมีประเด็นข่าวด้านลบ กดดันภาวะการลงทุนโดยรวม เช่น รัฐบาลสหรัฐฯเผชิญภาวะปิดทำการรอบใหม่ (Government shut down), แนวทางกำกับราคายารักษา รพ.ในประเทศ ด้านราคาน้ำมันปรับฐานกังวลโอเปกเพิ่มกำลังผลิต สวนทางราคาทองคำที่เดินหน้าบวกแรงต่อเนื่อง กลายเป็นประเด็นถ่วงราคาหุ้นพลังงานในตลาดหุ้นไทย
แต่เราสังเกตพบแรงขายทำกำไรจาก ปัจจัยถ่วงดังกล่าว ยังไม่หนักหน่วง จนน่าเป็นกังวล และพบว่าตลาดหุ้นไทยสามารถไต่ระดับขึ้นมาจากโซนแนวรับได้ หลังรับ”ข่าวลบ” ด้วยโมเมนตั้มตลาดที่เราคาดว่าจะ Sideways up กรอบ 1,280-1305 จุด ตามคงมุมมองเดิม ที่เพิ่มเติมคือ...
“สภาพคล่อง” คาดควรจะกลับมาเพิ่มขึ้น และ หนุนตลาดหุ้นไทย จากความมั่งคั่งโดยรวมในตลาดผ่าน...หุ้น IPO-เมื่อเข้าเทรดแล้วได้กำไรจากราคาจอง ขณะที่เงินกำไรมีแนวโน้มจะหมุนอยู่ตลาดหุ้นไทยต่อ และ หุ้นไทยหลายตัวปีนี้ปรับขึ้นได้ดีกว่าที่ผ่านมาทำให้ นลท.เริ่มพ้นต้นทุนที่ติดเคยติดหุ้น และตราบใดที่ยังไม่เสียแนวโน้มขาขึ้นรอบนี้ เราเชื่อว่าแรงขายทำกำไรจะยังไม่รุนแรงพอกดดันให้ตลาดหุ้นไทยปรับฐานแรง จนหลุด 1240 จุด ซึ่งเป็นระดับต้นทุนของ นลท.ที่เล่นรอบมาสำหรับรอบ 4 เดือนนี้ (หรือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 75 วัน)

ประเด็นในระยะสัปดาห์ โฟกัสที่ การประชุม “กนง. 8 ต.ค.” ตลาดคาดคงดอกเบี้ยที่ 1.5% คาดหนุนราคาหุ้นธนาคารรีบาวด์ หลังปรับฐานลงมาตลอดเดือน ก.ย.
ด้านหุ้นลบกระทบอุทกภัยในประเทศ ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ผลกระทบต่อ หุ้นเชื่อมโยงเศรษฐกิจฐานราก และปศุสัตว์ เช่น CPF BTG MTC SAWAD

กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้-สะสมหุ้นเมื่อราคาย่อลงมาตามแนวรับ เน้นไปที่หุ้นผลตอบแทนเงินปันผลสูง, หุ้นที่มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไร และ เพิ่มการเล่นหุ้นตามกระแสการเก็งกำไร

วิเคราะห์ทางเทคนิค
SET Index กำลังไต่ขึ้นสู่บันไดขั้น 3 “Impulse wave 3” ภายหลังทำทรง Price Pattern “Double bottom” คล้ายรอบที่ผ่านมา (ดัขนีขึ้นจาก 1,230-1312 จุด +5.5%) นอกจากนี้ยังผ่านด่านหินเส้น EMA 200 วัน 1,250 จุด… สำเร็จไปแล้ว! ขณะที่โมเมนตัม RSI ค่าวัดพลัง เริ่มช้อนขึ้น ทะลุเส้น signal สูงกว่า level 50 บ่งชี้ภาวะความแข็งแกร่ง ภาพรวมหุ้นขึ้นแบบกระจายตัว (ไม่กระจุกตัวเหมือนครั้งก่อน) จับตาวอลุ่มเริ่มสูงขึ้นนิดๆ น่าจะส่งผลให้สัปดาห์นี้ดัชนีมีโอกาสทะลุผ่าน 1,300 จุด ไม่ยาก! เป้าหมายเส้นชัยปักธงไว้ที่ 1,330 จุดเหมือนเดิม กรณี “bull case” มองไปถึง 1,400 จุด หากดัชนีย่อใกล้ๆแนวรับ 1,280 จุด (EMA 25 วัน) แนะเป็นจังหวะช้อนซื้อ ส่วนเงื่อนไขผิดทาง Trailing stop ห้ามหลุด low ต่ำกว่า 1,270 จุด
ไฮไลท์หุ้นเด่น: AOT take off….สำเร็จ! ตามแผน/ TRUE เตรียมตัวทะลุ EMA 200 วัน/ CPALL ซิกแซกสู่กรอบบน/ KTC A Cup with Handle…..แม่นยำ/ GULF อยู่ที่ฐานโซนรับ & divergence เล็กๆ …..ติดตามแผนเทรดในหน้าถัดไป


What to watch
อุตสาหกรรมกุ้งอินโดฯกระทบหนัก หลังสหรัฐตรวจพบปนเปื้อนรังสี สมาคมผู้เลี้ยงกุ้งอินโดนีเซียเปิดเผยว่า อุตสาหกรรมกุ้งของอินโดนีเซียกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก หลังจากมีการตรวจพบการปนเปื้อนของสารกัมมันตรังสีในกุ้งล็อตหนึ่งที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐ
ในปี 2567 อินโดนีเซียส่งออกกุ้งราว 215,000 ตัน มูลค่า 1.7 พันล้านดอลลาร์ โดยมีสหรัฐเป็นตลาดหลัก คิดเป็น 63.7% ของการส่งออกทั้งหมด รองลงมาคือญี่ปุ่น (โอกาสผู้ส่งออก กุ้งจากประเทศไทย TU CFRESH)
จับตา "พาวเวล" กล่าวสุนทรพจน์ หาสัญญาณทิศทางดอกเบี้ย,ศก.สหรัฐ กำหนดกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมว่าด้วยธนาคารชุมชนที่กรุงวอชิงตัน ดีซี ในวันที่ 9 ต.ค. เวลา 08.30 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 19.30 น.ตามเวลาไทย
นักลงทุนเทน้ำหนักเกือบ 100% ต่อคาดการณ์ที่ว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ ซึ่งจะเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ของเฟดในปีนี้ หลังสหรัฐเผชิญภาวะปิดหน่วยงานรัฐบาล หรือชัตดาวน์ รวมทั้งการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่อ่อนแอในภาคเอกชนสหรัฐ
FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 99.9% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนต.ค.
นอกจากนี้ นักลงทุนให้น้ำหนัก 89.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมเดือนธ.ค.
ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าการชัตดาวน์ในรอบนี้จะกินเวลานานเพียงใด หลังจากที่ ปธน.ทรัมป์เคยสร้างสถิติชัตดาวน์นานถึง 35 วันในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ซึ่งเป็นระยะเวลาชัตดาวน์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ ท่ามกลางความขัดแย้งเกี่ยวกับการสร้างกำแพงกั้นแนวชายแดนระหว่างสหรัฐและเม็กซิโก ซึ่งจบลงด้วยการที่สภาคองเกรสยอมผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว โดยแลกกับการที่งบประมาณฉบับดังกล่าวไม่มีการตั้งวงเงินสำหรับการสร้างกำแพงตามที่ปธน.ทรัมป์เรียกร้อง

หุ้นแนะนำวันนี้
AAV BLS Research ออกรายงาน Upgrade และเป็นหุ้นแนะนำ Idea call รอบนี้ (ติดตามประชุม ครม. มีลุ้นมาตรการสนับสนุนการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ เช่น เที่ยวเมืองรองลดหย่อนภาษี 2x ฯลฯ)
แนวรับ 1.24 ต้าน 1.4 Stop loss 1.1

Tactical port ถอด BH เพิ่ม AAV

 


รายงานพื้นฐานวันนี้

Commerce (Retail) Sector
ยอดขายใกล้ต่ำสุด ก่อนกระตุ้นกลับใน 4Q25
ยอดขายสาขาเดิม (SSS) กลุ่มค้าปลีก (ไม่รวม IT Retail) เดือน ก.ย. หดตัว 3% YoY (ส.ค. -2%) จากกำลังซื้อที่ยังอ่อน หนี้ครัวเรือนสูง รายได้เกษตรลด และฝนตกหนักกดดันทราฟฟิกในห้าง ขณะฐานปีก่อนสูงจากเงินแจก 1 หมื่นบาทให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการ อย่างไรก็ตาม SSS มีแนวโน้มแตะจุดต่ำสุดแล้ว โดย CPALL และ CPAXT ยังทรงตัว YoY ได้ดีจากสินค้าจำเป็น ส่วน BJC ลดลง 4% และ DOHOME อ่อนสุด (-12%) ขณะที่ ILM ยังโดดเด่น +2% จากดีไซน์สินค้าใหม่
ใน 3Q25 คาด SSS รวมจะลดลงราว 2% YoY (ดีขึ้นจาก -5% ใน 2Q25) โดยหมวด HD&C ยังอ่อนสุด (-4%) ส่วน Grocery ลดลงเพียง 1% จากดีมานด์อาหารที่มั่นคง คาดกำไรหลักรวมของกลุ่มอยู่ที่ 17.5 พันล้านบาท (+1% YoY, -5% QoQ) โดยได้แรงหนุนจาก GM ที่ดีขึ้นและ SG&A ควบคุมได้ดี ILM โตเด่นสุดตามด้วย CPALL จากส่วนผสมกลุ่มอาหารและซินเนอร์จีของ CPAXT ขณะที่ DOHOME, CRC และ HMPRO ยังอ่อนตามกำลังซื้อ
มองไปข้างหน้า 4Q25 คาดยอดขายจะฟื้นจากมาตรการกระตุ้น เช่น “คนละครึ่ง พลัส”, “Easy e-Receipt” (หากเกิดทันไตรมาสนี้) และ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ซึ่งคาดช่วยเพิ่ม GDP 0.2–0.4% และหนุน SSS ขึ้นอีก 0.8–1.6% โดย CPAXT จะได้อานิสงส์มากสุดจากสัดส่วนสินค้าอาหารสูง รองลงมาคือ BJC และ CRC ส่วน CPALLได้ผ่านการถือหุ้นของ CPAXT หากการเบิกจ่ายเกิดกลางไตรมาส ยอดขายปลายปีจะเร่งขึ้นชัด
Fundamental view: การบริโภคใกล้ผ่านจุดต่ำสุด 3Q25 ถือเป็นช่วงฐานต่ำ ก่อนจะเห็นการฟื้นตัวใน 4Q25 จากแรงกระตุ้นเศรษฐกิจและฤดูกาล CPAXT และ CPALL ได้ประโยชน์สูงในกลุ่ม ขณะที่ ILM ยังเติบโตได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม

 

Property Sector
คอนโดกลับมานำยอดขายฟื้น
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวใน 3Q25 หลังจากยอดขายอ่อนตัวในไตรมาสก่อน โดยมียอดขาย (Presales) รวมอยู่ที่ประมาณ 4.47 หมื่นล้านบาท ทรงตัว YoY (ไม่ลงแล้ว) แต่ฟื้นตัวถึง 34% QoQ โดยแรงหนุนหลักมาจากตลาดคอนโดมิเนียมซึ่งกลับมาฟื้นตัวชัดเจน ยอดขายคอนโดคิดเป็น 34% ของทั้งหมด เพิ่มขึ้น 194% QoQ (และ 1% YoY) จากการเปิดโครงการใหม่จำนวนมาก และบรรยากาศตลาดที่ดีขึ้นหลังแผ่นดินไหว
ในแง่บริษัท SPALI เป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุด มียอดขาย 8.6 พันล้านบาท (+28% YoY, +68% QoQ) จากทั้งคอนโดและแนวราบ ขณะที่ AP ทำได้ 1.24 หมื่นล้านบาท หนุนโดยโครงการ Life Udomsuk Station และ SIRI มียอดขาย 1.05 หมื่นล้านบาท ส่วน LH และ PSH ฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ SC ยังอ่อนแอกว่าคู่แข่ง ทั้งนี้ตลาดคอนโดเริ่มพ้นจุดต่ำสุด เห็นการเปิดตัวใหม่ทั้งในระดับกลางและระดับบน สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการว่าตลาดได้ผ่านช่วงแย่สุดไปแล้ว โดยถัดไป 4Q25 คาดว่ายอดเปิดโครงการใหม่จะพุ่งขึ้นกว่า 8–8.5 หมื่นล้านบาท (แนวราบ 70% คอนโด 30%) สะท้อนการกลับมาของความเชื่อมั่นและการฟื้นตัวของอุปสงค์
ด้านผลประกอบการ คาดกำไรหลัก 3Q25 รวมที่ 4.8 พันล้านบาท ลดลงเล็กน้อย YoY จาก GM ที่ยังคงลดลง แต่ดีขึ้น QoQ จากยอดโอนคอนโดและบ้านแนวราบที่เพิ่มขึ้น
Fundamental view: มูลค่าหุ้นภาคอสังหาฯ ยังอยู่ในระดับไม่แพงที่ PER ปี 2025 เฉลี่ยราว 7.3 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว -1SD แต่เรายังคงมุมมอง “เท่ากับตลาด” รอให้เห็นการยืนยันการฟื้นตัวที่ยั่งยืนต่อเนื่องมากกว่านี้ เพราะอยู่ภายใต้สถานการณ์กำลังซื้อครัวเรือนที่ยังเปราะบางในปัจจุบัน

 


สรุปประเด็นจาก Quick take
Energy
เกิดเหตุไฟไหม้โรงกลั่นเชฟรอนใน LA สหรัฐฯ
เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 2025 เกิดเหตุไฟไหม้โรงกลั่น El Segundo ของเชฟรอนใน LA California สหรัฐฯ โรงกลั่นดังกล่าวมีกำลังการกลั่น 290,000 บาร์เรล/วัน (คิดเป็น 1.6% ของกำลังการกลั่นรวมของสหรัฐฯ; 0.3% ของกำลังการกลั่นทั่วโลก) โดยผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ ก๊าซโซลีน, น้ำมันเครื่องบิน, และดีเซล ทั้งนี้สาเหตุอยู่ระหว่างการตรวจสอบ หากโรงกลั่นดังกล่าวต้องหยุดดำเนินการนานอาจส่งผลให้อุปทานน้ำมันสำเร็จรูปโดยรวมตึงตัวขึ้นและส่งผลบวกต่อค่าการกลั่น
View from fundamental: ข่าวดังกล่าวน่าจะเป็น positive sentiment ต่อกลุ่มโรงกลั่น (BCP, BSRC, IRPC, SPRC, TOP) ทั้งนี้ TOP เป็น preferred pick ของเรา

Energy
กลุ่ม OPEC+ มีมติปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ 137,000 บาร์เรล/วันในเดือน พ.ย.
จากการประชุมกลุ่ม OPEC+ เมื่อวันที่ 5 ต.ค. ที่ผ่านมา กลุ่ม OPEC+ มีมติปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ137,000 บาร์เรล/วันในเดือน พ.ย. ซึ่งเท่ากับการปรับเพิ่มปริมาณการผลิตในเดือน ต.ค. และเป็นไปตามที่ตลาดคาด เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจโลกทรงตัวและสต๊อกน้ำมันดิบอยู่ในระดับต่ำ
View from fundamental: การปรับเพิ่มการผลิตดังกล่าวรวมทั้งความเสี่ยงที่อุปสงค์อาจชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกน่าจะเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง และน่าจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อหุ้น upstream O&G (PTTEP) แต่น่าจะส่งผลเชิงบวกต่อกลุ่มโรงกลั่น (ต้นทุนน้ำมันดิบถูกลง) โดยมี TOP เป็น preferred pick อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบอาจมีอัพไซด์จากการชะงักงันของอุปทานเนื่องจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์

 

 

วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

อิทธิพลหุ้น By : แม่มดน้อย

หุ้นไทยยังได้อิทธิพลหุ้นใหญ่อย่าง DELTA ประคองตลาด ส่วนเส้นเทคนิคบ่งชี้ SET ยังไม่ฝ่าด่าน 1300 จุด.....

พร้อมขึ้นลง By : เจ๊มดแดง

เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง มองตลาดหุ้นไทย ดัชนีตลาด พร้อมขึ้น พร้อมลง ด้วยวอลุ่มเทรดไม่คึกคัก ปัจจัยบวกใหม่ ...

มัลติมีเดีย

หุ้นอินไซด์ทอล์ค : รู้จัก "88TH" ก่อนเข้าซื้อขายฯพรุ่งนี้

หุ้นอินไซด์ทอล์ค : รู้จัก "88TH" ก่อนเข้าซื้อขายฯพรุ่งนี้

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้