Today’s NEWS FEED

News Feed

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย วิเคราะห์ ส่งออกไทยเดือน ส.ค. 2568 โตชะลอลง หลังสหรัฐฯ บังคับใช้ภาษี Reciprocal Tariffs

113

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 24 กันยายน 2568)-------การส่งออกไทยเดือนส.ค. 2568 ขยายตัวชะลอลงตามคาด อยู่ที่ 5.8%YoY เนื่องจากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ขยายตัวชะลอลงหลังมีการเร่งส่งออกไปค่อนข้างมากในช่วงก่อนหน้า และการส่งออกสินค้าเกษตรที่หดตัว

ถึงแม้ว่าการส่งออกไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปีขยายตัวอยู่ที่ 13.3%YoY แต่ช่วงที่เหลือของปีคาดว่าจะหดตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยทั้งปี 2568 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการภาพรวมการส่งออกไทยขยายตัวอยู่ที่ 5.7%

นอกจากนี้ ยังต้องติดตามผลการพิจารณาของศาลฎีกาของสหรัฐฯ ซึ่งหากศาลตัดสินว่าประนาธิบดีทรัมป์ฯ ใช้อำนาจในการขึ้นภาษีนำเข้าภายใต้กฎหมาย IEEPA เกินขอบเขต อาจส่งผลให้การปรับขึ้นภาษี Reciprocal Tariffs ถูกยกเลิก

 


การส่งออกไทยเดือนส.ค. 2568 ขยายตัวชะลอลงตามคาด อยู่ที่ 5.8%YoY เนื่องจากปัจจัยดังต่อไปนี้

• การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ และแผงวงจรไฟฟ้า ยังคงขยายตัวสูง โดยปัจจุบันสินค้ากลุ่มดังกล่าวยังถูกยกเว้นภาษี Reciprocal tariffs และยังไม่ถูกเก็บภาษีนำเข้าภายใต้มาตรา 232 อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ชะลอลงเนื่องจากมีการเร่งนำเข้าสินค้าในช่วงก่อนหน้าไปค่อนข้างมาก และส่งผลให้การส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ โดยรวมชะลอลงอยู่ที่ 12.8%
• การส่งออกทองคำยังขยายตัวสูง จากความต้องการทองคำที่เพิ่มขึ้นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งกว่า 50% เป็นการส่งออกไปตลาดสวิตเซอร์แลนด์ ทั้งนี้ เมื่อหักทองคำการส่งออกไทยขยายตัวอยู่ที่ 3.3%YoY
• การส่งออกสินค้าเกษตรหดตัว -13.5%YoY นำโดยการส่งออกข้าวที่ลดลง โดยอินเดียตลาดผู้ส่งออกข้าวหลักของโลกมีนโยบายเพิ่มปริมาณการส่งออกข้าวจึงส่งผลให้อุปทานในตลาดโลกเพิ่มขึ้น อีกทั้ง ส่วนหนึ่งยังเป็นผลจากการแข็งค่าของเงินบาทที่อาจกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตร ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าไทยลดลง

 


o ถึงแม้ว่าการส่งออกไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปีขยายตัวอยู่ที่ 13.3%YoY แต่ช่วงที่เหลือของปีคาดว่าจะหดตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยทั้งปี 2568 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการภาพรวมการส่งออกไทยขยายตัวอยู่ที่ 5.7% ดังนี้

1) ผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษี Reciprocal tariffs ของสหรัฐฯ คาดว่าจะชัดเจนขึ้นในเดือนก.ย. 2568 เป็นต้นไป โดยภาษี Reciprocal tariffs มีผลบังคับใช้กับสินค้าที่นำเข้าตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. และยกเว้นสินค้าที่อยู่ระหว่างการขนส่งต้องนำเข้าภายในวันที่ 5 ต.ค. จึงอาจยังไม่เห็นผลกระทบที่ชัดเจนในเดือนส.ค.
2) การเร่งส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไปยังสหรัฐฯ คาดว่าจะชะลอลง โดยเฉพาะหากมาตรการปรับขี้นภาษีนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์ที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐฯ มีความชัดเจนขึ้น ซึ่งคาดว่าจะกดดันการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวเนื่องของไทย ตลอดจนภาพรวมของการส่งออกอย่างมีนัยสำคัญ
3) การส่งออกจีนนอกตลาดสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในหลายตลาด ได้แก่ อาเซียน อินเดีย แอฟริกา ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกไทยไปตลาดเหล่านี้ อาทิ รถยนต์ อีกทั้ง อาจลดโอกาสในการสร้างตลาดใหม่ของไทยเพื่อทดแทนตลาดสหรัฐฯ ที่เสียไป
4) แนวโน้มเศรษฐกิจและการค้าโลกคาดว่าจะชะลอลง โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตในกลุ่มเศรษฐกิจหลักยกเว้นสหรัฐฯ อยู่ระดับใกล้เคียง 50 สะท้อนภาคการผลิตที่ไม่ขยายตัว รวมถึงค่าระวางเรือปรับที่ลดลงต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2568

ดัชนีภาคการผลิตของกลุ่มเศรษฐกิจหลักยกเว้นสหรัฐฯ แสดงความอ่อนแอ
Country Jan-25 Feb-25 Mar-25 Apr-25 May-25 Jun-25 Jul-25 Aug-25
South Korea 50.3 49.9 49.1 47.5 47.7 48.7 48.0 48.3
Japan 48.7 49.0 48.4 48.7 49.4 50.1 48.9 49.7
China 50.1 50.8 51.2 50.4 48.3 50.4 49.5 50.5
Eurozone 46.6 47.6 48.6 49.0 49.4 49.5 49.8 50.7
US 51.2 52.7 50.2 50.2 52.0 52.9 49.8 53.0
Source: S&P Global, CEIC


o นอกจากนี้ ยังต้องติดตามผลการพิจารณาของศาลฎีกาของสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พ.ย. 2568 ในประเด็นการใช้กฎหมายว่าด้วยอำนาจเศรษฐกิจระหว่างประเทศในภาวะฉุกเฉิน (IEEPA) โดยปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศต่างๆ นั้นเกินอำนาจขอบเขตของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ฯ หรือไม่ ซึ่งหากศาลตัดสินว่าเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตจะส่งผลให้การปรับขึ้นภาษี Reciprocal tariffs กับประเทศต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลการค้า และการปรับขึ้นภาษีนำเข้าจีน แคนาดา และเม็กซิโก เพื่อแก้ปัญหาลักลอบนำเข้าเฟนทานิล ถูกยกเลิก


o การแข็งค่าของเงินบาทขึ้นราว 7% นับจากช่วงต้นปี 2568 (ณ วันที่ 23 ก.ย. 2568) กระทบรายได้ผู้ส่งออกในรูปเงินบาทมากกว่าคำสั่งซื้อที่ลดลง เนื่องจากการส่งออกสินค้ามักตั้งราคาในรูปของเงินดอลลาร์ฯ ขณะที่การส่งออกของไทยมีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจและการค้าโลกค่อนข้างมาก อย่างไรก็ดี การแข็งค่าของเงินบาทจะกระทบต่อรายได้ของผู้ส่งออกเมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินบาท โดยเฉพาะกลุ่มผู้ส่งออกที่พึ่งพิงวัตถุดิบภายในประเทศอาจได้รับผลกระทบมากกว่ากลุ่มอื่น เนื่องจากไม่สามารถใช้กลไก Natural Hedge มาบรรเทาผลกระทบได้ เช่น กลุ่มยางและพลาสติก การผลิตอาหาร เป็นต้น

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

SKIN เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ วันแรก

SKIN เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ วันแรก

เด้ง By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ไปตามกระแสตลาดหุ้นไทย ภาคเช้าที่ผ่านมาเด้งกลับ แต่ยังไปถึง 1280 จุด รอ...

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้