Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

116


ภาพตลาดและแนวโน้ม

Market wrap & Outlook

แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ

 

อัปเดตแนวโน้มตลาดหุ้นโลกและทองคำ
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกยังคงเป็นบวก โดยดัชนี MSCI ทั้งฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว (DM) และตลาดเกิดใหม่ (EM) ต่างปรับตัวขึ้น ส่งผลให้ดัชนี MSCI ACWI ทำจุดสูงสุดใหม่พร้อมปิดบวก 1.0% สะท้อนภาพภาวะกระทิงที่ชัดเจน แม้ Momentum Tracker จะเข้าสู่เขต overbought แล้วก็ตาม ขณะเดียวกัน ราคาทองคำก็ขยับขึ้น 1.2% แสดงถึงแรงซื้อที่กระจายไปทั้งในสินทรัพย์เสี่ยงและสินทรัพย์ปลอดภัย
ในตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ แรงขายในลักษณะ sell on fact ปรากฏขึ้น หลังจาก Fed ปรับลดดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดการณ์ อย่างไรก็ตาม การย่อตัวไม่รุนแรงนักและยังคงอยู่ในเกณฑ์ปกติ

ส่วนราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดแทบไม่เปลี่ยนแปลงจากสัปดาห์ก่อน เนื่องจากนักลงทุนยังคงชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์กับสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
สำหรับตลาดหุ้นไทย ปรับตัวลงเล็กน้อย 0.1% หลังจากปรับขึ้นต่อเนื่องสองสัปดาห์ก่อนหน้า โดยกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ที่ยังโดดเด่นและให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาด คือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งบวกได้ 2.3%

ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ

ปัจจัยแฝงที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าปกติ:
ในช่วงที่ผ่านมา ค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าที่โมเดลพื้นฐานทางเศรษฐกิจจะอธิบายได้ ปกติการประเมินทิศทางค่าเงินมักยึดกรอบมาตรฐาน เช่น ส่วนต่างดอกเบี้ย (Interest Rate Spread), เงินเฟ้อ (Inflation Spread) ระหว่างไทยกับสหรัฐ, ดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account Balance), กระแสเงินทุน (Capital Flow) ทั้งจากการลงทุนในสินทรัพย์และการลงทุนโดยตรง (FDI), การเปลี่ยนแปลงเงินสำรองระหว่างประเทศ (Foreign Exchange Reserve), ตลอดจนอัตราการค้า (Term of Trade) ซึ่งเป็น explanatory variables ที่ใช้กันทั่วโลก แต่กรอบเหล่านี้กลับไม่เพียงพอในการอธิบายความแข็งแกร่งของเงินบาทในปีนี้ สะท้อนว่ามีปัจจัยแฝงที่อยู่นอกเหนือพื้นฐานทางเศรษฐกิจเข้ามามีบทบาท
จุดที่น่าสนใจ คือ Net Errors and Omissions (NEO) ในดุลการชำระเงินของไทยที่ขยายตัวอย่างเด่นชัด ทั้งในแง่ขนาดที่ใหญ่ผิดปกติและเป็นบวกต่อเนื่องหลายไตรมาส ทั้งที่โดยธรรมชาติแล้ว NEO ควรเป็นเพียงเศษข้อมูลทางสถิติและสลับบวก–ลบไปตามรอบการบันทึกข้อมูล แต่ความผิดปกติครั้งนี้ทำให้ NEO กลายเป็นตัวแปรซ่อนเร้น (hidden factor) ที่อาจผลักดันให้เงินบาทแข็งค่าเกินกว่าที่ปัจจัยพื้นฐานกำหนด
หากมองย้อนหลังระหว่างปี 2005 ถึงกลางปี 2023 ค่าเฉลี่ย NEO อยู่เพียง 836 ล้านบาทต่อไตรมาส สอดคล้องกับธรรมชาติของข้อมูลที่ควรมีขนาดเล็ก แต่ตั้งแต่ไตรมาส 3/2023 เป็นต้นมา ตัวเลขได้พลิกไปอีกด้านอย่างสิ้นเชิง โดยค่าเฉลี่ยพุ่งขึ้นถึง 117,116 ล้านบาทต่อไตรมาส หรือสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวกว่า 140 เท่า และที่สำคัญคือเป็นบวกต่อเนื่องยาวนานถึง 7 ไตรมาสติดต่อกัน ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงผิดวิสัยเชิงสถิติ แต่ยังเคลื่อนไหวสอดคล้องกับการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงเดียวกันที่ปรับขึ้นกว่า 14% นับตั้งแต่ NEO เริ่มบวกต่อเนื่อง นั่นทำให้ NEO กลายเป็น hidden factor ที่สะท้อนแรงหนุนค่าเงินบาทเหนือภูมิภาค
เมื่อหันกลับมาที่ explanatory variables จะเห็นว่าปัจจัยพื้นฐานไม่น่าจะทำให้เงินบาทแข็งค่าได้เพียงนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากไม่มี NEO ค่าเงินบาทควรจะอ่อนกว่าที่เห็นจริง
คำถามคือ NEO สะท้อนอะไร? มีสอง scenario ที่แตกต่างกันชัดเจน
หนึ่ง คือ NEO สะท้อนเงินที่ถูกกฎหมายแต่บันทึกไม่ครบ เช่น การโอนเงินผ่านคริปโตที่ไม่ได้ลงบัญชี หรือความเหลื่อมเวลาของธุรกรรม หากเป็นเช่นนี้ แรงแข็งค่าของเงินบาทอาจสะท้อน measurement gap มากกว่าปัจจัยจริง และในระยะยาวตัวเลขเหล่านี้อาจค่อยๆ ปรับเข้าสู่สมดุล
สอง คือ NEO สะท้อนเงินที่ไม่โปร่งใสหรือผิดกฎหมาย เช่น การฟอกเงิน, เงินสดที่ไหลเข้ามานอกระบบ, หรือเงินทุนที่เคลื่อนย้ายผิดวิสัย หากเป็นเช่นนี้ ค่าเงินบาทกำลังแข็งด้วยแรงหนุนเทียมไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน ทำให้เงินบาทแข็งค่าเกินไป และเสี่ยงลดทอนขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออก

Implication:
การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงนี้มีปัจจัยหนุนที่เกินกว่าตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจพื้นฐานทั่วไป สิ่งนี้อาจเกิดจากปัจจัยที่ยังไม่ได้รับการระบุชัดเจนซึ่งมีขนาดและความต่อเนื่องมาก
หากการแข็งค่าดังกล่าวเป็นเพียงความผิดปกติชั่วคราวจากข้อมูลทางสถิติ ความกังวลเรื่องเงินบาทแข็งค่าอาจค่อยๆ คลี่คลาย อย่างไรก็ตาม หากสาเหตุมาจากกระแสเงินทุนที่ไม่ชัดเจนหรือผิดปกติ ผลกระทบอาจมีความซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกไทยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค
ในสถานการณ์เช่นนี้ การติดตามและประเมินสาเหตุอย่างใกล้ชิดจึงมีความสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้ความผิดปกติส่งผลต่อกลไกการทำงานของตลาดและสมดุลทางเศรษฐกิจในระยะยาว คาดว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการวิเคราะห์และติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาเสถียรภาพและความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของประเทศ

ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่ต้องติดตาม
วันจันทร์ — จีน: การประกาศ Loan Prime Rate (LPR) ทั้งอัตรา 1 ปีและ 5 ปี คาดว่าจะทรงตัวที่ 3.00% และ 3.50% ตามลำดับ ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า
วันอังคาร — สหรัฐฯ: รายงาน S&P Global PMI เบื้องต้น (Flash) เดือนกันยายน ฝั่งการผลิต ตลาดคาดว่าจะชะลอลงสู่ระดับ 51.6 จาก 53 ในเดือนก่อนหน้า ขณะที่ภาคบริการคาดว่าจะลดลงสู่ 53 จาก 54.5
วันพฤหัสบดี — สหรัฐฯ: ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนสิงหาคม ตลาดคาดว่าจะหดตัวเพียง -0.4% MoM เทียบกับการหดตัวแรง -2.8% ในเดือนก่อนหน้า
วันศุกร์ — สหรัฐฯ: รายงานเงินเฟ้อ Core PCE เดือนสิงหาคม ตลาดคาดว่าจะขยายตัว 0.2% MoM ชะลอลงจาก 0.3% ขณะที่รายได้ส่วนบุคคลคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% จาก 0.4% ในเดือนก่อนหน้า ส่วนการใช้จ่ายส่วนบุคคลคาดว่าจะขยายตัว 0.5% ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า


แนวโน้มราคาสินทรัพย์ต่างๆ ในสัปดาห์นี้

การปรับตัวขึ้นของดัชนี S&P500 น่าสนใจตรงที่ยังคงความต่อเนื่อง แม้สัญญาณจาก Momentum Tracker จะเริ่มเข้าสู่ภาวะ overbought และเกิด bearish divergence แล้วก็ตาม ซึ่งสถานการณ์ลักษณะนี้มักพบไม่บ่อยนัก ยกเว้นในช่วงตลาดกระทิง โดยมีแรงหนุนจากสภาพคล่องในระบบการเงินที่ยังล้นอยู่ ซึ่งปัจจุบันกองทุนตลาดเงิน (money market fund) ของสหรัฐฯ มีมูลค่าสูงถึง 7.48 ล้านล้านดอลลาร์ ถือเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่เริ่มมีข้อมูลบันทึกในปี 1945
อีกปัจจัยสำคัญคือการเติบโตของเทคโนโลยี AI ที่เพิ่งเข้าสู่ช่วง early adoption phase ทำให้ขนาดของตลาดรวม (TAM) ขยายตัวอย่างมาก และกลายเป็นแรงผลักดันให้ตลาดเลือกมองข้ามความเสี่ยงจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจระยะสั้น ไปให้ความสำคัญกับโอกาสการเติบโตในช่วง 1–5 ปีข้างหน้าแทน จึงเกิดแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาสถิติในอดีต ช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคมมักเป็นช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความผันผวนและเสี่ยงต่อการปรับฐาน เราจึงแนะนำให้นักลงทุนใช้กลยุทธ์ทยอยสะสม ซึ่งเป็นแนวทางที่ช่วยบริหารความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน หากตลาดมีการย่อตัวลง ก็จะเป็นการเฉลี่ยต้นทุน ในทางกลับกัน หากตลาดยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง กลยุทธ์นี้ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากการพลาดโอกาสลงทุนและป้องกันการเข้าซื้อในราคาที่สูงเกินไป จึงเป็นวิธีการที่ผสมผสานทั้งการกระจายความเสี่ยงและการรักษาโอกาสลงทุนไปพร้อมกัน

หลังจากการประกาศลดดอกเบี้ยของ Fed ตลาดพันธบัตรในระยะสั้นอาจต้องเผชิญกับภาวะ Sell on Fact หรือแรงขายทำกำไรที่เกิดขึ้นเมื่อข่าวดีได้ปรากฏออกมาแล้ว อย่างไรก็ดี การดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี น่าจะมีกรอบที่จำกัด โดยมีแนวต้านสำคัญบริเวณ 4.22% ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยบนเส้น EMA 50 วัน
ในระยะถัดไป เราคาดการณ์ว่าแรงซื้อจะเริ่มกลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง และจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ปัจจัยหนุนสำคัญมาจากสัญญาณของ Fed ที่บ่งชี้ถึงโอกาสการกลับเข้าสู่วงจรการลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ได้หยุดชั่วคราวไปหลายเดือน ซึ่งจะผลักดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี มีแนวโน้มเคลื่อนตัวลงไปทดสอบแนวรับสำคัญที่ระดับ 3.9% อีกครั้งภายในไตรมาสที่ 4/2025

ราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มขาขึ้น โดยมีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไปที่ระดับ 3,720 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในระยะสั้น ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากแนวโน้มการผ่อนคลายทางการเงินของ Fed ประกอบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่มีแนวโน้มลดลงในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ซึ่งช่วยลดต้นทุนค่าเสียโอกาสของการถือครองทองคำ
ขณะเดียวกัน บรรยากาศการเก็งกำไรก็ยังคงเอื้อต่อราคาทองคำ สะท้อนจากสถานะ net long ในตลาดฟิวเจอร์สของสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับ 160,473 สัญญา สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวนับตั้งแต่ปี 2006 ซึ่งอยู่ที่ 119,957 สัญญา บ่งชี้ถึงมุมมองเชิงบวกของเทรดเดอร์ต่อสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงนี้

ตลอดช่วง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวในกรอบแคบ สะท้อนความไม่แน่นอนที่กดดันตลาดจากความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเริ่มส่งสัญญาณอ่อนแรง และอาจนำไปสู่ความเสี่ยงของภาวะอุปทานส่วนเกินในตลาดพลังงานโลก
แรงกดดันดังกล่าวสะท้อนชัดจากข้อมูลตลาดฟิวเจอร์ โดยอัตราส่วน Long-to-Short ของนักลงทุนที่อยู่ที่เพียง 1.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวนับตั้งแต่ปี 2006 ที่ระดับ 5.5 เท่า แสดงถึงความเชื่อมั่นของเทรดเดอร์ที่อยู่ในภาวะเปราะบางและระมัดระวังต่อทิศทางราคาน้ำมันในระยะสั้น ภายใต้บรรยากาศดังกล่าว เราประเมินว่าราคาน้ำมันมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในลักษณะ sideway ต่อไปในสัปดาห์นี้

ดัชนี SET มีแนวโน้มเข้าสู่ช่วงการสร้างฐานในกรอบ 1,250–1,320 จุดตลอดหลายสัปดาห์ข้างหน้า หลังจากที่หุ้นหลายกลุ่มปรับตัวขึ้นแรงต่อเนื่องตลอด 12 สัปดาห์ที่ผ่านมา เราคาดว่า การพักฐานรอบนี้จะมีลักษณะเป็น healthy pullback มากกว่าการเข้าสู่วงจรขาลง สะท้อนจากเครื่องมือวัด sentiment ของนักลงทุนอย่าง Greed & Fear Barometer ที่ยังคงอยู่ในระดับแข็งแรง อย่างไรก็ดี ภายใต้แรงกดดันระยะสั้นที่เริ่มก่อตัวขึ้น เราแนะนำให้นักลงทุนเน้นกลยุทธ์ตั้งรับมากกว่าการไล่ซื้อในจังหวะราคาสูง
Quant Focus List (สัปดาห์นี้):

Commerce: CPALL, CPAXT

Healthcare: BH, BCH, PR9

Petrochemical: IVL

สรุปภาพตลาดวานนี้
สุดสัปดาห์ที่แล้ว SET ย่อนิดๆ โดยแรงกดดันของหุ้นใหญ่ถูกขายทำกำไร DELTA AOT CPALL CPN TRUE SCC เป็นต้น สวนทางกับหุ้นที่หมุนมาเข้ารอบใหม่ (แต่ยังแรงซื้อไม่มาก) เช่น PTT (ประกาศปันผล) ธนาคาร KBANK SCB การเงิน SAWAD AEONTS และกลุ่ม GULF-ADVANC เป็นต้น

แนวโน้มตลาดวันนี้
หุ้นไทยพักฐาน เพื่อรอขึ้น
ก่อนที่ตลาดหุ้นไทยจะขยับบวกยกแผงกลับไปเล่นเหนือ 1300/1310 คาดหุ้นรายตัว ที่เล่นดีกว่าตลาดเราเลือกเล่นหุ้นขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่ ก่อนจะวนลงไปเล่นหุ้นกลางค่อนไปทางเล็ก ระหว่างที่ตลาดหุ้นไทย สร้างฐานใหม่เหนือ 1270/1280 จุด ซึ่งบริเวณนี้เราจะวางไว้เป็นจุด ตัดขาดทุนของการเล่นรอบ
ประเด็นที่ต้องติดตาม และคาดจะมีผลต่อทิศทางราคาหุ้นรายตัว ได้แก่

1) กระแสกดดันค่าเงินบาทที่แข็งค่าเร็วกว่าภูมิภาคจนหลุด 32 (USD/THB) เราคาดว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าได้กลับมาอยู่กลางสปอร์ตไลท์ และจะถูกจับตาเป็นพิเศษจากหน่วยงานกำกับดูแล ทำให้แนวโน้มการแข็งค่าแม้จะยังคงอยู่ แต่คาดจะเริ่มลดความร้อนแรงลง โดยเราไม่คิดว่าเมื่อบาทอ่อนแล้วหุ้นไทยจะร่วงแรง เพราะที่ผ่านมา บาทแข็งจากปัจจัยอื่นที่ดูแล้วไม่น่าจะเกี่ยวกับเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้น หรือแม้แต่ตลาดพันธบัตร: ผลกระทบต่อหุ้นไทยรายตัว หากบาทกลับทิศ อ่อนค่า เราแนะนำ หุ้นท่องเที่ยว โรงแรม ส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภค
2) ความคาดหวังนโยบายระยะสั้นที่ อาจจะกลายเป็นนโยบายระยะยาว จาก ครม.นายก อนุทิน โดยเรามองไปถึงโอกาสที่รัฐบาลนี้อาจกลับมาจัดตั้งรัฐบาลครั้งหน้า และสานต่อนโยบายเรือธง หลังเห็นสัญญาณย้ายพรรคฯ และรวบรวมเสียงเพื่อเตรียมการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งพรรคภูมิใจไทยอาจได้เสียงสส. สนับสนุนเพิ่มขึ้น กลายเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล: ผลกระทบต่อหุ้นไทยรายตัว เช่น รับเหมาก่อสร้าง สายเรือ โลจิสติกส์ (Land-bridge), คนละครึ่งเวอร์ชั่นใหม่, เงินกู้ฉุกเฉิน, โซลาร์ติดบ้าน ฯลฯ
3) ประเด็นอื่นๆ เช่น โอกาสกลับมารับงาน ส่งต่อคนไข้คูเวต ของรัฐบาลคูเวตที่กำลังประสานงานกับทาง รพ.ไทย 8 แห่ง (BH BDMS BCH PR9),

กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้-สะสมหุ้นเมื่อราคาย่อลงมาตามแนรับ เน้นไปที่หุ้นผลตอบแทนเงินปันผลสูง, หุ้นที่มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไร และ เพิ่มการเล่นหุ้นตามกระแสการเก็งกำไร

วิเคราะห์ทางเทคนิค
“หยุดใจไว้ที่สถานี 1,300 จุด (ชั่วคราว)” SET ทะลุ 1,300 จุดแต่! ยืนไม่ได้ เนื่องจากโมเมนตัม RSI ส่งสัญญาณเตือน (ก่อน) “bearish divergence” แม่นยำนอกจากนี้ยังบ่งชี้ภาวะความผันผวนสูงของดัชนี “overbought” ตามแผน ปัจจุบันคาดว่าจบ wave 5 (ดัขนีพุ่งขึ้น แต่เกิดสัญญาณความขัดแย้ง) บ่งชี้ความอ่อนแรง…. จับตา Signal warning เมื่อดัชนีหลุดเส้น EMA 5 วัน 1,295 ส่งสัญญาณเตือน! จุดเริ่มต้นการปรับฐานของตลาดเริ่มต้นขึ้นแล้ว
สรุป: SET เข้าสู่โหมด correction! โซนรับคาดว่าจะอยู่บริเวณเส้น EMA 25 วัน 1,270 จุด (Correction wave a-b-c)
อย่างไรก็ตามมุมมองระยะยาวยังคงให้เป้าหมายที่ 1,330 จุด (Fibonacci retracement 61.8%) ย่อเพื่อขึ้นต่อ!
ไฮไลท์หุ้น: แผนแก้มือ PTTGC & IVL / GULF น่าช้อนซื้อแล้วหรือยัง!/ KTC “A Cup with Handle” / CBG “Impulse wave 3 ย่อย”/ BH “Symmetrical triangle (bullish)”….


What to watch
นโยบายเศรษฐกิจระยะสั้นที่จะมีผลต่อ ทิศทางราคาหุ้น
1) การบริโภคในประเทศ นอกเหนือจากคนละครึ่ง ติดตามมาตรการเกี่ยวอื่นๆ โดยเฉพาะที่ไม่ได้ใช้งบฯ เพิ่ม เช่น การลดหย่อนภาษี บวกกับ KTC CRC COM7
2) มาตรการการท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วง High Season หนุน โรงแรม-การบิน
3) การจัดการค่าเงินบาทแข็งเกินไป บวกส่งออก HANA DELTA ITC CPF BTG
4) มาตรการช่วยเหลือผู้กู้-สภาพคล่อง SMEs ว่าบวกกับไฟแนนซ์หรือไม่
5) ด้านพลังงาน ตลาดยังมองโอกาสได้ทั้งบวก-ลบ จากประเด็นการลดค่าไฟฟ้า-การปรับโครงสร้างราคาก๊าซในประเทศ (ติดตามว่าทิศทางจะออกด้านใด)
แบงก์ชาติอินโดฯ เซอร์ไพรส์ตลาด หั่นดอกเบี้ย 0.25% หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ BI ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 7 วัน ลง 0.25% เหลือ 4.75% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ปลายปี 2565 สวนทางกับความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ 31 รายที่ต่างประเมินว่า BI จะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม
กระแสข่าวรายชื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่ พบรายชื่อบุคคลมีพฤติการณ์ต้องสงสัยว่าทุจริตต่อหน้าที่ในอดีต โดยถูกชี้มูลความผิดจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อปี 2565 และมีการลงเลขรับเรียบร้อย พร้อมรายงานไต่สวน เอกสารประกอบ ซึ่งภายหลังที่มีการไต่สวนชี้มูลความผิดแล้ว ได้มีการส่งข้อมูลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว (ติดตามประเด็นการร้องเรียน และชี้แจงเรื่องนี้)

หุ้นแนะนำวันนี้

PTTEP คาดการฟื้นตัวของความตัองการใช้พลังงานตามฤดูกาล (บวกฤดูมรสุม) และดอกเบี้ยขาลงกระตุ้นการเก็งกำไรราคาน้ำมันดิบ (Black gold)
แนวรับ 113 ต้าน 118 Stop loss 110

 

 

 


รายงานพื้นฐานวันนี้

Bank Sector

ภาพรวมการปล่อยสินเชื่อยังติดขัด
ภาพรวมสินเชื่อกลุ่มธนาคารที่เราศึกษา ณ สิ้นเดือนส.ค. 25 อยู่ที่ 10.5 ล้านล้านบาท ลดลง 1.0% MoM กดดันจากสินเชื่อองค์กรและ SME ปรับลดลง โดยธนาคารที่รายงานสินเชื่อลดลง MoM นำโดย KTB, SCB, KKP, BBL, TTB และ KBANK มีเพียงสินเชื่อของ TISCO ทรงตัวได้ MoM ในเดือนส.ค. ที่ผ่านมา
เราคาดว่าสินเชื่อน่าจะทรงตัว MoM ในเดือนก.ย. เพราะเรายังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของสินเชื่อมากนัก และธนาคารน่าจะยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ทั้งนี้ ปัจจุบันเราเห็นความเสี่ยงจากสมมติฐานสินเชื่อปี 2025 ของกลุ่มธนาคารราว 1-2% เนื่องจากประเมินว่าสินเชื่อของ BBL, KBANK, KTB และ TTB น่าจะมีความเสี่ยงของสินเชื่อในปีนี้ราว 1-2% จากสมมติฐานของเรา ส่วนแนวโน้มสินเชื่อของ KKP, SCB, และ TISCO น่าจะสอดคล้องกับสมมติฐานของเรา
จากการคำนวณของเรา เราคาดว่ากำไรสุทธิสำหรับเดือนก.ค. และ ส.ค. 25 ของกลุ่มธนาคารจะอยู่ที่ราว 4.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% YoY นำโดยกำไรสุทธิของ KKP, BBL, SCB, KTB และ TTB โดยเราคาดกำไรสุทธิเดือนก.ค. และส.ค. ของ TISCO น่าจะทรงตัว YoY และแนวโน้มกำไรสุทธิเดือนก.ค. และ ส.ค. ของ KBANK น่าจะลดลง 13% YoY
ทั้งนี้ เราไปศึกษาข้อมูลในอดีตพบว่าโดยทั่วไปแล้ว SETBANK มักจะให้ผลตอบแทน underperform SET ในช่วง 3 เดือน หลังจากที่มีการโหวตเลือกนายกและหลังขึ้นเครื่องหมาย XD ในช่วงที่ bond yields เป็นขาลง ทำให้เรามองว่าตอนนี้เป็นจังหวะที่ดี ในการลดสัดส่วนการลงทุนกลุ่มธนาคาร

BGRIM
บี.กริม เพาเวอร์
การฟื้นตัวยังเป็นไปตามเส้นทางเดิม
เรามองประเด็นการปรับลดค่าไฟเป็นผลกระทบสั้น ๆ ต่อ sentiment และเรามองว่าพื้นฐานการฟื้นตัวของ BGRIM จะยังมีความต่อเนื่อง โดยเฉพาะจาก margin ฟื้นตัวและการเพิ่มกำลังการผลิตใน ปี 2026
ทั้งนี้ หากรัฐบาลประกาศลดค่า Ft ลง 0.04 บาท/หน่วย เหลือ 3.90 บาท/หน่วย สำหรับรอบบิล ม.ค.–เม.ย. 2026 จะยังสอดคล้องกับสมมติฐานล่าสุดของเรา โดยหากราคาก๊าซไม่ลดลงมากกว่านี้ การปรับลดดังกล่าวสามารถใช้เงินคงเหลือจาก claw-back ราว 5.6 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะหมดภายใน เม.ย. 2026 จึงเป็นไปได้ว่า หลังจากนั้นการลดเพิ่มเติมยากยิ่งขึ้น
โดยข้อมูลในอดีตสะท้อนว่า ช่วงก่อนเลือกตั้ง ค่าไฟมักถูกลดต่ำกว่าต้นทุน แต่จากนั้น กลับมาสูงกว่าต้นทุนดังเช่นในปี 2023 หาก pattern นี้เกิดขึ้นอีก ค่าไฟมีโอกาสขยับขึ้นเกิน 3.90 บาท/หน่วยในครึ่งหลังปี 2026 ซึ่งจะเป็นบวกต่อ margin ของ SPPs ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงจากการกดค่าไฟนานเกินไปถือว่าต่ำ เพราะ EGAT ยังมีภาระสะสมจากการตรึงราคาในปี 2022 ราว 5–6 หมื่นล้านบาท ที่ยังไม่ได้รับชำระ
ดังนั้น แนวโน้มปี 2026 จึงดูสดใสขึ้น นอกเหนือจาก Margin ฟื้น ยังมีโอกาสเซ็น PPA ใหม่กลุ่ม Data Center และโครงการ Nakwol 1 ที่เกาหลีใต้ ก็มีความคืบหน้าไปได้ดี คาดติดตั้งกังหัน 10–15 ชุด ภายในสิ้นปี 2025 และ COD ในปี 2026 จะเป็นอีกปัจจัยหนุนกำไรอย่างมีนัยสำคัญในปี 2026
Fundamental view: เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อ BGRIM โดยมองว่าการฟื้นตัวของ margin และ capacity ใหม่ในปี 2026 จะเป็น catalyst หลักให้ราคาหุ้นฟื้นตัวต่อ


สรุปประเด็นจาก Quick take

MINT
ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล
MINT เพิกถอนหุ้น MHEA สำเร็จ เดินหน้าสู่ศักยภาพการเติบโต
ระยะใหม่
เพิกถอนหุ้น MHEA ซึ่งบริหารงานโรงแรมในยุโรปและอเมริกา ภายใต้แบรนด์ NH, NH Collection, nhow, Tivoli, Avani และ Anantara ออกจากตลาดหลักทรัพย์สเปน สำเร็จตามแผน
View from fundamental: การเพิกถอน MHEA ช่วยปลดล็อกการทำงานในเครือโรงแรมของ MINT อย่างเต็มรูปแบบ เพิ่มความยืดหยุ่นและความเร็วในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ รวมถึงลดความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สเปน โดยดีลมีมูลค่า ~4 พันล้านบาท อยู่ในงบลงทุนที่ MINT ตั้งเอาไว้ในปี 2025 แล้ว

KBANK
ธนาคารกสิกรไทย
แจ้งการใช้สิทธิไถ่ถอนตราสารด้อยสิทธิเพื่อนับเป็นเงินกองทุนประเภทที่ 1 มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
KBANK แจ้งการใช้สิทธิไถ่ถอน Additional Tier 1 Subordinated Notes มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (1.6 หมื่นล้านบาท) ในวันที่ 14 ต.ค. 2025 หลังจากครบอายุ 5 ปี นับจากวันที่ออกตราสาร
View from fundamental: เราประเมินว่าการใช้สิทธิไถ่ถอนตราสารด้อยสิทธิเพื่อนับเป็นเงินกองทุนประเภทที่ 1 เป็นการใช้สิทธิตามปกติของผู้ออกตราสารชนิดนี้ หลังจากครบอายุ 5 ปีแล้ว ซึ่งก็จะช่วยบริหารให้ ROE ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม เราประเมินว่าคุณภาพสินทรัพย์ของ KBANK จะฟื้นตัวค่อนข้างช้า โดยเฉพาะกลุ่ม SME จึงยังแนะนำ ขาย

IT retail
มองบวกเล็กน้อยต่อผลสำรวจยอด ช่วงเปิดตัว iPhone 17
COM7 เผยภาพรวมยอดจองไอโฟน 17 ทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยเฉพาะรู่น Pro Max ทั้งนี้ จากข้อมูลยอดจองช่วง 3 วันแรกพบว่า โตกว่าช่วงการเปิดตัวไอโฟน 16 ไม่ต่ำกว่า 10% ADVICE มียอดจองและส่งมอบในวันเปิดขายไอโฟน 17 เพิ่มขึ้นมากกว่า 200% YoY (vs ยอดขาย apple ใน 1H25 โต 201%YoY) SPVI เปิดเผยมียอดจองไอโฟน 17 รุ่น Pro และ Pro Max สำหรับล็อตแรกเต็มจำนวนเเล้ว เราสำรวจในเว็บไซด์รุ่นมาตรฐานก็ยอดขายหมดแล้วเช่นกัน ADVANC เผยยอดจองไอโฟน 17 โตมากกว่า 10%YoY และสินค้าล็อตแรกถูกขายหมดแล้ว
View from fundamental: เรามองบวกต่อกระแสการตอบรับการขายไอโฟน 17 ช่วงแรกที่โตดี หนุนคาดโมเมนตั้มยอดขายช่วงที่เหลือของปีมีโอกาสโต YoY เร่งขึ้น ทั้งนี้ หากอิงจากสัดส่วนยอดขายสินค้า Apple ต่อยอดขายรวม เราคาด COM7 (TP27) จะได้อานิสงส์สูงสดตามด้วย SYNEX (TP13.6) และ ADVICE (TP6.5) ดังนั้น เรายังคงคำแนะนำ BUY ทั้ง 3 บริษัท

 

วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

มีแรงขาย By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ วันนี้ ดัชนีหุ้นไทย เลื้อยไป เลื้อยมา ระหว่างทาง มีแรงขาย สลับแรงซื้อ พยายามรักษา...

iPhone 17 Series By : เจ๊มดแดง

เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง เห็นบรรยากาศการซื้อขายiPhone 17 Series แล้ว กระแสแรง สะท้อนถึงกำลังซื้อของเหล่า บรรดาสาวก....

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้