ภาพตลาดและแนวโน้ม
Market wrap & Outlook
Sentiment Tracker
Sentiment ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และไทยอยู่ในโซน Greed
KEY FINDINGS:
สหรัฐฯ: ตลาดหุ้นสหรัฐฯยังคงปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่องในสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่าจะเริ่มมีความผันผวนจากแรงขายทำกำไรหลังเฟดมีมติปรับลดดอกเบี้ยตามตลาดคาด บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ สะท้อนความกล้า ในการรับความเสี่ยงมากขึ้น เห็นได้จากการฟื้นตัวของเครื่องมือวัด Sentiment หลายตัว โดยดัชนี Fear & Greed Index ฟื้นตัวขึ้นจากโซน Neutral ในสัปดาห์ก่อนหน้ากลับเข้าสู่โซน Greed อีกครั้ง รวมถึง Bull-Bear Spread ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นสะท้อนความกล้ารับความเสี่ยงในตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น
ไทย: ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงต้นสัปดาห์ แต่เผชิญแรงขายทำกำไรบริเวณแนวต้าน 1310 จุด ในช่วงปลายสัปดาห์ เนื่องจากปัจจัยบวกด้านความชัดเจนทางการเมืองภายในประเทศและการลดดอกเบี้ยของเฟดได้สะท้อนไปในราคามากแล้ว ขณะที่สัญญาณจาก BLS Greed & Fear Barometer ยังคงปรับตัวขึ้นและยืนในโซน Greed ได้ต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง
US MARKET SENTIMENT TRACKER:
ตลาดหุ้นสหรัฐฯยังคงปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่องในสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่าจะเริ่มมีความผันผวนจากแรงขายทำกำไรหลังเฟดมีมติลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ตามตลาดคาด ขณะที่เครื่องมือชี้วัด Sentiment ฟื้นตัวขึ้น—CNN Fear & Greed Index ปรับขึ้นจากระดับ 50 จุดสู่ 57 จุด ซึ่งเป็นการฟื้นจากโซน Neutral สู่โซน Greed โดยองค์ประกอบด้าน Market Momentum และ Net new 52-week highs and low ปรับตัวแข็งแกร่งขึ้น ขณะที่ Put to Call Ratio ปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบมากกว่าหนึ่งปี สะท้อนว่านักลงทุนเริ่มกลับมามั่นใจในแนวโน้มตลาดและพร้อมรับความเสี่ยงในระยะสั้นที่เพิ่มขึ้น
สอดคล้องกับผลสำรวจความเชื่อมั่นนักลงทุนของ AAII สะท้อนถึงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดในช่วง 6 เดือนข้างหน้าที่มากขึ้น โดยนักลงทุนมีมุมมองฝั่ง Bullish เพิ่มขึ้นจาก 28.0% เป็น 41.7% ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 37.6% เป็นครั้งแรกในรอบ 7 สัปดาห์ ขณะที่มุมมองฝั่ง Bearish ลดลงจาก 49.5% เหลือ 42.4% (แต่ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 31.2%) ส่งผลให้ Bull-Bear Spread ปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ -0.7% แต่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 6.4% ส่วนผลสำรวจพิเศษของ AAII ในสัปดาห์นี้ สอบถามว่าผู้ตอบมองโอกาสที่จะเกิด Recession ก่อนสิ้นปีนี้มากน้อยแค่ไหน พบว่า 40% ตอบว่าไม่น่าเกิด, 27% ตอบว่าโอกาสใกล้เคียงกับปกติ, 27% ตอบว่ามีโอกาสสูงกว่าปกติ, 4% ตอบว่ามีโอกาสสูงมาก และที่เหลือ 2% ตอบว่าไม่แน่ใจ
THAI MARKET SENTIMENT TRACKER:
ในส่วนของตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงต้นสัปดาห์ แต่เผชิญแรงขายทำกำไรบริเวณแนวต้าน 1310 จุด ในช่วงปลายสัปดาห์ เนื่องจากปัจจัยบวกด้านความชัดเจนทางการเมืองภายในประเทศและการลดดอกเบี้ยของเฟดได้สะท้อนไปในราคามากแล้ว ขณะที่มาตรวัด BLS Greed & Fear Barometer ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 66 เป็น 74 คะแนน ซึ่งยังคงอยู่ในโซน Greed หนุนจากการปรับขึ้นของเกือบทุกองค์ประกอบย่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดัชนี Volume Index ที่รีบาวด์ได้ดีต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง และดัชนี Momentum Strength ที่ยังคงปรับขึ้นได้จาก +22 จุดเป็น +31 จุด อย่างไรก็ตาม ดัชนี Bull-to-Bear เริ่มกลับมาปรับลดลงอีกครั้งหลังเข้าใกล้โซน Overbought
IMPLICATION:
การฟื้นตัวของ Sentiment ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ สะท้อนว่านักลงทุนเริ่มกลับมารับความเสี่ยงมากขึ้น หลังเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยตามคาด แม้แรงขายทำกำไรจะเริ่มกดดันหุ้นบางกลุ่ม แต่ดัชนีวัดความเชื่อมั่นทั้ง Fear & Greed และ Bull-Bear Spread ชี้ว่าตลาดยังมีแรงขับเคลื่อนต่อในระยะสั้น โดยภาพรวมถือว่าเป็นภาวะ Greed ที่ยังไม่ถึงขั้น Overheat
สำหรับตลาดหุ้นไทย แม้ดัชนี SET ขึ้นมาทดสอบระดับแนวต้าน แต่สัญญาณจาก BLS Greed & Fear Barometer แสดงให้เห็นว่ายังมีแรงหนุนจาก sentiment ที่อยู่ในเกณฑ์ดี อย่างไรก็ตาม การที่ Bull-to-Bear เริ่มปรับตัวลง หลังเข้าใกล้กรอบบน บ่งชี้ว่าตลาดอาจยังติดแนวต้านแถวบริเวณ 1320 จุดในระยะสั้น
สรุปภาพตลาดวานนี้
หุ้นไทยมีแรงขาย Sell-on-fact แต่ยังไม่หลุดลงไปลึก โดยแรงขายกระจายกลุ่ม นำโดย CRC (ประเด็นเฉพาะตัว) THAI ADVANC CPAXT OR KTB SCB KTC เป็นต้น แต่ก็พบหุ้นที่หลุกมาเขียวได้ เช่น AOT (บวกเล็กน้อย) CBG (มาร์เก็ตแชร์เพิ่ม) BDMS BH GPSC STECON FORTH TEAMG BYD SAPPE ฯลฯ
แนวโน้มตลาดวันนี้
เมื่อจบ Sell on fact…
เมื่อวานหุ้นไทยหนีไม่พ้นแรงขาย Sell on fact หลังผลการประชุมเฟด แต่ตามที่เราประเมินเราไม่ได้เป็นห่วงกับการพักฐานในระยะสั้น แม้จะมีข้ออ้างในการขายเพิ่มเติม เช่น โผ ครม.นายก อนุทิน สะดุด ฯลฯ แต่เราก็ยังคงมุมมอง ตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงลดความร้อนแรง การขึ้นจะฝืดกว่าช่วงที่ผ่านมา หลังตลาดหุ้นไทยวิ่งขึ้นมา 250 จุด จากด้านล่าง ย่อมต้องมีแรงขายทำกำไรระยะสั้นบ้าง
เมื่อผ่านช่วงนี้ไปได้ เช่น อาจเจอแรงขายปรับพอร์ต ตามที่ FTSE มีการปรับลด (Downgrade) หุ้นไทยวันนี้ โดยแรงขายระยะสั้นเราคาดว่ายังไม่สามารถ กดหุ้นไทยลงไปต่ำกว่า 1280/1270 จุด (หากต่ำกว่าค่อยระวังและเริ่มลดพอร์ต)
ส่วนการวิ่งขึ้นทดสอบแนวต้าน 1330 จุด ยังคงมีโอกาส โดยข่าวสนับสนุนยังคงมาจาก แนวนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ เช่น ช้อปช่วยชาติ, คนละครึ่ง และที่เพิ่มเติม คือ มาตรการช่วยสนับสนุนตลาดหุ้นไทย ให้กลับมาเป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญของ เศรษฐไทยอีกครั้ง...
โดยประเด็นระยะสั้น สำหรับการเลือกเก็บหุ้นระหว่างรอตลาดพักฐาน เราแนะนำเก็บหุ้นรายตัว ตามประเด็นในช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้ ได้แก่ 16-18 กย.รัฐบาลคูเวตเชิญ รพ.ไทย 8 แห่ง เพื่อได้รับคัดเลือกกลับมาเข้าโครงการส่งต่อผู้ป่วยอุดหนุนโดยรัฐบาล (BH BDMS BCH PR9) คาดสัปดาห์หน้าน่าจะเห็นข่าวเพิ่มเติม
และแนะกลับมาสะสม หุ้นสินค้าโภคภัณฑ์อีกครั้ง อิงตามทิศทางดอลล์มีแนวโน้มอ่อนค่า (ตามแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดขาลง) การลดดอกเบี้ยเซอร์ไพร์สตลาดของ ธ.อินโดนีเซีย หนุนเศรษฐกิจและกระตุ้นดีมานต์ด้านพลังงานภูมิภาค
กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้-สะสมหุ้นเมื่อราคาย่อลงมาตามแนรับ เน้นไปที่หุ้นผลตอบแทนเงินปันผลสูง, หุ้นที่มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไร และ เพิ่มการเล่นหุ้นตามกระแสการเก็งกำไร
วิเคราะห์ทางเทคนิค
SET ทะลุ 1,300 จุดแต่! แรงเริ่มตก ฟ้องด้วยภาพโมเมนตัม RSI “bearish divergence” เตือนการปรับฐานแม่นยำนอกจากนี้ยังบ่งชี้ภาวะความผันผวนสูงของดัชนี อาจจะต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น ปัจจุบันคาดว่าโครงสร้างอยู่ปลายทางคลื่นย่อย Impulse wave 5 (ดัขนีพุ่งขึ้น แต่เกิดสัญญาณความขัดแย้ง) บ่งชี้ความอ่อนแรง….จับตา Signal warning หากดัชนีหลุดเส้น EMA 5 วัน 1,295 จะเป็นสัญญาณเตือน! จุดเริ่มต้นการปรับฐานของตลาด อาจกินเวลาจนถึงสัปดาห์หน้า
สรุป: SET ถึงเวลาย่อ! ผ่อนคันเร่ง
อย่างไรก็ตามมุมมองระยะยาวยังคงให้เป้าหมายที่ 1,330 จุด (Fibonacci retracement 61.8%) ย่อเพื่อขึ้นต่อ!
ไฮไลท์กราฟเด็ด: แผนแก้มือ CPALL & CPAXT /เมื่อ “CBG” เขียวสวน / COM7 พักตัวบนเทรนด์ขาขึ้น/ PTT เปลี่ยนมุมเทรด…ภายหลังทะลุ 200 วัน สำเร็จ!/ AOT ยังไปได้สวย…
What to watch
นโยบายเศรษฐกิจระยะสั้นที่จะมีผลต่อ ทิศทางราคาหุ้น 1) การบริโภคในประเทศ นอกเหนือจากคนละครึ่ง ติดตามมาตรการเกี่ยวอื่นๆ โดยเฉพาะที่ไม่ได้ใช้งบฯ เพิ่ม เช่น การลดหย่อนภาษี บวกกับ KTC CRC COM7
2) มาตรการการท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วง High Season หนุน โรงแรม-การบิน
3) การจัดการค่าเงินบาทแข็งเกินไป บวกส่งออก HANA DELTA ITC CPF BTG
4) มาตรการช่วยเหลือผู้กู้-สภาพคล่อง SMEs ว่าบวกกับไฟแนนซ์หรือไม่
5) ด้านพลังงาน ตลาดยังมองโอกาสได้ทั้งบวก-ลบ จากประเด็นการลดค่าไฟฟ้า-การปรับโครงสร้างราคาก๊าซในประเทศ (ติดตามว่าทิศทางจะออกด้านใด)
FTSE จะปรับหุ้นใหม่ มีผล 19 ก.ย. ลด CPAXT ไปกลุ่ม MID Cap, BGRIM SAWAD ลดไปกลุ่ม Small Cap และ มีหุ้นถอดออกจาก Small Cap ได้แก่ BEC BSRC FORTH PSH SINGER SUPER THANI TKN TQM
แบงก์ชาติอินโดฯ เซอร์ไพรส์ตลาด หั่นดอกเบี้ย 0.25% หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ BI ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 7 วัน ลง 0.25% เหลือ 4.75% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ปลายปี 2565 สวนทางกับความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ 31 รายที่ต่างประเมินว่า BI จะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม
โผรายชื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี พบรายชื่อบุคคลมีพฤติการณ์ต้องสงสัยว่าทุจริตต่อหน้าที่ในอดีต โดยถูกชี้มูลความผิดจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อปี 2565 และมีการลงเลขรับเรียบร้อย พร้อมรายงานไต่สวน เอกสารประกอบ ซึ่งภายหลังที่มีการไต่สวนชี้มูลความผิดแล้ว ได้มีการส่งข้อมูลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว
หุ้นแนะนำวันนี้
PTTEP คาดการฟื้นตัวของความตัองการใช้พลังงานตามฤดูกาล (บวกฤดูมรสุม) และดอกเบี้ยขาลงกระตุ้นการเก็งกำไรราคาน้ำมันดิบ (Black gold)
แนวรับ 113 ต้าน 118 Stop loss 110
รายงานพื้นฐานวันนี้
Bank Sector
NIM กดดันปี 2026
เราประเมินว่ากลุ่มธนาคารจะเผชิญแรงกดดันจาก 3 เรื่อง ได้แก่
1) นักเศรษฐศาสตร์ของเราประเมินว่า กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 1 ครั้งใน 4Q25 และอีก 1 ครั้งใน 1H26 มาที่ 1% ซึ่งจะกดดัน NIM ของกลุ่มธนาคารในปี 2025-26
2) แม้เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรปีนี้ของกลุ่มธนาคารขึ้น 5% หลักๆ เป็นการปรับเพิ่มสมมติฐานรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยขึ้น อย่างไรก็ตาม เราปรับลดประมาณการกำไรปีหน้าของกลุ่มธนาคารลง 5% หลักๆ มาจากการปรับลดสมมติฐาน NIM และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลง ทำให้เราคาดว่ากำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารในปี 2025 จะลดลง 2% YoY และปรับลดลงต่อเนื่องอีก 9% YoY ในปี 2026
3) เราศึกษาข้อมูลในอดีตพบว่าโดยทั่วไปแล้ว SETBANK มักจะให้ผลตอบแทนต่ำกว่า SET ในช่วง 3 เดือน หลังจากที่มีการโหวตเลือกนายกและหลังขึ้นเครื่องหมาย XD ในช่วงที่ bond yields เป็น ขาลง
Fundamental view: เราเลือก BBL และ KTB เป็น Top picks ของกลุ่มธนาคาร จากแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์น่าจะยังดีต่อเนื่องในปีหน้า และ valuation metrics ไม่แพง
สรุปประเด็นจาก Quick take
Utilities
แพลนลดค่าไฟต้นปี 2026 ลง 4 สตางค์
การปรับลดค่าไฟลง 4 สตางค์ จะส่งผลให้ค่าไฟลงมาอยู่ที่ 3.90 บาท/หน่วย ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานล่าสุดของเรา
View from fundamental: ข่าวดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับตัวลง อย่างไรก็ดี ทิศทางนโยบายลดค่าไฟที่ไม่ได้รุนแรงเหมือนในอดีต น่าจะส่งผลให้ sentiment การลงทุนในกลุ่มโรงไฟฟ้า และแนวโน้มการปรับประมาณการกำไรของตลาด มีทิศทางที่ดีขึ้น
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน