Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

97


ภาพตลาดและแนวโน้ม

กระแสเงินลงทุนทะลักเข้าสู่ภูมิภาค แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2000


Key Findings: นักลงทุนต่างชาติเร่งซื้อในเอเชียเหนือ
แรงซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง และพุ่งขึ้นอย่างมากจาก 2,017 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์ก่อน สู่ 8,170 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดรายสัปดาห์ตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูลในปี 2000 โดยกระแสเงินดังกล่าวยังคงกระจุกตัวในตลาดหุ้นเอเชียเหนือ นำโดยไต้หวัน (5,606 ล้านดอลลาร์) และเกาหลีใต้ (3,034 ล้านดอลลาร์) สะท้อนถึงความสนใจที่ยังคงหนาแน่นในตลาดที่มีความเชื่อมโยงกับธีม AI

ในทางตรงข้าม ตลาด TIP (ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์) ยังคงเผชิญแรงขายต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สี่ โดยแรงขายกระจายตัวในทุกตลาด อินโดนีเซียถูกขายมากที่สุด (-401 ล้านดอลลาร์) ตามด้วยไทย (-401 ล้านดอลลาร์) และฟิลิปปินส์ (-2 ล้านดอลลาร์)

Sector เด่นของภูมิภาคในสัปดาห์ที่ผ่านมา: พลังงาน เซมิคอนดักเตอร์ และค้าปลีก
จากดัชนี Volume Index ของแต่ละตลาด พบว่าแรงซื้อโดดเด่นกระจายไปใน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1) Energy & Utilities ในไทย ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ 2) Semiconductor ในเกาหลีใต้และไต้หวัน และ 3) Commerce ในไทยและอินโดนีเซีย

Implications:
กระแสเงินทุนที่ไหลเข้าระดับสูงสุดในรอบกว่า 20 ปี สะท้อนมุมมองเชิงบวกจากความคาดหวังว่าการประชุมเฟดสัปดาห์นี้อาจนำไปสู่การกลับเข้าสู่วงจรดอกเบี้ยขาลงอีกครั้ง ขณะเดียวกันสัญญาณจากหุ้น Semiconductor ในไต้หวันและเกาหลีใต้ยังคงแข็งแรง โดย Volume Index ทรงตัวเหนือโซน Overbought ติดต่อกัน 11 และ 10 สัปดาห์ตามลำดับ ยืนยันว่าหุ้นเทคโนโลยียังคงเป็นธีมหลักที่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุน

สำหรับตลาดหุ้นไทย เรามองว่าหุ้นในกลุ่มสื่อสาร อาหาร และอิเล็กทรอนิกส์มีแนวโน้มโดดเด่นและน่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดในสัปดาห์นี้

 

อัปเดต Market-Timing Indicator ของตลาดหุ้นไทย:
Key Findings:
ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งถึง 4.3% ในสองสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยได้รับปัจจัยหนุนสำคัญจากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาปลดล็อกสุญญากาศทางการเมือง ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนอีกครั้ง เราจึงคาดการณ์ว่าในระยะสั้นตลาดยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อได้

มุมมองดังกล่าวสอดคล้องกับสัญญาณจากดัชนี Composite Short-term ที่กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง โดยได้รับแรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของทั้งดัชนี Momentum Strength และ Bull-to-Bear อย่างไรก็ตาม การที่ดัชนีทั้งสองเริ่มเคลื่อนตัวเข้าใกล้กรอบบน เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าแม้ตลาดยังมีโอกาสปรับขึ้นได้ในระยะใกล้นี้ แต่อัพไซด์จะอยู่ในวงจำกัด

ขณะเดียวกันในภาพระยะกลาง ดัชนี Composite Medium-term ก็ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากองค์ประกอบทุกส่วน โดยเฉพาะดัชนี Medium-term Momentum และ Volume Flow ที่ปรับตัวขึ้นได้ดี ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกต่อทิศทางตลาด แต่การที่ดัชนี Medium-term Bull-to-Bear ขยับเข้าใกล้กรอบบนแล้ว ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ตอกย้ำถึงอัพไซด์ที่จำกัดของ SET

Implication:
ด้วยแรงสนับสนุนจากทั้งดัชนี Composite Short-term และ Medium-term ที่แข็งแกร่งขึ้น บวกกับความไม่แน่นอนทางการเมืองที่คลี่คลายลง ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อไปได้ อย่างไรก็ดี การที่ market-timing indicator บางตัวเริ่มเข้าใกล้กรอบบน สะท้อนว่าโมเมนตัมการปรับขึ้นของ SET อาจอยู่ที่บริเวณ 1,320 จุด

สรุปภาพตลาดวานนี้

หุ้นบลูชิปยังคงดันตลาดหุ้นไทย เช่น DELTA PTTEP ADVANC THAI KTB แต่ก็พบอีกว่า หุ้นในกลุ่มขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่เล่นดีอย่างที่คาด เช่น TOP AWC และที่เล่นดีกว่าคาด คือ กลุ่มกลาง-เล็กบางราย NEX STPI EASTW ฯลฯ ขณะที่การหมุนหุ้นออกพบในกลุ่มค้าปลีกฯ พลังงาน เป็นต้น

แนวโน้มตลาดวันนี้

เลือกหุ้นเตรียมทำ Alpha มากกว่า Market Return
SET ปรับตัวขึ้นมาใกล้ 1300 แบบอ่อนแรงลงเรื่อยๆ (แรงซื้อผ่านปริมาณการซื้อขายที่ลดลงต่อ และ Indicators ทางเทคนิคไม่เอื้อ) พร้อมไม่มีประเด็นใหม่ ที่มีนัยสำคัญ ทำให้เรายังคงมองภาพตลาดชะลอความร้อนแรง แต่เป็นสิ่งที่ดี เพราะจะทำให้นักลงทุนมีจังหวะในการสับเปลี่ยนหมุนเวียนหุ้นเล่นได้ หลังจากได้ผลตอบแทนมาระดับหนึ่งจากตลาดที่ฟื้นมาตั้งแต่ 1150

โดยปัจจัยที่ตลาดเฝ้าติดตามยังคงเป็น 1) การประชุมเฟด 16-17 กย. (อาจจะมีแรงขาย Sell on fact ในตลาดหุ้นต่างประเทศ แต่คาดสะเทือนไทยจำกัด) และ 2) ครม. ใหม่ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ที่ปัจจุบันตลาดไม่ใช่เพียงคาดหวังคนละครึ่ง แต่มองไปถึงการทำโครงการลดค่าครองชีพด้านอื่นๆ ซึ่งจะมีผลกับรายอุตสาหกรรมมากกว่าภาพรวมตลาด

ระหว่างนี้ เราสังเกตว่าเป็นการเก็งกำไรของนักลงทุนสถาบัน ผสมกับต่างชาติ ด้วยลักษณะของหน้าหุ้นที่เล่นกลุ่มใหญ่ แต่เราเริ่มให้นักลงทุนเก็งกำไรดังหุ้นขนาดกลาง-ใหญ่ (รวมทั้งขนาดกลางๆ) ไว้ในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะช่วงที่มีการสร้างฐานใหม่ เพราะระยะถัดไปน่าจะได้ Alpha Return มากกว่า Market Return เช่น TOP SCGP CBG CPAXT MINT BEM WHAUP BCH ITC

ส่วนประเด็นกระทบหุ้นรายกลุ่มอื่นๆ วันนี้ เช่น แนวโน้มค่าเงินบาทไม่แข็งต่อ (หรือจะกลับมาอ่อน) จากความพยายามชะลอการแข็งค่าผิดปกติ เช่น พูดถึงแนวคิดภาษีการขายทองคำฯ โดยรวมอาจจะเป็น Sentiment บวกกลุ่มส่งออก

กลยุทธ์การลงทุน

กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้-สะสมหุ้นเมื่อราคาย่อลงมาตามแนรับ เน้นไปที่หุ้นผลตอบแทนเงินปันผลสูง, หุ้นที่มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไร และ เพิ่มการเล่นหุ้นตามกระแสการเก็งกำไร

 

 


วิเคราะห์ทางเทคนิค

SET ขึ้นแตะ 1,300 จุด แต่หากวิเคราะห์องค์ประกอบขาขึ้นอาจยังไม่สมบูรณ์ เนื่องจากวอลุ่มที่ชะลอตัวลง ขณะที่ RSI เกิดภาพ divergence อาจจำกัด upside ของดัชนีต่อจากนี้ โดยยังคงคาดว่า SET จะเริ่มพักตัวในสัปดาห์นี้ แนวรับแรกจะอยู่บริเวณเส้น EMA 5&10 1,270 – 1,280 จุด อยู่ในคลื่นย่อย Impulse wave 5 โดยปกติจะเป็นคลื่นที่คนสนใจมากที่สุด ขณะที่ดัขนีพุ่งขึ้น แต่ปริมาณการซื้อขายมักต่ำกว่าคลื่นที่ 3 และแสดงสัญญาณความอ่อนแรงของแนวโน้ม อย่างไรก็ตามมุมมองระยะยาวเคยให้เป้าดัชนีปลายปีนี้อยู่ที่ 1,330 (Fibo 61.8%) อยู่ในรอบขาขึ้นใหญ่ ยังมีลุ้น แต่คงต้องมีขึ้นสลับพักตัวบ้าง….
ไฮไลท์กราฟเด็ด: โรงกลั่น TOP & SPRC เด่น...เราไม่ตกรถ!/ แผนแก้มือเมื่อ “PTT” ย่อนิดๆ!/ PTTEP เปลี่ยนจังหวะ…..เดินขึ้นบันได!/ KTC Laggard play!/ AOTเข็นให้ถึงเป้า EMA 200 วัน!.....ติดตามแผนเทรดในหน้าถัดไปครับ

 


What to watch
ทิศทางค่าเงินบาทเริ่มกลับมาอ่อนค่า หลังมีประเด็นไอเดียการเก็บภาษีการขายทองเป็นสกุลเงินบาท (เพื่อลดการเร่งซื้อเงินบาทมากเกินไป)
การจัดตั้ง ครม. และ รมว. ดูแลกระทรวงสำคัญทางเศรษฐกิจ
การประชุมเฟด 16-17 ก.ย.คาดลดดอกเบี้ย 0.25% เป็น 4-4.25% / ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่าขณะนี้นักลงทุนให้น้ำหนัก 93% ในการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 16-17 ก.ย.นี้ และให้น้ำหนัก 7% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมครั้งนี้ // และคาดว่าเดือน ต.ค. และ ธ.ค. จะเห็นการปรับลด 0.25% ในทุกเดือน
FTSE จะปรับหุ้นใหม่ มีผล 19 ก.ย. ลด CPAXT ไปกลุ่ม MID Cap, BGRIM SAWAD ลดไปกลุ่ม Small Cap และ มีหุ้นถอดออกจาก Small Cap ได้แก่ BEC BSRC FORTH PSH SINGER SUPER THANI TKN TQM
ประเด็นปลดล็อคคอนโดให้เช่าผ่าน Airbnb อาจกลับมากระทบ รร. – คอนโด (อยู่ระหว่างรับฟังความเห็น)

หุ้นแนะนำวันนี้
TOP Let-profit-run ต่อตาม Momentum กลุ่มฯ และการเทรดของต่างชาติ-สถาบันฯ ในหุ้นระดับกลาง-ใหญ่
แนวรับ 35 ต้าน 38 Stop loss 33

 

 

รายงานพื้นฐานวันนี้

Property Sector
การเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้น & การแก้ไข พ.ร.บ. โรงแรม
วันนี้มี 2 รายงานกลุ่มอสังหาฯ
1) รายงานการเปิดตัวโครงการใหม่: เดือนสิงหาคม ที่ 4,096 ยูนิต เพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ MoM แต่มีมูลค่าเปิดโครงการรวมเพียง 2.3 หมื่นล้านบาท แม้ว่าลดลงทั้ง MoM และ YoY สะท้อนว่าตลาดเน้นเปิดโครงการราคาต่ำลง โดยเฉพาะคอนโดช่วงราคา 1–3 ล้านบาท/ยูนิต ที่มีถึง 2,706 ยูนิต หรือ 66% ของทั้งหมด
ในขณะที่ take-up rate ปรับตัวดีขึ้นจากกลุ่ม high-end โดยคอนโดมียอดดูดซับเพิ่มขึ้น แต่โครงการแนวราบยังคงอ่อนแอเช่นเคย ดังนั้น เรายังคงมุมมองเชิงลบต่อกลุ่มอสังหาฯ ในภารวม โดยเฉพาะแนวราบที่ยังคงมีการเล่นราคาในกลุ่มระดับกลางล่างอยู่
2) ประเด็น Airbnb: จากข่าวว่าการที่คณะกรรมการกฤษฎีกา มีการร่างแก้ไข พ.ร.บ. โรงแรมฯ โดยจะให้คอนโดสามารถปล่อยเช่าระยะสั้นได้แบบ Airbnb ซึ่งตรงนี้จะเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะถึงวันที่ 17 กันยายนนี้ หากร่างนี้ผ่าน จะเปิดทางให้คอนโดมิเนียมสามารถปล่อยเช่าระยะสั้นได้อย่างถูกกฎหมาย ซึ่งอาจกระตุ้นความต้องการซื้อคอนโดเพื่อลงทุนปล่อยเช่า โดยผู้ประกอบการที่มีสต็อกคอนโดจำนวนมากพร้อมขาย มี 2 รายหลัก คือ SIRI (มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท) และ SPALI (2.85 หมื่นล้านบาท) จะได้ประโยชน์สูงสุด

Fundamental view: ดังนั้น เรามองว่าหากกฎหมายนี้ผ่านความคิดเห็นของประชาชน จะเป็น “จุดเปลี่ยน” ของกลุ่มอสังหาฯ ที่น่าจับตา และจะ Shift focus กลับมาตลาดคอนโดได้ โดยอสังหาฯ ที่มีพอร์ตคอนโดอย่าง SIRI และ SPALI จึงเป็น Top Pick ของกลุ่ม

 

Tourism Sector
Head-up: ท่องเที่ยวไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป
ในปี 2025 การท่องเที่ยวไทยยังอ่อนแรง โดยตั้งแต่ 1 ม.ค.–7 ก.ย. 2025 นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา 22.39 ล้านคน ลดลง 7.1% YoY สร้างรายได้ 1.12 ล้านล้านบาท ลดลง 4.6% YoY แม้รายจ่ายเฉลี่ยต่อหัวอยู่ที่ 46,308 บาท/ทริป แต่เริ่มฟื้นจากจุดต่ำสุดในเดือนมิถุนายนและทรงตัวในเดือนกรกฎาคม–สิงหาคม โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนยังคงเป็นกำลังหลัก ใช้จ่ายเฉลี่ย 55,309 บาท/หัว สูงกว่าค่าเฉลี่ยรวม ซึ่งสวนทางกับมุมมองตลาดที่ว่าจีนใช้จ่ายน้อย
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยตั้งเป้าเปลี่ยนจากการเน้นปริมาณสู่การสร้างมูลค่า ตั้งเป้าปี 2026 รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 36 ล้านคน (+7% YoY) สร้างรายได้ 1.63 ล้านล้านบาท (+8% YoY) และรายได้จากท่องเที่ยวในประเทศ 1.17 ล้านล้านบาท (+3% YoY) รวมเป็น 2.8 ล้านล้านบาท (+5% YoY) โดยชูจุดขายกลุ่มกำลังซื้อสูง เช่น Wellness & Medical, Long-haul premium, และ Cultural tourism พร้อมแผนการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น
เราจัดงาน BLS Tourism Day ขึ้นในวันที่ 16 และ 18 กันยายนนี้ โดยโฟกัสแต่ละ Session เช่น
CENTEL ฟื้นตัวจากช่วงตกต่ำเข้าสู่รอบการเติบโตใหม่ โดยมีทั้งธุรกิจโรงแรมและอาหารรองรับดีมานด์ท่องเที่ยว
SPA ถูกจับตาในฐานะ S-curve ใหม่จาก Wellness Destination ที่ตรงกับนโยบาย ททท.
AAV ยังเผชิญความท้าทายจาก load factor และกำไรที่ถูกกดดันแม้ขยายเส้นทางบิน

 


Commodities Tracker
ค่าระวางเรือเทกองกลับมาเด่น
ภาพรวม: ค่าระวางเรือเทกอง (BDI) ปรับขึ้นแรงสุด WoW ตามด้วย GRM ขณะที่ราคาถ่านหินและค่าระวางเรือคอนเทนเนอร์ปรับลดลงแรงสุด โดยความคาดหวังว่าสงครามการค้าจะคลี่คลายหลังสหรัฐฯ เจรจากับคู่ค้าสำคัญสำเร็จยังเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นโภคภัณฑ์หลังจากนี้
น้ำมันดิบ: Dubai เฉลี่ยลดลง 0.62 เหรียญ WoW สู่ 69.91 เหรียญ/บาร์เรล จากความกังวล oversupply หลัง OPEC+ คลายการลดกำลังการผลิต และดีมานด์ในสหรัฐฯ อ่อนตัว
ค่าการกลั่น (GRM): Singapore GRM เฉลี่ยเพิ่มขึ้นอีก 0.03 เหรียญ WoW สู่ 4.23 เหรียญ/บาร์เรล น้ำมันเบนซิน +0.25 เหรียญ สู่ 11.71 เหรียญ/บาร์เรล น้ำมันเครื่องบิน +0.62 เหรียญ สู่ 15.87 เหรียญ/บาร์เรล และดีเซล +0.74 เหรียญ สู่ 17.70 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันเตา -0.06 เหรียญ สู่ -6.90 เหรียญ/บาร์เรล
เคมีภัณฑ์: ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในกรอบแคบ Ethylene +14 เหรียญ WoW สู่ 222 เหรียญ/ตัน, Propylene +9 เหรียญ สู่ 177 เหรียญ/ตัน ส่วน HDPE -1 เหรียญ สู่ 342 เหรียญ/ตัน และ PP -11 เหรียญ สู่ 342 เหรียญ/ตัน
ถ่านหิน: NEX ลดลง 6.37 เหรียญ WoW (-6%) สู่ 102.00 เหรียญ/ตัน จากแรงซื้อที่ชะลอทั่วเอเชีย
ค่าระวางเรือ: BDI เพิ่มขึ้น 111 จุด WoW (+6%) สู่ 2,089 โดย Panamax +10% สู่ 1,950, Capesize +6% สู่ 3,022 และ Supramax +1% สู่ 1,478 ส่วน WCI (Container) ลดลงอีก 60 จุด (-3% WoW) สู่ 2,044
Fundamental view: หุ้นเด่นยังเป็น TOP (ได้ประโยชน์จาก GRM ที่สูง และ valuation ถูก), IVL (คาดกำไร 2H25 ฟื้น HoH), และ PTTGC (คาด 3Q25 กำไรดีขึ้น QoQ)

EKH
เอกชัยการแพทย์ EKH เดินหน้าขยายบริการเฉพาะทาง สู่ช่วงลงทุนหนักระหว่าง 2025–27
EKH เดินหน้าขยายบริการเฉพาะทาง โดยล่าสุดเปิดศูนย์หัวใจและหลอดเลือดครบวงจร หนุน 2H25 ฟื้นตัวบางส่วน ขณะที่ผู้ป่วยจีนเริ่มกลับมา แต่กำไรปี 2025–27 มีแนวโน้มชะลอจากต้นทุนลงทุนล่วงหน้า หากโครงการใหม่ทั้ง 3 แห่งเดินหน้าได้ตามแผนในปี 2026 จะเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตระยะยาวหลังปี 2027
View From Fundamental: เรามองว่า EKH กำลังเข้าสู่ช่วง Heavy CAPEX cycle ซึ่งจะต้องมีการใช้เงินลงทุนสูง ซึ่งจะกดดันทั้งอัตรากำไรขั้นต้น สำหรับนักลงทุนระยะสั้นอาจยัง “ไม่ใช่จังหวะที่ดีที่สุด” แต่สำหรับการลงทุนระยะกลางถึงยาว ในมุม “การลงทุนล่วงหน้าใน growth story หลัง ปี 2027” เรามองว่าได้

 

วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ลุ้น หวยออก By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ บ่ายวันนี้ ลุ้น หวยออก ระหว่างรอ ครม. ระหว่างรอผลประชุม เฟด เงินบาทแข็งค่า.....

ATLAS ผนึก PTG เปิดสถานี 'PT Max Rest นครชัยศรี 11' ใหญ่ที่สุดในไทย รองรับไลฟ์สไตล์นักเดินทางยุคใหม่

ATLAS ผนึก PTG เปิดสถานี 'PT Max Rest นครชัยศรี 11' ใหญ่ที่สุดในไทย รองรับไลฟ์สไตล์นักเดินทางยุคใหม่

มัลติมีเดีย

PTG × ATLAS ร่วมกันเปิดปั๊มแลนด์มาร์กใหม่ “PT Max Rest นครชัยศรี 11”

PTG × ATLAS ร่วมกันเปิดปั๊มแลนด์มาร์กใหม่ “PT Max Rest นครชัยศรี 11”

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้