Today’s NEWS FEED

News Feed

นายกฯ อนุทินหารือ ส.อ.ท. ร่วมกำหนดทิศทาง ดันเศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง

123

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(15 กันยายน 2568)------------นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ส.อ.ท. ให้การต้อนรับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ประกอบด้วยนายสุชาติ ชมกลิ่น นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ นายธนกร วังบุญคงชนะ นายวรภัค ธันยาวงษ์ และนายกุลิศ สมบัติศิริ ณ ห้อง Passion (802) ชั้น 8 ส.อ.ท. เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม มุ่งเสริมศักยภาพการแข่งขันและยกระดับความเข้มแข็งของเศรษฐกิจไทย

การหารือครั้งนี้ นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้ชี้ให้เห็นถึงภาพรวมความท้าทายของภาคอุตสาหกรรมไทยและแนวทางการขับเคลื่อนตามนโยบาย 4GO ได้แก่ GO Digital & AI (การยกระดับภาคอุตสาหกรรมด้วยดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์) GO Innovation (การสร้างผู้ประกอบการ “จิ๋วแต่แจ๋ว” ด้วยนวัตกรรม) GO Global (การยกระดับห่วงโซ่อุปทานสากลและการขยายสู่ตลาดโลก) และ GO Green (การพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์) ซึ่งจะเป็นกลไกหลักในการผลักดันให้อุตสาหกรรมไทยก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก

ทางด้านรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล กำหนดนโยบายเร่งด่วนในระยะเวลา 4 เดือนเพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญ 4 ด้านหลัก ประกอบด้วย

1. ด้านเศรษฐกิจ มุ่งดำเนินมาตรการเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ค่าครองชีพ ค่าพลังงาน ค่าเดินทาง และค่าขนส่งต่างๆ พร้อมทั้งแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยอย่างเร่งด่วน
2. ด้านความมั่นคง มุ่งแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาด้วยแนวทางสันติภาพ เพื่อลดความสูญเสียและผลกระทบต่อประชาชนทั้งสองประเทศ
3. ด้านภัยธรรมชาติ ต่อยอดการพัฒนาระบบเตือนภัยที่เคยริเริ่มไว้ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมเร่งชดเชยความเสียหายแก่ประชาชนที่ประสบภัยธรรมชาติให้ทันการณ์

 


4. ด้านภัยสังคม มุ่งปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ สแกมเมอร์ การพนัน และการพนันออนไลน์อย่างจริงจัง โดยสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและมิตรประเทศ เพื่อกวาดล้างปัญหาภัยสังคมในทุกรูปแบบ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราต้องให้ความสำคัญกับปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของผู้ประกอบการ หรือแม้แต่ปัญหาการค้าชายแดนไทย- กัมพูชา เราต้องใช้ทุกวิธีในการแก้ปัญหาทั้งทางด้านการทหาร ทางการทูต และการหารือกับฝ่ายกัมพูชาอย่างใกล้ชิด

ในเรื่องของผู้ประกอบการ จะสนับสนุนให้มีการลงทุน และผลิตสินค้าภายในประเทศมากขึ้น ประเทศไทยเราไม่ได้ด้อยไปกว่าประเทศอื่น ขณะเดียวกันเรามีประเทศคู่แข่งเยอะ ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องตื่นตัว เพื่อความอยู่รอดของประเทศ และต้องเร่งหารือกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ด้วยในเรื่องส่งเสริมการลงทุน ถึงแม้ว่ารัฐบาลชุดนี้จะเข้ามาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่มั่นใจว่าเราจะใช้อำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ผลักดันให้ประเทศไทยเติบโตและทำให้ทุกฝ่ายเกิดความคล่องตัวมากขึ้น

“ดรีมทีม จะเป็น เรียลทีม ไม่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก เราจะใช้หลักการทำงานเป็นทีม เพื่อพัฒนาประเทศชาติ” นายอนุทิน กล่าว

ทั้งนี้ ทางผู้บริหาร ส.อ.ท. ได้นำเสนอแนวทางในการส่งเสริมอุตสาหกรรม 5 เรื่องหลักในระยะเร่งด่วน ประกอบด้วย
1. การเตรียมความพร้อมรับมือมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และสงครามการค้า
2. การส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs
3. การปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการ
4. การรับมือผลกระทบจากปัญหาการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ
5. การบริหารจัดการผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท

 


สำหรับประเด็นเกี่ยวกับการรับมือมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และสงครามการค้า นายนาวา จันทนสุรคน รองประธาน ส.อ.ท. ได้ชี้แจงว่าปัจจุบันไทยถูกสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีอัตราที่ 19% ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 แต่จะมีการเรียกภาษีอยู่ 2 กรณี คือ กรณีที่ 1 สำหรับการเรียกเก็บภาษีอัตราที่ 19% ใช้กับสินค้าที่ตกอยู่ในขอบเขตของมาตรการนี้โดยรวมยกเว้นสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรา 232 เช่น รถยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เหล็กและอลูมิเนียม ทองแดงกึ่งสำเร็จรูป เพราะสินค้ากลุ่มนี้มีกรอบกฎเกณฑ์ต่างหาก สำหรับกรณีที่ 2 เรียกเก็บภาษีอัตราที่ 40% จะบังคับใช้เมื่อสินค้าถูกพิจารณาว่า เกิดจากการสวมสิทธิ์ของประเทศที่สาม หรือมีกรณี transshipment โดยสินค้าในกรณีนี้จะต้องผ่านการตรวจสอบและพิสูจน์โดย U.S. Customs and Border Protection (CBP) ก่อน และหากพบว่ามีการสวมสิทธิ์จริงจะถูกเรียกเก็บอัตรานี้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ยังไม่มีหลักเกณฑ์การคำนวณสัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศ/ภูมิภาค (Regional Value Content: RVC) ที่ชัดเจน ภาครัฐจึงต้องติดตามแนวปฏิบัติของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผู้ประกอบการปรับตัวได้ทัน

ดังนั้น ส.อ.ท. จึงเสนอให้ภาครัฐเร่งสร้างความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของสหรัฐฯ การจัดตั้งหน่วยงานเพื่อให้คำปรึกษาเรื่องการคำนวณ RVC ตลอดจนการส่งเสริมผู้ประกอบการในการปรับตัว (Transformation) เพื่อปรับซัพพลายเชน (Supply Chain) ของไทยให้มีความยืดหยุ่นและทันสมัย พร้อมทั้งเน้นย้ำให้ภาครัฐดำเนินมาตรการเชิงรุกด้านการค้าระหว่างประเทศ กำกับดูแลสินค้าให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และส่งเสริมการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศ (Made in Thailand: MiT)

ด้านการส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธาน ส.อ.ท. ชี้แจงถึงสถานะความเปราะบางของ SME ไทย ณ เดือนมิถุนายน 2568 ว่าหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในกลุ่ม SME คิดเป็น 243,026 ล้านบาท และยอดหนี้คงค้างรวม (สินเชื่อ SME) คิดเป็น 3,119,525 ล้านบาท

 

 


ดังนั้น ส.อ.ท. จึงนำเสนอแนวทางส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินและการเข้าถึงแหล่งทุน ภายใต้ “มาตรการ Fast Track เพื่อ SME” ประกอบด้วย โครงการค้ำประกันสินเชื่อฉุกเฉิน (Emergency Credit Guarantee) ที่อนุมัติได้ภายใน 3-7 วัน โดยรัฐบาลอุดหนุนค่าธรรมเนียมช่วงแรก และเพิ่มสัดส่วนการค้ำประกันสูงกว่าปกติ เช่น 80–100% เพื่อธนาคารกล้าปล่อยสินเชื่อทันทีให้ SME ที่ต้องการสภาพคล่องเร่งด่วน สินเชื่อเสริมสภาพคล่อง SME ด่วนพิเศษ 1% ผ่านกองทุนสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) โดยให้ธนาคารรัฐเป็นผู้ดำเนินการ และเปิดช่องทางด่วน (Express Lane) สำหรับสินเชื่อวงเงิน 5-10 ล้านบาท รวมทั้งสำหรับ SME ที่อยู่ในระบบภาษี โดยไม่ต้องใช้หลักประกัน เพื่อเติมสภาพคล่องระยะสั้นให้ SME สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้และลดความเสี่ยงที่จะลุกลามเป็น NPL และมาตรการ “Hair Cut” สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้เสีย (NPL) เพื่อให้ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ที่เหลือได้และปิดบัญชี รวมทั้งลดปริมาณหนี้เสียในระบบโดยรวม

ในส่วนของ นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธาน ส.อ.ท. ได้เสนอแนวทางการปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิต โดยเน้นถึงความจำเป็นในการสร้างโครงสร้างค่าไฟที่เป็นธรรม สะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริง และเอื้อต่อการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการผลักดันมาตรการสนับสนุนพลังงานทางเลือกและพลังงานหมุนเวียน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำให้ภาครัฐเร่งจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จภายในปี 2568 เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประเทศในมิติด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยราคาที่เป็นธรรม และมีความมั่นคงด้านพลังงาน
นอกจากนี้ ยังเสนอให้ปรับโครงสร้างการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้า เพื่อลดต้นทุนส่วนเกินที่ไม่จำเป็นและส่งเสริมการเปิดเสรีไฟฟ้า รวมทั้งปรับลดวงเงินประกันการใช้ไฟฟ้าเหลือ 0.5 เท่า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีประวัติการชำระตามกำหนด เพื่อบรรเทาภาระด้านการเงิน และเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ

 

 


ขณะที่ นายเวทิต โชควัฒนา รองประธาน ส.อ.ท. ได้สะท้อนปัญหาการค้าชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการจำนวนมาก โดยเสนอให้ภาครัฐเร่งหามาตรการช่วยเหลือในระยะเร่งด่วน ระยะสั้นและระยะยาว ทั้งในด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า การแก้ไขปัญหาด่านศุลกากร รวมถึงการเจรจาระดับทวิภาคี เพื่อสร้างความชัดเจนในกฎระเบียบการค้าชายแดน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับระยะเร่งด่วน ควรมุ่งเน้นการลดค่าใช้จ่ายด้านการโลจิสติกส์ให้แก่ผู้ประกอบการ ผ่านการเสริมช่องทางโลจิสติกส์เดิม การเพิ่มเรือชายฝั่งในการส่งสินค้า เข้าในช่องทางที่ไม่ใช่ชายแดนที่มีอาณาเขตติดกัน เช่น จันทบุรี และตราด และการพิจารณาอนุญาตให้ส่งออกและนำเข้าสินค้าที่เป็นวัตถุดิบหรือชิ้นส่วน ที่จะนำไปเข้าสู่กระบวนการผลิตใน Supply Chain ได้ในด่านที่ไม่มีความขัดแย้ง รวมทั้งการเยียวยาผู้ประกอบการที่ต้องขนส่งในช่วงที่ทั้งสองประเทศมีความขัดแย้ง โดยขอให้นำค่าขนส่งที่ชัดเจน มาใช้หักค่าใช้จ่ายเป็น 2 เท่าได้

สำหรับระยะสั้น เสนอแนะให้พิจารณา Soft Loan ให้ผู้ประกอบการเพื่อรักษาสภาพคล่องของกลุ่ม SME ที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชา หรือผู้ที่มีหลักฐานการค้าขายต่อเนื่องกับกัมพูชา เพิ่มเติมจากมาตรการที่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือ EXIM Bank ออกมา รวมทั้งขอให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พิจารณาให้สิทธิประโยชน์สำหรับอุตสาหกรรมที่อยู่ใน Supply Chain ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ เพื่อจูงใจให้มีการลงทุนในไทยสำหรับชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบที่ต้องนำเข้าจากกัมพูชา

ในส่วนของมาตรการระยะยาว พิจารณาตามสถานการณ์ด้านความมั่นคงที่จะให้ทั้งสองประเทศกลับมาทำการค้าร่วมกัน และมีการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่ถูกกฎหมาย สร้างความเจริญเติบโตร่วมกันให้กับภูมิภาค

 

 


นอกจากนี้ นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. ยังได้สะท้อนความกังวลต่อการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย โดยได้เสนอให้ภาครัฐเร่งศึกษาและแยกแยะผลกระทบจากธุรกรรมทองคำ คริปโตเคอร์เรนซี และการโอนเงินแรงงานต่างด้าวที่ไม่ผ่านระบบ ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถจำแนกได้ชัดเจน พร้อมทั้งเสนอให้ส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ในการค้าระหว่างประเทศภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน+3 และสนับสนุนผู้ประกอบการในการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน เช่น FX Options และ Forward Contract ด้วยมาตรการช่วยลดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเบื้องต้น

สำหรับกลไกความร่วมมือในอนาคต ส.อ.ท. เห็นควรให้ขับเคลื่อนการหารือผ่านคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) และจัดให้มีเวทีระดมความคิดเห็นในประเด็นเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น มาตรการภาษีสหรัฐฯ การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อร่วมกันหาทางออกที่เป็นรูปธรรม

“การพบปะในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการสร้างความร่วมมือเชิงรุกระหว่างภาครัฐและเอกชน โดย ส.อ.ท. พร้อมที่จะสนับสนุนและทำงานเคียงข้างรัฐบาลอย่างใกล้ชิด เพื่อนำพาเศรษฐกิจไทยสู่ความเข้มแข็ง มั่นคง และยั่งยืนในอนาคต” นายเกรียงไกร กล่าว

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

มัลติมีเดีย

PTG × ATLAS ร่วมกันเปิดปั๊มแลนด์มาร์กใหม่ “PT Max Rest นครชัยศรี 11”

PTG × ATLAS ร่วมกันเปิดปั๊มแลนด์มาร์กใหม่ “PT Max Rest นครชัยศรี 11”

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้