ภาพตลาดและแนวโน้ม
Market wrap & Outlook
แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ
อัปเดตแนวโน้มตลาดหุ้นโลกและทองคำ
ตลาดการเงินทั่วโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมาเคลื่อนไหวในเชิงบวก โดยสินทรัพย์สำคัญหลายประเภทต่างปรับตัวขึ้น นำโดยดัชนีหุ้นโลก MSCI ACWI ที่ทำจุดสูงสุดใหม่พร้อมปิดบวก 1.7% ขณะที่ราคาทองคำก็ขยับขึ้น 1.6% แตะระดับสูงสุดใหม่เช่นกัน สะท้อนแรงซื้อที่กระจายตัวทั้งในฝั่งสินทรัพย์เสี่ยงและสินทรัพย์ปลอดภัย
ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ก็เริ่มเห็นแรงซื้อทยอยกลับเข้ามา โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลอายุ 7–10 ปีที่ราคาปรับขึ้น 0.2% หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ปรับทบทวนตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในช่วง 12 เดือนสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2025 ลงถึง 911,000 ตำแหน่ง ภาพดังกล่าวช่วยหนุนความเชื่อมั่นของ นักลงทุนว่า Fed มีแนวโน้มจะเริ่มลดดอกเบี้ยในการประชุมที่จะมีขึ้นในสัปดาห์นี้
ด้านราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้น 1.3% จากความกังวลทางภูมิรัฐศาสตร์ หลังประธานาธิบดีทรัมป์ส่งสัญญาณคว่ำบาตรรัสเซีย และเตรียมพิจารณาขึ้นภาษีกับประเทศที่ยังซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งสร้างแรงกระเพื่อมใหม่ต่อทิศทางราคาพลังงาน
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง ท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองที่เริ่มคลี่คลาย ดัชนี SET ขยับขึ้น 2.3% นำโดยแรงซื้อในหุ้นกลุ่ม Domestic Play สะท้อนความหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยกลุ่มค้าปลีกปรับขึ้น 3.4% อาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น 3.1% และกลุ่มรับเหมาก่อสร้างดีดตัวแรงถึง 5.4% ขณะเดียวกัน กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ก็เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวแรง +6.2%
ประเด็นในต่างประเทศที่น่าสนใจ
เหตุการณ์ที่โดรนรัสเซียรุกล้ำน่านฟ้าโปแลนด์เป็นครั้งแรกที่มีการปะทะโดยตรงบนอาณาเขต NATO ทำให้ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ของยุโรปมีสูงขึ้น โดยนาโตได้ตอบสนองด้วยปฏิบัติการ Eastern Sentry เสริมแนวป้องกันตั้งแต่รัฐบอลติกถึงบัลแกเรีย ทั้งการส่งเครื่องบินรบล้ำสมัยและการคุ้มครองโครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์ เช่น ท่อพลังงานและสายสื่อสารใต้น้ำ
สำหรับผลกระทบต่อตลาดการเงิน เหตุการณ์นี้อาจทำให้ Risk Premium ของยุโรปสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนต้องการส่วนชดเชยความไม่แน่นอน โดยเฉพาะต่อหุ้นกลุ่ม Cyclical ที่อ่อนไหวต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจ ในทางกลับกัน หุ้นที่เกี่ยวข้องกับกลาโหม และความมั่นคงไซเบอร์มีแนวโน้มได้แรงหนุนจากงบประมาณทางทหารที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ สถานการณ์ที่ตึงเครียดยังช่วยหนุนให้ทองคำกลับมาได้รับความสนใจในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงสำหรับนักลงทุน ในยุโรป
ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่ต้องติดตาม
วันจันทร์ — จีน: รายงานการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนสิงหาคม ตลาดคาดว่าจะขยายตัว 5.8% YoY ใกล้เคียงกับระดับ 5.7% ในเดือนก่อนหน้า, ตัวเลขค้าปลีกเดือนสิงหาคม คาดว่าจะขยายตัว 3.8% YoY ใกล้เคียงกับระดับ 3.7% ในเดือนก่อนหน้า
วันอังคาร — สหรัฐฯ: ตัวเลขค้าปลีกเดือนสิงหาคม คาดว่าจะขยายตัว 0.3% MoM ชะลอตัวลงจากระดับ 0.5% ในเดือนก่อนหน้า
วันพุธ — สหรัฐฯ: ผลการประชุมนโยบายดอกเบี้ย ตลาดคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยลง 25 bps
แนวโน้มราคาสินทรัพย์ต่างๆ ในสัปดาห์นี้
แม้ดัชนี S&P500 จะปรากฏสัญญาณ Overbought และ Bearish Divergence แต่ตลาดยังไม่เกิดการปรับฐานอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นลักษณะที่มักพบในภาวะตลาดกระทิงซึ่งมีสภาพคล่องสูงเป็นปัจจัยหนุน อย่างไรก็ตาม เรายังคงแนะนำให้นักลงทุนรอจังหวะที่ตลาดย่อตัวเป็นโอกาสในการทยอยเข้าสะสมแบบ DCA เพื่อเปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนในแนวโน้มตลาดขาขึ้นปี 2026
อัตราผลตอบแทน (yield) พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับ 4.0% ในช่วงสั้น ก่อนจะเผชิญแรงขายทำกำไรบางส่วน สำหรับสัปดาห์นี้ นักลงทุนน่าจะจับจ้องไปที่ผลการประชุม FOMC และถ้อยแถลงของ Fed โดยเฉพาะสัญญาณเกี่ยวกับแนวนโยบายการเงินในช่วงถัดไป
ภายใต้ภาพเศรษฐกิจที่แสดงสัญญาณการชะลอตัวของตลาดแรงงาน และเงินเฟ้อที่อยู่ในกรอบควบคุมมากกว่าที่เคยวิตก จึงมีความเป็นไปได้ที่ Fed จะส่งสัญญาณผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งจะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยับลงทดสอบระดับ 3.9% ซึ่งเป็นแนวรับสำคัญของปี 2025 ส่งผลให้ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะสั้น
ราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มขาขึ้น โดยมีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไปที่ระดับ 3,720 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในช่วง 1–2 สัปดาห์ข้างหน้า ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากแนวโน้มการผ่อนคลายทางการเงินของ Fed ประกอบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ปรับตัวลดลง ซึ่งช่วยลดต้นทุนค่าเสียโอกาสของการถือครองทองคำ
ขณะเดียวกัน บรรยากาศการเก็งกำไรก็ยังคงเอื้อต่อราคาทองคำ สะท้อนจากสถานะ net long ในตลาดฟิวเจอร์สของสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับ 166,417 สัญญา สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวนับตั้งแต่ปี 2006 ซึ่งอยู่ที่ 119,916 สัญญา บ่งชี้ถึงมุมมองเชิงบวกของเทรดเดอร์ต่อสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงนี้
ในช่วง 5 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบยังคงแกว่งตัวในกรอบแคบ สะท้อนความไม่แน่นอนที่กดดันตลาดจากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเริ่มส่งสัญญาณอ่อนแรง และอาจนำไปสู่ภาวะอุปทานส่วนเกินในตลาดพลังงานโลก
แรงกดดันดังกล่าวปรากฏชัดเจนผ่านข้อมูลจากตลาดฟิวเจอร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นของเทรดเดอร์น้ำมันอยู่ในภาวะเปราะบาง โดยอัตราส่วน Long-to-Short ลดลงเหลือเพียง 1.1 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวตั้งแต่ปี 2006 ที่อยู่ในระดับ 5.5 เท่า สะท้อนมุมมองของตลาดที่ระมัดระวังต่อแนวโน้มราคาในระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม สัญญาณเชิงบวกเริ่มปรากฏจากโครงสร้างราคาล่วงหน้าที่กลับเข้าสู่ภาวะ backwardation ตลอดเส้นอีกครั้ง หลังจากที่เคยเกิดภาพ contango ในบางช่วงก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ หากมีพัฒนาการในเชิงนโยบาย โดยเฉพาะการร่วมมือกันระหว่างสหรัฐฯ และ NATO ในการคว่ำบาตรพลังงานจากรัสเซียตามที่ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวอ้างผ่าน Truth Social ก็อาจเป็นปัจจัยหนุนที่ทำให้ราคาน้ำมันกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง จากภาวะอุปทานที่ตึงตัวมากขึ้นในตลาดโลก
ดัชนี SET ของตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น โดยมีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไปบริเวณ 1,300–1,320 จุดในช่วง 1–2 สัปดาห์ข้างหน้า แรงหนุนหลักมาจากการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มที่เชื่อมโยงกับการบริโภคในประเทศ ซึ่งได้รับอานิสงส์จากความหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ขณะเดียวกัน โมเมนตัมของหุ้นขนาดใหญ่บางบริษัทเริ่มกลับมาเป็นบวกอีกครั้ง ช่วยเสริมแรงหนุนให้ตลาดโดยรวมเคลื่อนไหวในทิศทางเชิงบวกมากขึ้น
Quant Focus List (สัปดาห์นี้):
Commerce: CPALL, CPAXT
Electronics: DELTA
Food: BTG, CPF, TFG, ICHI
สรุปภาพตลาดวานนี้
ศุกร์ที่แล้วหุ้นไทยยังไปต่อได้เบาๆ โดยนอกจากเม็ดเงินเข้าหุ้นใหญ่ DELTA AOT PTT CPALL THAI GULF แล้วเรายังเห็นลักษณะการขยับมาเล่นหุ้นขนาดกลางค่อนไปใหญ่ SCGP KTC MTC เป็นต้น ส่วนด้านแรงขายออกมาจากธนาคารและไอซีทีเป็นหลัก
แนวโน้มตลาดวันนี้
Selective Buy หุ้น Mid-to-Big cap
ตลาดหุ้นไทยที่แรลรี่ขึ้นจาก 1230 คาดจะเริ่มลดความร้อนแรงลงเมื่อบวกใกล้ครบ 100 จุด คาดทะลุผ่าน 1300 และแนวต้านถัดไป 1330 จุด เมื่อใกล้ถึงแนวต้านถัดไปตลาดหุ้นจะเริ่มหมุนจาก กลุ่มบูลชิพบิ๊กแคปที่พาตลาดขึ้นมารอบนี้ หมุนไปหาหุ้น “ขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่” ที่มีปัจจัยพื้นฐานสนับสนุนก่อน เช่น SCGP CBG CPAXT AOT MINT และเมื่อวนจนครบคาดว่าจะเริ่มหมุนไปที่หุ้น “กลางค่อนไปทางเล็ก” เช่น WHAUP BCH BEM CENTEL ERW
การหมุนกลุ่มลักษณะนี้ จะไม่ได้ยึดโยงกับกระแส หรือ ธีมการลงทุนมากนัก (จาก Sector rotation สู่ Stocks Rotation) ยกเว้น การเล่นยกกลุ่ม เช่นพลังงาน ปิโตรฯ หากมีประเด็นข่าวใหม่เข้ามาสนับสนุนจากต่างประเทศ (ความไม่สงบในตะวันออกกลาง) เพราะเราเห็นว่าตลาดหุ้นไทยที่ฟื้นขึ้นมาจาก 1150 จุด ซึ่งมองเป็นจุดต่ำสุดของรอบใหญ่-สามารถสร้าง “Wealth” ให้กับภาพรวมได้สำเร็จ ทำให้นักลงทุนบางส่วนเริ่มกล้าที่จะหันมาเล่นหุ้น เพื่อสร้าง Alpha ได้ดีกว่าช่วงก่อน แทนที่จะต้องเกาะ Core port.ไปกับหุ้นใหญ่เพื่อสร้างผลตอบแทนเกาะไปกับ Market return…
โดยปัจจัยที่เหลือต้องติดตามดูแล้ว ไม่น่าจะสร้างแรงกดดันต่อภาวะการลงทุนอย่างรุนแรงมากนัก เช่น การประชุมเฟด 16-17 กย. (อาจจะมีแรงขาย Sell on fact ในตลาดหุ้นต่างประเทศ แต่คาดสะเทือนไทยจำกัด) การแถลงนโยบายใหม่ของรัฐบาล และโฉมหน้า รมต.
ดังนั้นกลยุทธ์เราคงคำแนะนำ เลือกซื้อ/สะสมหุ้น โดยคาดหุ้นที่เล่นจะไม่กระจุกแบบเดิม และก่อนที่ตลาดหุ้นไทยจะเข้าใกล้ 1330 จุด เราแนะนำหุ้นแบบกระจาย ขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่ก่อน เช่น SCGP CPAXT TOP HANA และหุ้นขนาดกลางค่อนไปทางเล็ก เช่น ERW GFPT PLANB ITC
ส่วนกลุ่มธนาคารที่มองเป็นกลุ่มระมัดระวังมาก่อนหน้า ในวันนี้มีโอกาสได้รับ Sentiment ลบจากกรณีประชาชนถูกอายัดบัญชี (ติดตามหน่วยงานฯ แถลงแนวทางแก้ไขปัญหา เรียกความเชื่อมั่นกลับ)
กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้-สะสมหุ้นเมื่อราคาย่อลงมาตามแนรับ เน้นไปที่หุ้นผลตอบแทนเงินปันผลสูง, หุ้นที่มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไร และ เพิ่มการเล่นหุ้นตามกระแสการเก็งกำไร
วิเคราะห์ทางเทคนิค
SET ขยับขึ้นใกล้ 1,300 จุด ภายหลังผ่าน EMA 200 วัน 1,250 จุด ฉุดไม่อยู่ ล่าสุดทะลุ Fibo 50% ซึ่งเป็นตำแหน่งจุด previous high 1,283 จุด แรงส่งจากโมเมนต้ม bullish RSI ดูเหมือนหนทางสดใส แต่องค์ประกอบขาขึ้นยังไม่ครบสมบูรณ์ เนื่องจากวอลุ่มที่ชะลอลงเกิดภาพ divergence อาจส่งผลให้ดัชนีจะเริ่มพักตัวในสัปดาห์นี้ แนวรับแรกจะอยู่บริเวณเส้น EMA 5&10 1,270–1,280 ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคาร มองเป็นกลุ่มที่ฉุดดัชนีให้ปรับฐาน ภายหลังจากจบช่วง XD ปันผลระหว่างกาล (หมด story)
อย่างไรก็ตามมุมมองระยะยาวเคยให้เป้าดัชนีปลายปีนี้อยู่ที่ 1,330 (Fibo 61.8%) อยู่ในรอบคลื่นขาขึ้น Impulse Wave (แรงที่สุด) ยังมีลุ้น แต่คงต้องมีขึ้นสลับพักตัวบ้าง…..
สรุป: แนวโน้มตลาดย่อ (น้อย ) สลับขึ้น (เยอะกว่า)
ไฮไลท์กราฟเด็ด: CPALL & CPAXT พักเพื่อไปต่อหรือไม่/ SCGP ทะลุ EMA 200….วิ่งฉิว!/ PTT เมื่อพี่ใหญ่ฟื้นคืนชีพ/ TOP ทะลุ EMA 200 วัน….สำเร็จ / AOTเข็นให้ถึงเป้า !.....
What to watch
การจัดตั้ง ครม. และ รมว. ดูแลกระทรวงสำคัญทางเศรษฐกิจ
การเรียกความเชื่อมั่นต่อกลุ่มธนาคารกลับ หลังมีประเด็นร้อนประชาชนถูกอายัดบัญชี
การประชุมเฟด 16-17 ก.ย.คาดลดดอกเบี้ย 0.25% เป็น 4-4.25% / ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่าขณะนี้นักลงทุนให้น้ำหนัก 93% ในการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 16-17 ก.ย.นี้ และให้น้ำหนัก 7% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมครั้งนี้ // และคาดว่าเดือน ต.ค. และ ธ.ค. จะเห็นการปรับลด 0.25% ในทุกเดือน
FTSE จะปรับหุ้นใหม่ มีผล 19 ก.ย. ลด CPAXT ไปกลุ่ม MID Cap, BGRIM SAWAD ลดไปกลุ่ม Small Cap และ มีหุ้นถอดออกจาก Small Cap ได้แก่ BEC BSRC FORTH PSH SINGER SUPER THANI TKN TQM
กองทัพโปแลนด์ยืนยันเป็นครั้งแรก (10 ก.ย.) ว่า ได้ส่งเครื่องบินรบของตนเองและชาติพันธมิตรนาโตขึ้นปฏิบัติการยิงสกัดโดรนที่ล่วงล้ำเข้ามาในน่านฟ้า ระหว่างที่รัสเซียเปิดฉากโจมตีทางอากาศในภาคตะวันตกของยูเครน นับเป็นการเข้าปะทะกับยุทโธปกรณ์ในดินแดนโปแลนด์ครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามยูเครนเริ่มต้นขึ้น
หุ้นแนะนำวันนี้
TOP เก็งกำไรต่อ ตามกลุ่มพลังงานกลับมารับเม็ดเงิน Rotation
แนวรับ 35 ต้าน 38 Stop loss 33
Tactical port ถอด TU เพิ่ม TOP
รายงานพื้นฐานวันนี้
Retail Finance & Asset Management Sector
มีปัจจัยกระตุ้นใหม่ ที่ลุ้น Upside ได้ในปีหน้า
เรามีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นในปี 2026 ต่อกลุ่มการเงินที่เราศึกษาจาก
1) เราประเมินว่าเศรษฐกิจจะทยอยฟื้นตัวในปีหน้าและรัฐบาลใหม่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ผ่านมาตรการต่างๆ ทั้งการลดค่าครองชีพและมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการลดหย่อนภาษี ทำให้เราประเมินว่าจะช่วยให้สภาพคล่องของลูกหนี้ในกลุ่มการเงินจะดีขึ้น ทำให้เราประเมินว่าคุณภาพสินทรัพย์ของกลุ่ม Retail finance น่าจะยังควบคุมได้ในปีหน้า นอกจากนี้ ทิศทางการจัดเก็บเงินสดของกลุ่มบริหารสินทรัพย์ก็น่าจะทยอยฟื้นตัวด้วยเช่นกัน
2) นักเศรษฐศาสตร์ของเราประเมินว่า กนง. จะปรับลดดอกเบี้ย ลงอีก 1 ครั้งใน 4Q25 และอีก 1 ครั้งใน 1H26 มาที่ 1% ทำให้เราประเมินว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจ่ายของกลุ่ม Finance จะทยอยลดลงในปีหน้า โดยเราปรับประมาณการกำไรปีนี้และปีหน้าของกลุ่ม Finance ขึ้นเล็กน้อย สะท้อนการปรับลดสมมติฐาน cost of funds และ credit cost ลง และปรับเพิ่มแนวโน้มการจัดเก็บเงินสดของ JMT ขึ้นเล็กน้อย และ
3) เราไปศึกษาข้อมูลในอดีต 2 ชุด พบ SETFIN จะเล่นดีกว่า SET ได้แก่ ในช่วงหลังจากที่มีการโหวตเลือกนายกในช่วง 3 ครั้งหลังสุด แล้วก็ไปศึกษาข้อมูลในอดีตอีกชุดคือช่วงก่อนการเลือกตั้ง เราพบว่าโดยทั่วไปแล้ว SETFIN มักจะให้ผลตอบแทน outperform SET ซึ่งเราคาดว่าน่าจะเกิดจากความคาดหวังนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ที่มักจะช่วยกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ให้มีสภาพคล่องที่ดีขึ้น
Fundamental View: เราเลือก TIDLOR เป็น Top pick ของกลุ่ม Finance จากทิศทางกำไรเติบโตได้ดี คุณภาพสินทรัพย์ดีและ valuations ไม่แพง
นอกจากนี้ เรายังแนะนำ ซื้อ SAWAD เพราะเราคาดทิศทางกำไรปี 2026 น่าจะกลับมาเติบโตได้ 7% YoY จากสินเชื่อเติบโต และทิศทางคุณภาพสินทรัพย์น่าจะเริ่มควบคุมได้แล้ว
SCC
ปูนซิเมนต์ไทย
3 เครื่องยนต์ดันกำไร ติดพร้อมกัน
แนวโน้มธุรกิจของ SCC กลับมาน่าสนใจจากทั้ง 3 ธุรกิจหลัก ดังนี้
1) ธุรกิจ Packaging ยังคงมีทิศทางเติบโตได้ดีต่อ
2) ธุรกิจปูนซีเมนต์ อาเซียนยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก โดย GDP เวียดนามปีนี้คาดโต 6.5% และอินโดนีเซีย 4.8% ซึ่งสัมพันธ์ใกล้ชิดกับดีมานด์ปูนซีเมนต์ โดย 1H25 เวียดนามโต 14% YoY และอินโดนีเซียโต 3% ส่วนไทยแม้ GDP โตเพียง 1.4% แต่ความต้องการปูนยังโตได้ 5% YoY จากโครงการลงทุนภาครัฐ แม้ภาคที่อยู่อาศัยยังซบเซา ราคาขายปูนเฉลี่ยมีแนวโน้มปรับขึ้น QoQ จนถึงสิ้นปี หนุน margin ให้ดีขึ้น
3) ธุรกิจเคมี เริ่มฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด 4Q24 โดยสเปรด HDPE/Naphtha ขยับขึ้นจาก 316 เหรียญ/ตัน สู่ 362 เหรียญ/ตัน ใน 3Q25 จากการลดซัพพลายของอุตสาหกรรม ช่วยจำกัด downside risk และมีโอกาสเห็น upside หากดีมานด์ฟื้นแรงกว่าคาด การฟื้นตัวนี้ยังทำให้ SCC ตัดสินใจ restart ของโครงการ LSP ในเวียดนามเมื่อ 20 ส.ค. ที่ผ่านมา
Fundamental view: เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2025 ของ SCC ขึ้น 11% สู่ 23,455 ล้านบาท จากการฟื้นตัวของ LSP และการปรับเพิ่มกำไรของ SCGP พร้อมเลื่อนไปใช้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2026 ที่ 290 บาท (DCF, WACC 8.5%, terminal growth 2.0%) และคงคำแนะนำ ซื้อ
สรุปประเด็นจาก Quick take
BTS
บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์
สภา กทม. อนุม้ติจ่ายคืนหนี้ O&M
วันที่ 12 ก.ย. 2025 ที่ประชุมสภา กทม. อนุมัติให้ชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) โครงการรถไฟฟ้าสีเขียวส่วนต่อขยาย 1 และ 2 ให้กับ BTSC
View from fundamental: ข่าวดังกล่าวน่าจะเป็น positive sentiment ต่อราคาหุ้น นอกจากนั้นแนวโน้มการฟื้นตัวของผลการดำเนินงาน 2Q25 (ก.ค.-ก.ย.) น่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นในระยะสั้น เราจึงยังคงคำแนะนำ “ถือ”
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน