ภาพตลาดและแนวโน้ม
Market wrap & Outlook
Sentiment Tracker
Sentiment ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แย่ลงสวนทางตลาดหุ้นไทย
KEY FINDINGS:
สหรัฐฯ: แม้ว่าดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐยังเดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ จากความคาดหวังในการลดดอกเบี้ยของเฟด อย่างไรก็ตามบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับสะท้อนความระมัดระวังของนักลงทุนมากขึ้น เห็นได้จากการปรับตัวลงของเครื่องมือวัด Sentiment หลายตัว โดยดัชนี Fear & Greed Index อ่อนตัวจากโซน Greed ในสองสัปดาห์ก่อนหน้า มายืนในโซน Neutral ต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง สอดคล้องกับภาพของ Market Breadth ที่แคบลง ขณะที่ผลสำรวจ AAII ล่าสุด บ่งชี้ว่ามุมมองของนักลงทุนมีความแนวโน้มโน้มเอียงไปทาง Bearish มากขึ้น สะท้อนผ่าน Bull-Bear Spread ที่ลดลงและต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ลดลง
ไทย: ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง จากความชัดเจนทางการเมืองภายในประเทศ ท่ามกลางสัญญาณจาก BLS Greed & Fear Barometer ที่ฟื้นตัวได้ดีเช่นกัน โดยปรับสถานะขึ้นสู่โซน Greed ได้อีกครั้งหลังจากที่ลงมาแตะโซน Neutral ได้เพียงสัปดาห์เดียว โดยองค์ประกอบย่อยทุกตัวปรับขึ้นได้พร้อมกัน และยังมีช่องว่างที่จะปรับขึ้นได้อีกบ้าง ส่งผลให้มาตรวัดดังกล่าวมีโอกาสทรงตัวอยู่ในโซน Greed ได้ต่อไปในระยะสั้น
US MARKET SENTIMENT TRACKER:
ตลาดหุ้นสหรัฐฯยังคงปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ได้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา จากความคาดหวังในการลดดอกเบี้ยของเฟดหลังตัวเลขการจ้างงานประกาศออกมาอ่อนแอ และเงินเฟ้อฝั่งผู้ผลิต (PPI) ต่ำกว่าคาด สวนทางกับเครื่องมือชี้วัด Sentiment ที่ปรับตัวแย่ลง—CNN Fear & Greed Index ปรับลงจากระดับ 52 จุดสู่ 50 จุด ซึ่งอยู่ในโซน Neutral
ขณะที่ผลสำรวจความเชื่อมั่นนักลงทุนของ AAII สะท้อนถึงมุมมองเชิงลบต่อตลาดในช่วง 6 เดือนข้างหน้าที่มากขึ้น โดยนักลงทุนมีมุมมองฝั่ง Bearish เพิ่มขึ้นจาก 43.4% เป็น 49.5% (และสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 31.0%) ขณะที่มุมมองฝั่ง Bullish ลดลงจาก 32.7% เหลือ 28.0% (และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 37.5%) ส่งผลให้ Bull-Bear Spread ปรับลดลง 10.8% เหลือ -21.5% (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 6.5%) ส่วนผลสำรวจพิเศษของ AAII ในสัปดาห์นี้ สอบถามว่าผู้ตอบชอบหุ้นประเภทไหน ณ ตอนนี้ พบว่า 24% ชอบหุ้นปันผล, 13% ชอบหุ้นเน้นคุณค่า, 10% ชอบหุ้นเติบโต 4%, ชอบหุ้นขนาดเล็ก และที่เหลือ 49% ชอบแบบผสมผสานและอื่นๆ
THAI MARKET SENTIMENT TRACKER:
ในส่วนของตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นได้ดีในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยปิดบวก 2.8% เทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า จากความชัดเจนทางการเมืองภายในประเทศจากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และความคาดหวังเชิงบวกต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่มาตรวัด BLS Greed & Fear Barometer ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 51 เป็น 66 คะแนน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนจากโซน Neutral เข้าสู่โซน Greed หนุนจากการปรับขึ้นของทุกองค์ประกอบย่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดัชนี Bull-to-Bear ที่ปรับตัวขึ้นจากระดับ 36.1% สู่ 58.3% ดัชนี Volume Index ที่รีบาวด์หลังจากแกว่งไซด์เวย์ในโซนใกล้ Mid-point มาเป็นเวลา 7 สัปดาห์ ดัชนี Momentum Strength ที่กลับมาปรับขึ้นได้ครั้งแรกในรอบ 4 สัปดาห์จาก +16 จุดเป็น +22 จุด และความผันผวนของตลาดที่ปรับลดลง
IMPLICATION:
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง สวนทางกับบรรยากาศการลงทุนอ่อนแรงลงเป็นสัปดาห์ที่สอง โดยเครื่องชี้วัดความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่าง CNN Fear & Greed Index อ่อนตัวมายืนในโซน Neutral ต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สองสอดคล้องกับ Bull-Bear Spread จากผลสำรวจของ AAII ที่ชะลอลงเช่นกัน สะท้อนถึงการที่นักลงทุนระมัดระวังการถือครองความเสี่ยงมากขึ้น แม้ว่าความคาดหวังในการลดดอกเบี้ยของเฟดจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอลงจะหนุนดัชนีให้ปรับขึ้นก็ตาม
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้ดี โดย BLS Greed & Fear Barometer ฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง และกลับเข้าสู่โซน Greed ได้อีกครั้งหลังจากย่อตัวลงมาแตะโซน Neutral ได้เพียงสัปดาห์เดียว ทั้งนี้องค์ประกอบย่อยต่างๆที่กลับมาปรับขึ้นอีกครั้งนั้น ยังคงมีช่องว่างให้ปรับตัวขึ้นได้อีกบ้าง ส่งผลให้ดัชนี SET มีโอกาสขยับขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไปโซน 1,300-1,320 จุด
สรุปภาพตลาดวานนี้
หุ้นไทยไปต่อ ทะลุ High ก่อนหน้าสำเร็จ นำโดย PTT PTTEP DELTA CCET ADVANC KTB และหุ้นกลุ่มร้านอาหารบวกแรง (ปลดล็อคขายแอลฯ) M MAGURO JPARK (ที่จอดรถอานิสงค์ตามมาด้วย) เป็นต้น ส่วนหุ้นด้านลบกดดันตลาด GULF THAI BDMS BH BBL KBANK เป็นต้น
แนวโน้มตลาดวันนี้
ต้านถัดไป 1300
วันนี้คงคาดหุ้นไทย Sideways up ต่อ แนวต้านถัดไปจาก 1280 จุด คาดทดสอบ 1300 จุด จากแรงซื้อหุ้นพลังงาน และหุ้นอื่นที่มีอิทธิพลต่อดัชนีฯ เช่น DELTA AOT THAI ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงเดินหน้าซื้อหุ้นไทย, และตลาดหุ้นไทยยังไม่เห็นประเด็นลบใหม่ที่จะกดดันตลาดหุ้น
ปัจจัยแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยช่วงนี้-คาดค่อนไปทางบวก เช่น แนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด-ผ่อนคลายมากกว่าเดิมผลสำรวจบางส่วน และโบรกเกอร์ต่างชาติเริ่มคาดเฟดปรับลดดอกเบี้ยรอบนี้ 0.50%,
การปรับลดดอกเบี้ยของ กนง. (ราคาหุ้นกลุ่มแบงก์ เริ่มปรับฐานลงจากแรงขายทำกำไรก่อนทิศทางดอกเบี้ยขาลงบวกกับหุ้นขึ้น XD เป็นที่เรียบร้อย (ตามคาด) กลยุทธ์คงคำแนะนำ ใครขายไปแล้วตามคำแนะนำ-รอจังหวะซื้อคืน คาดอยู่ในช่วงครึ่งหลังของเดือน ก.ย.), การเมืองในประเทศนิ่ง (รอนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น)
ด้านปัจจัยเสี่ยงอื่นที่ต้องติดตามพัฒนาการแต่ตอนนี้ยังไม่กระทบบรรยากาศลงทุนหุ้นไทย คือสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ เช่น อิสราเอลอ้างเหตุโจมตีฮามาสในการ์ต้า, สงครามรัสเซีย-ยูเครน ล่าสุดกระทบไปถึงโปแลนด์, เหตุประท้วงในฝรั่งเศส...
ดังนั้นกลยุทธ์แนะนำเลือกซื้อหุ้นดักทิศทางตลาดหุ้นไทยที่จะโฟกัสไปที่ประเด็นการลงทุนที่เราลิสต์แนวโน้มไว้ล่วงหน้า
1) หุ้นได้ประโยชน์จากการเดินหน้ามาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะสั้น, ปัญหาการค้าชายแดนบรรเทา
2) ธีมการลงทุนอื่นๆ เช่น หุ้นเล่นดักทิศทางบาทอ่อน (ตอนนี้อาจแข็งค่าผิดปกติ แต่คงคาดว่าจะมีมาตรการดูแลจากหน่วยงานกำกับฯ ไม่ให้ค่าเงินผันผวนแข็งค่ารุนแรง)
3) หุ้นเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลก และหุ้นที่มี Upside จากการปรับประมาณการณ์กำไรเพิ่มสำหรับปีนี้-ปีหน้า
กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้-สะสมหุ้นเมื่อราคาย่อลงมาตามแนรับ เน้นไปที่หุ้นผลตอบแทนเงินปันผลสูง, หุ้นที่มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไร และ เพิ่มการเล่นหุ้นตามกระแสการเก็งกำไร
วิเคราะห์ทางเทคนิค
SET ใช้เวลาเพียง 10 กว่าวันสามารถทะลุเป้าหมายของเดือนก.ย.ที่ 1,280 จุด สำเร็จ! เร็วกว่าคาด ขณะที่ price pattern โชว์รูปแบบ“ W-shape” แม่นยำ ได้แรงหนุน แรงส่งจากโมเมนต้ม MACD cross ตัดขึ้น บ่งชี้จุดกลับตัวเหลือแต่เพียงวอลุ่มยังไม่เพิ่ม ถ้าจะให้องค์ประกอบขาขึ้นครบสมบูรณ์แบบ วอลุ่มอาจต้องเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ คาดหวังไว้สูงกว่าค่าเฉลี่ย 6 หมื่นบาท ยิ่งทำให้โอกาสขึ้นต่อเนื่อง next station…มองไปที่โซนต้านจิตวิทยา 1,300 จุด ขณะที่มุมมองระยะยาวเคยให้เป้าดัชนีปลายปีนี้อยู่ที่ 1,330 (Fibo 61.8%) อยู่ในรอบคลื่นขาขึ้น Impulse Wave (แรงที่สุด) อาจไม่ต้องรอนาน
*ในทางตรงกันข้าม ความเสี่ยงการที่ดัชนีทะลุทำ high ใหม่ แต่!เครื่องมือวัดโมเมนตัม วัดพลัง อาจยังตามไม่ทันมีภาพ divergence (เล็กๆ) เกิดขึ้น แนะนำใช้แผนปิดความเสี่ยงกันพลาด ดัชนีต้องไม่ลงต่ำกว่าเส้น EMA 10 วัน 1,270 จุด(Trailing stop)
ไฮไลท์กราฟเด็ด: จับตาจุดเปลี่ยน…..ขาขึ้นของน้ำมัน!+ สแกนหุ้นเชื่อมโยง….ขึ้นตามน้ำมัน!/ PTTEP เปลี่ยนจังหวะแดนซ์/ TOP ทะลุ EMA 200 วัน….สำเร็จ!/ SPRC Double bottom! ติดตามแผนเทรด….
What to watch
คาดธนาคารกลางจีน (PBOC) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย หลังจากประเมินข้อมูลเงินเฟ้อที่มีการเปิดเผยล่าสุดจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานในวันนี้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ปรับตัวลง 0.4% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในรอบ 6 เดือน
ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดราคาสินค้าหน้าประตูโรงงาน ลดลง 2.9% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งแม้ว่าไม่มากเท่ากับในเดือนก.ค.ที่ร่วงลง 3.6% แต่ดัชนีได้ปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 35
FTSE จะปรับหุ้นใหม่ มีผล 19 ก.ย. ลด CPAXT ไปกลุ่ม MID Cap, BGRIM SAWAD ลดไปกลุ่ม Small Cap และ มีหุ้นถอดออกจาก Small Cap ได้แก่ BEC BSRC FORTH PSH SINGER SUPER THANI TKN TQM
FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่าขณะนี้นักลงทุนให้น้ำหนัก 88% ในการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 16-17 ก.ย.นี้ และให้น้ำหนัก 12% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมครั้งนี้ // ด้านบริษัทโบรกเกอร์หลายแห่งได้ปรับเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยนักวิเคราะห์ของ Barclays คาดว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยจำนวน 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปีนี้ เทียบกับที่เคยคาดไว้ 2 ครั้งก่อนหน้านี้ ขณะที่ Standard Chartered คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนก.ย. ซึ่งเพิ่มขึ้นสองเท่าจากที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งนี้
กองทัพโปแลนด์ยืนยันเป็นครั้งแรก (10 ก.ย.) ว่า ได้ส่งเครื่องบินรบของตนเองและชาติพันธมิตรนาโตขึ้นปฏิบัติการยิงสกัดโดรนที่ล่วงล้ำเข้ามาในน่านฟ้า ระหว่างที่รัสเซียเปิดฉากโจมตีทางอากาศในภาคตะวันตกของยูเครน นับเป็นการเข้าปะทะกับยุทโธปกรณ์ในดินแดนโปแลนด์ครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามยูเครนเริ่มต้นขึ้น
หุ้นแนะนำวันนี้
CPAXT หุ้นรับอานิสงส์บวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แนวรับ 21.8 ต้าน 23.5 Stop loss 21
รายงานพื้นฐานวันนี้
Home Décor & Construction Retail
เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว
กลุ่ม Home improvement รอบนี้ เราเห็นสัญญาณการฟื้นตัว โดย SSS ในเดือนสิงหาคม โดยภาพรวมติดลบน้อยลง และเด่นสุด คือ ILM ที่ SSS ปรับตัวขึ้นมาเป็นบวก +4-5% จากสินค้าเฟอร์นิเจอร์
GLOBAL ปรับตัวดีขึ้น จาก -3-4% ในเดือนก.ค. มาเป็นทรงตัว และคาด GM ปรับตัวดีขึ้นกว่า 2Q25 ที่ผ่านมาด้วย, HMPRO ติดลบระดับ -4-5ซึ่งไม่หนักเท่า 2Q25 ที่ติดลบไปถึง -10%
ในทางกลับกัน DOHOME ยังปรับตัวลงแรงสุด (แต่ก็ดีขึ้นจาก 2Q25 เล็กน้อย)
Fundamental view: จากสัญญาณที่เราเริ่มเห็นการกลับตัว ทำให้เราเพิ่มน้ำหนักการลงทุนจากน้อยกว่าตลาด เป็นเท่ากับตลาด และมีการปรับคำแนะนำ ดังนี้
ILM และ HMPRO: ปรับเพิ่มคำนำจากขาย เป็น “ซื้อ”
GLOBAL: แนะนำเป็นถือ
ส่วน DOHOME ยังคงคำแนะนำขาย เนื่องจาก valuation ตึงตัว บวกกับสัญญาณฟื้นตัวยังไม่เด่นชัดเท่ากับตัวอื่นในกลุ่ม
IT Retail Sector
ยอดขายโตชะลอลงสั้นๆ แต่กำลังจะกลับมา
ยอดขายกลุ่ม IT Retail ก.ค.–ส.ค. 2025 โต +9% YoY ชะลอลงจาก +12% ใน 2Q25 ตามการรอ iPhone 17 แต่ไม่เหนือความคาดหมายของเราคาด (+8% YoY สำหรับ 3Q25)
โดยเดือนก.ค.-ส.ค.2025 ADVICE รายงานยอดขายโตเด่นสุด +16–18% จากการเพิ่มสาขา Apple-capable, SYNEX โต 10% จาก smart device, COM7 โต 6–8% และ SIS โตเพียง 1–3%.
หากมองไปข้างหน้า เรามองการเปิดตัว iPhone 17 ก.ย.นี้ และการสิ้นสุดซัพพอร์ต Windows 10 ปลาย ต.ค. จะเป็นแรงขับต่อการเติบโตยอดขายใน 4Q25 หนุนความต้องการเปลี่ยนเครื่อง ซึ่งหากอิงจากสัดส่วนยอดขาย Apple ต่อยอดขายรวม เราคาด COM7 ได้ประโยชน์สูงสุดตามด้วย SYNEX และ ADVICE ตามลำดับ
ดังนั้น เราจึงคาดกำไรหลัก 3Q25 รวมของกลุ่มค้าปลีกจะยังโตแข็งแกร่ง 14% YoY นำโดย COM7 (+20%YoY) ตาม SYNEX และ ADVICE ในขณะเดียวกัน เราประเมินว่ากำไรกลุ่มนี้อาจมีโอกาสเกิด upside ได้หากรัฐมีออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคเพิ่มเติม อย่างเช่น มาตรการ “ช็อปดีมีคืน” และการลดหย่อนติดตั้งโซลาร์ โดย COM7 จะเด่นสุดจากสาขาและแบรนด์แข็งแกร่ง
Fundamental view: เราชอบ COM7 (ราคาเป้าหมาย 27 บาท) และ SYNEX (ราคาเป้าหมาย 13.6 บาท) และเลือกเป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม
ITEL
อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม
ก้าวต่อไปจากผู้ให้บริการโครงข่ายในประเทศสู่ตัวเชื่อมระดับภูมิภาค
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราจัด Virtual Conference กับ ITEL และได้เห็นภาพชัดขึ้นถึง บทบาทใหม่ของบริษัทในฐานะ Regional Connector ผ่านความร่วมมือกับ SEAX ที่ทำให้ ITEL สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายระดับอาเซียนได้ครบวงจร ทั้งไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย รองรับความต้องการของลูกค้า Hyperscaler และ Social media อย่าง TikTok ได้ดียิ่งขึ้น
ในฝั่ง Data Center ปัจจุบันไทยมี Live Demand ราว 60MW แต่คาดว่าจะเพิ่มเป็น 200–300MW ภายใน 2–3 ปี โดยมีโครงการใหม่ 17 แห่ง มูลค่า 5–6 หมื่นล้านบาท การลงทุน DC ต้องอาศัยที่ดิน ไฟฟ้า (เชื่อมสายส่งและสร้าง Substation กับ PEA) และ Connectivity ที่มั่นคง แม้ไทยจะเผชิญ Oversupply ในประเทศ แต่โอกาสคือการ ดึง Regional Workload เข้ามา Blend และ Balance ขณะที่การเลือกทำเล DC ในภูมิภาคขึ้นกับ ต้นทุนไฟฟ้าเป็นหลัก
สุดท้าย ในแง่ รายได้ ITEL คาดว่า Interconnect Revenue จะโตจากไม่ถึง 60 ล้านบาทต่อปี เป็น 400–600 ล้านบาทใน 2–3 ปี เทียบกับ Domestic Revenue ที่ราว 2 พันล้านบาท จุดแข็งคือบริษัทไม่ต้องลงทุน Backbone ใหม่ แต่ขยาย Bandwidth Management โดยมีพาร์ทเนอร์ร่วมทุน อีกทั้ง Utilization ที่สูงขึ้นทำให้ Margin ดีขึ้นตาม Scale และอนาคตจะเข้าสู่ยุค Full-Mesh Connectivity ที่ความต้องการลิงก์เชื่อมต่อจะเร่งตัวแบบก้าวกระโดด
สรุปประเด็นจาก Quick take
WHA
ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น
ประเด็นสำคัญจากงานประชุม WHA 2H25 outlook
WHA ยังคงเป้าการขายที่ดิน (presale) ปี 2025 ที่ 2,350 ไร่ WHA เตรียมพัฒนานิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ในสระบุรี ขนาด 2,500 ไร่ เพื่อดึงดูดผู้ผลิต semiconductor คาดเริ่มพัฒนาในปี 2026
View from fundamental: เรามองว่ายอดขายที่ดินของ WHA น่าจะ ถึงจุดพีคแล้วในปีนี้ เนื่องจากแรงซื้อจากกลุ่ม data center ช่วงต้นปีเป็นการ “เร่งซื้อ” ก่อน BOI ใช้เกณฑ์ใหม่ที่เข้มงวด อย่างไรก็ตาม WHAUP จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตต่อจากนี้ เพราะเมื่อ data center เริ่มก่อสร้างและเดินเครื่อง ความต้องการใช้น้ำและไฟจะเพิ่มต่อเนื่อง
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน