สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(3 กันยายน 2568)---------• ธุรกิจโรงแรมและที่พักเผชิญหลายปัจจัยลบ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในปี 2568 รายได้ธุรกิจโรงแรมและที่พักจะหดตัว 4.5% จากปี 2567 จากรายได้ห้องพักที่ลดลงตามการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยว ราคาห้องพักเฉลี่ยที่ปรับลดลง รวมถึงรายได้จากการจัดงานประชุมและสัมมนาที่ลดลง
• ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า อัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate: OCC) ของสถานพักแรมทั่วประเทศจะอยู่ที่ประมาณ 69.83% ลดลง 2.3% จากปี 2567 ขณะที่ราคาห้องพัก (Average Daily Rate: ADR) เฉลี่ยปรับลดลง 4% จากปี 2567 เนื่องจากผู้ประกอบการต้องใช้กลยุทธ์ด้านราคากระตุ้นตลาดต่อเนื่อง กระทบรายได้ของธุรกิจจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยลดลง
ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 เครื่องชี้ธุรกิจโรงแรมและที่พักสะท้อนภาพที่ปรับตัวลดลง จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่า ในช่วงเดือนม.ค-ก.ค. 2568 อัตราการเข้าพักของสถานพักแรมทั่วประเทศอยู่ที่ 71.66% หดตัว 0.2% (YoY)
เนื่องจากธุรกิจโรงแรมและที่พักต้องเผชิญกับหลายปัจจัยลบ อาทิ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยหดตัว คนไทยเที่ยวในประเทศโตช้าลง อุทกภัยในจังหวัดภาคเหนือตอนบน รวมถึงสถานการณ์ระหว่างไทยและกัมพูชา
ในช่วงที่เหลือของปี แม้ธุรกิจจะมีปัจจัยบวกจากโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง แต่เนื่องจากปัจจัยลบของธุรกิจโรงแรมที่มากขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในปี 2568 รายได้ของธุรกิจโรงแรมและที่พักจะปรับลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี จากรายได้ที่ลดลงตามอัตราการเข้าพัก และราคาห้องพักที่ปรับตัวลดลง รวมถึงรายได้จากการจัดงานประชุมสัมมนาที่ลดลง
• อัตราการเข้าพักของสถานพักแรมทั้งประเทศน่าจะอยู่ที่ประมาณ 69.83% หดตัว 2.3% จากปี 2567 (รูปที่ 2) สาเหตุหลักมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยที่คาดว่าจะหดตัว 9% จากปีก่อน หรือมีจำนวน 32.2 ล้านคน และวันพักเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง
และแม้ว่าการท่องเที่ยวจะได้รับปัจจัยหนุนจากคนไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อพิจารณารูปแบบการท่องเที่ยว พบว่า คนไทยมากกว่าครึ่งเป็นกลุ่มเดินทางแบบไม่พักค้างในพื้นที่ หรือกลุ่มนักทัศนาจร ซึ่งมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (รูปที่ 3)
• ราคาห้องพักเฉลี่ยทั้งปี 2568 คาดว่าจะปรับลดลง 4% จากปีที่ผ่านมา (รูปที่ 4) ขณะที่ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ดัชนีราคาห้องพักเฉลี่ยปรับลดลง 5% โดยผู้ประกอบการต้องปรับใช้กลยุทธ์ด้านราคาในการดึงดูดผู้ใช้บริการ เนื่องจากความต้องการเดินทางท่องเที่ยวลดลง ขณะที่การแข่งขันในธุรกิจโรงแรมและที่พักสูง จากจำนวนห้องพักสะสมในตลาดสูง โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมพักเป็นกลุ่ม Midscale โดยราคาห้องพักเฉลี่ยอยู่ที่ 1,850 บาทต่อคืน
• รายได้อื่นๆ อาทิ การจัดงานประชุม/สัมมนาจากองค์กรภาครัฐและเอกชนในประเทศ รวมถึงจากต่างประเทศปรับลดลง นอกจากนี้การจัดงานระดับนานาชาติและคอนเสิร์ตศิลปินระดับโลกมีจำนวนลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จากข้อมูลของ TCEB ระบุว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 การจัดงานประชุม/สัมมนาทั้งจากในและต่างประเทศ หดตัว 13% (YoY)
จากปัจจัยดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในปี 2568 รายได้ของธุรกิจโรงแรมและที่พักน่าจะหดตัว 4.5% จากปี 2567 หรือมีมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านบาท โดยปรับลดลงทั้งรายได้ที่พักและรายได้อื่นๆ (รูปที่ 5) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 มองว่า ภาพรวมรายได้ของธุรกิจโรงแรมและที่พักหดตัวประมาณ 2.8% และในช่วงครึ่งหลังของปี คาดว่ายังมีทิศทางที่ลดลงต่อเนื่อง สำหรับผลกระทบของผู้ประกอบการจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับทำเล รูปแบบที่พัก การแข่งขัน การทำราคา และกลยุทธ์การตลาดที่ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการ
สำหรับในช่วงที่เหลือของปีนี้กลุ่มโรงแรมและที่พักที่ต้องระวัง อาทิ
• กลุ่มโรงแรมและที่พักที่พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติสูง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากเอเชียตะวันออก ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก อาทิ กลุ่มโรงแรมในพื้นที่กรุงเทพฯ ชลบุรี สงขลา และเชียงใหม่ กอปรกับจังหวัดดังกล่าวมีจำนวนห้องพักสะสมในพื้นที่สูง ทำให้การแข่งขันในพื้นที่จะสูงขึ้นตามมา
• กลุ่มโรงแรมและที่พักที่อยู่แนวเขตชายแดนไทย-กัมพูชา อาทิ สระแก้ว และอุบลราชธานี อย่างไรก็ดี สำหรับจังหวัดตราด ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางที่ชาวต่างชาตินิยมเดินทางมาท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสสุดท้าย หากสถานการณ์ชายแดนไม่มีความรุนแรง คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวขึ้นของอัตราการเข้าพัก
อย่างไรก็ดี จังหวัดที่คาดว่าจะยังเห็นการเติบโต ส่วนใหญ่จะเป็นจังหวัดที่เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวของคนไทย อาทิ กาญจนบุรี พังงา นครศรีธรรมราช นครราชสีมา และนครพนม เป็นต้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ไปข้างหน้าธุรกิจโรงแรมและที่พักเผชิญกับปัจจัยความไม่แน่นอนสูง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรายได้และผลกำไรของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก ซึ่งผู้ประกอบการมากกว่าครึ่งยังมีสัดส่วนหนี้สินต่อรายได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด (ค่าเฉลี่ยภาระหนี้สินต่อรายได้ของตลาดอยู่ที่ประมาณ 3.5 เท่า) ขณะที่รายได้ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
• ความเสี่ยงจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและไทยอาจต่ำกว่าที่ประเมิน เนื่องจากตลาดยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ เศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศมีแนวโน้มชะลอตัว ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ รวมถึงสถานการณ์ชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งอาจกระทบแผนการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ
• การแข่งขันธุรกิจโรงแรมสูงในทุกเซ็กเม้นท์ โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวหลักที่มีจำนวนห้องพักสะสมสูง อาทิ กรุงเทพฯ ภูเก็ต และชลบุรี ซึ่งมีจำนวนห้องพักคิดเป็น 40% ของจำนวนห้องพักทั่วประเทศ และในปี 2568 นี้ จำนวนห้องพักสร้างเสร็จเข้าสู่จังหวัดดังกล่าวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อาทิ พื้นที่กรุงเทพฯ มีจำนวนห้องพักเพิ่มขึ้นประมาณ 3,000 ห้อง หรือ 2% จากปีก่อน และภูเก็ต จำนวนห้องพักเพิ่มขึ้นประมาณ 1,500 ห้อง หรือ 3% จากปีก่อน โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรมระดับ upscale ขึ้นไป จะเผชิญกับความท้าทายมากขึ้น เนื่องจากในระยะหลังโรงแรมและที่พักที่สร้างเสร็จเปิดใหม่ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่ม upscale ขึ้นไป ทำให้การทำราคาอาจมีข้อจำกัด
• ความท้าทายในการบริหารจัดการต้นทุนจากต้นทุนการดำเนินงานอย่างค่าแรงที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ปัจจุบันสถานการณ์ท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัว และการแข่งขันรุนแรงทำให้การส่งผ่านต้นทุนมายังผู้ใช้บริการทำได้จำกัด เนื่องจากต้นทุนเงินเดือนพนักงานของธุรกิจโรงแรมและที่พักเฉลี่ยที่ประมาณ 25%-30% จากต้นทุนทั้งหมด (ขึ้นอยู่กับขนาดและโครงสร้างของธุรกิจ)
สำหรับผลกระทบต่อโรงแรมแต่ละพื้นที่ไม่เท่ากัน โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบสูงส่วนใหญ่เป็นจังหวัดท่องเที่ยวรอง เนื่องจากอัตราการเพิ่มของต้นทุนแรงงานจะสูงขึ้นจากเดิมมากกว่าจังหวัดอื่นเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 14%-19% เมื่อเทียบกับอัตราค่าจ้างในเดือน ม.ค. 2568
• การปรับตัวสู่โรงแรมยั่งยืนมีความจำเป็นต่อธุรกิจมากยิ่งขึ้น เนื่องจากกฎระเบียบและมาตรการของทางการทั้งทางตรงและอ้อม ความต้องการของลูกค้าและพันธมิตรการค้าที่ต้องการใช้บริการโรงแรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงโรงแรมคู่แข่งมีการปรับตัวในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก