Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.ทิสโก้ : ITC เปลี่ยนคำแนะนำเป็น “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปีหน้า 18.50 บาท

94



Company Note
i-Tail Corporation
สรุปจากงาน TISCO Exclusive Talk

ประเด็นสำคัญและแนวโน้ม

ผู้บริหารเน้นย้ำว่าเนื่องจากบริษัทส่งออกเป็นหลัก (98-99%) ควรพิจารณายอดขายในรูปดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในรอบ 6 เดือนเติบโต 8.1% YoY (รูปเงินบาท +1.5% YoY) ถือเป็น Key Message ที่สำคัญ โดยปริมาณการขาย (Volume) เพิ่มขึ้น 10.5% YoY ซึ่งเป็นอีกปัจจัยสนับสนุนการเติบโต สำหรับสัดส่วนพรีเมียมมิกซ์ (Premium Mix) ใน 2Q25 ลดลงมาอยู่ที่ 46.3% เทียบกับ 54.4% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังสัดส่วนนี้จะทยอยดีขึ้น เนื่องจากมีโครงการผลิตภัณฑ์ใหม่ (NPD) ที่จะเปิดตัว โดยในเดือน ก.ค.25 คาดว่าสัดส่วนขึ้นไปแตะช่วงระดับบนของเป้าหมายบริษัทหรือที่ 50%

ผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ (US Tariff)

การขึ้นภาษี 19% จากไทย ไม่ได้หมายความว่าราคาสินค้าที่ผู้บริโภคซื้อจะแพงขึ้น 19% จากการคำนวณเบื้องต้น หากราคาขายจากโรงงานคือ 100 บาท ราคาขายปลีกจะอยู่ที่ประมาณ 250-300 บาท การขึ้นภาษี 19 บาท จะทำให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้นเป็น 319 บาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 6% ภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนี้คาดว่าจะถูกแบ่งกันระหว่าง 3 ส่วนคือ ผู้บริโภค, ลูกค้า (ผู้นำเข้า/เจ้าของแบรนด์) และผู้ผลิตอย่าง ITC โดยลูกค้าบางรายได้เริ่มทยอยปรับขึ้นราคาแล้ว โดยจะมีผลตั้งแต่ 1 ก.ย.25 เป็นต้นไป

การแบ่งภาระต้นทุนจากภาษี (Tariff)

ผู้บริหารชี้แจงว่าการแบ่งภาระต้นทุนจากภาษีระหว่าง 3 ส่วน (ผู้ผลิต, ลูกค้าหรือเจ้าของแบรนด์, ผู้บริโภค) ไม่ได้หมายความว่าจะหารกันเท่าๆ กัน สำหรับครั้งนี้ จะทำในรูปแบบของการช่วยลูกค้าทำโครงการลดต้นทุน (Cost Saving Initiatives) แทนการให้ส่วนลดโดยตรง เพื่อปกป้องอัตรากำไรของบริษัทไว้

เรามีมุมมองเป็นบวก จากสถานกาณณ์ US tariff มีแนวทางแก้ปัญหาที่ชัดเจน และคาดผลกระทบในเชิงปริมาณจะไม่มากนัก เนื่องจากผลกระทบที่ขึ้น 19% เป็นราคารต้นทาง และราคาปลายทางถึงผู้บริโภคที่ขึ้นอาจจะไม่ถึง 6-7% เพราะทางผู้ผลิตและลูกค้ารับภาระบางส่วน และสถานการณ์ปัจจุบันลูกค้าบางรายไม่มีการต่อรองราคาจากกรณีที่ลูกค้าขึ้นราคาปลายทาง 6-7% ทำให้ผู้ผลิตและลูกค้าอาจจะไม่ต้องรับภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นในส่วนนี้ อย่างไรก็ตาม การขึ้นราคาปลายทางบริษัทอาจจะมาพิจารณาปริมาณการขายว่ามีผลกระทบไหมอีกครั้ง สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันยอดขายสินค้าพรีเมี่ยมที่เพิ่มขึ้นเป็นสัญญาณที่ดีจากการออกสินค้าใหม่และลูกค้ามีการสั่งสินค้าพรีเมี่ยมเพิ่มขึ้น

ความเสี่ยงที่ลูกค้าจะย้ายฐานการผลิตกลับไปสหรัฐฯ จำกัด

ผู้บริหารมองว่ามีความเป็นไปได้ แต่โอกาสน้อยมาก ด้วยเหตุผลดังนี้คือ 1) ผู้ผลิตในสหรัฐฯ ก็มีต้นทุนสูงขึ้นเช่นกัน เพราะต้องนำเข้าวัตถุดิบอย่างเหล็กทำกระป๋อง หรือบรรจุภัณฑ์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาษีเช่นกัน 2) โรงงานในสหรัฐฯ มีกำลังการผลิตที่ค่อนข้างเต็มแล้ว การจะขยายโรงงานต้องใช้เวลาและเงินลงทุนสูง 3) ITC และผู้ผลิตไทยมีความเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้าแบบ "Real Meat" ซึ่งใช้แรงงานเข้มข้น ขณะที่ผู้ผลิตในสหรัฐฯ เก่งเรื่อง "Reform Meat" มากกว่า ซึ่งการผลิตแบบ "Real Meat" มีต้นทุนแรงงานในไทยที่ได้เปรียบกว่าสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ

กลยุทธ์ M&A ตั้งเป้าหมายทำรายได้ 500 ล้านเหรียญฯในปี 2030

บริษัทมองหาธุรกิจที่ใกล้เคียงกับธุรกิจหลักและมีอัตรากำไรที่น่าสนใจ ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Freeze-dried เป็นหนึ่งในกลุ่มที่สนใจศึกษา เนื่องจากมีกำไรดีและเป็นสิ่งที่บริษัทยังไม่มี เป้าหมายการเติบโตจาก M&A คือ 500 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2030 ซึ่งคาดว่าจะมาจากการเข้าซื้อกิจการประมาณ 3 ดีล

ความร่วมมือกับ Mitsubishi Corporation ต่อยอด Synergy ร่วมกัน

มีความร่วมมือกันอยู่แล้วใน 2 หน่วยธุรกิจคือ Frozen และ Pet เป้าหมายคือการทยอยย้ายฐานการผลิตที่ Mitsubishi เคยสั่งจากซัพพลายเออร์รายอื่นมายังกลุ่มไทยยูเนี่ยนมากขึ้น Mitsubishi เป็นลูกค้าของบริษัทอยู่แล้วในปัจจุบัน เป้าหมายของความร่วมมือคือการทยอยย้ายฐานการผลิตสินค้าที่ปัจจุบัน Mitsubishi สั่งจากซัพพลายเออร์รายอื่น (ซึ่งเป็นคู่แข่งของ i-Tail) ให้มาผลิตกับทางกลุ่มไทยยูเนี่ยนและ i-Tail มากขึ้น

พัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงสูงวัย (Aging Pets)

บริษัทมีแผนพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (Functionality) ซึ่งรวมถึงสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงสูงวัย โดยอยู่ในแผนงานด้านนวัตกรรม (Innovation Roadmap) ของบริษัทตัวอย่าง: บริษัทได้พัฒนา "ผงแคลเซียมจากธรรมชาติ" (Natural Calcium Powder) ซึ่งสกัดจากก้างปลาทูน่า (ผลพลอยได้จากฝั่งธุรกิจอาหารคนของไทยยูเนี่ยน) เพื่อนำมาใช้ในสินค้าที่ช่วยบำรุงกระดูกและข้อ (Bone & Joint) ซึ่งตอบโจทย์สัตว์เลี้ยงสูงวัยโดยตรงแนวโน้มนี้คาดว่าจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตามเทรนด์ที่สัตว์เลี้ยงมีอายุยืนยาวขึ้น

ความสามารถในการแข่งขันของเวียดนามและจีน

ประเทศเวียดนามแม้ภาษีจะใกล้เคียงกัน แต่โครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมสนับสนุน (Supporting Industry) เช่น บรรจุภัณฑ์, โลจิสติกส์, วัตถุดิบ ของเวียดนามยังตามหลังไทยอยู่พอสมควร (ประมาณ 10 ปี) ความพร้อมในการรองรับออเดอร์ขนาดใหญ่และความมีเสถียรภาพยังน้อยกว่าไทย สำหรับประเทศจีน ผู้ผลิตในจีนส่วนใหญ่มุ่งเน้นตลาดในประเทศเป็นหลัก ความพร้อมในการส่งออกและใบอนุญาตต่างๆ ยังมีน้อยกว่าประเทศไทย

ผลกระทบจากแรงงานกัมพูชาไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากแรงงานต่างชาติส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากเมียนมา โดยแรงงานกัมพูชามีสัดส่วนน้อยกว่า 1%

 

คาดผลประกอบการจะเติบโตในครึ่งปีหลังและปีหน้าเริ่มเป็นบวก

เราคาดผลประกอบการ 2H25F จะดีกว่าครึ่งปีแรก จากการพัฒนาสินค้าใหม่และลูกค้ารายใหม่ที่คาดเพิ่มขึ้น และคาดอัตราทำกำไรจะอ่อนตัวเทียบกับครึ่งปีแรกจากการช่วย support ลูกค้าจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้น คาดค่าใช้จ่าย consultant fee จะค่อยๆลดลงในไตรมาสถัดไป เราคงประมาณการปี 2025-26F คาดกำไรมาอยู่ที่ 3.05 พันล้านบาท (-15% YoY) และ 3.25 พันล้านบาท (+7% YoY) จากผลประกอบการครึ่งปีแรก โดยเฉพาะกลุ่มอเมริกาเป็นหลักที่ดีกว่าที่คาด จากการปรับสินค้า product mix ที่เหมาะสม มีรายได้เพิ่มขึ้น จากปริมาณการขายเพิ่มขึ้นแม้ว่าราคาขายเฉลี่ยลดลง สำหรับกลุ่มยุโรปและเอเชียคาดปริมาณการและราคาขายเฉลี่ยลดลงจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

เราคาดปริมาณการส่งออกรวมปี 2025F เพิ่มขึ้น 11% และราคาเฉลี่ยลดลง 7% (จากเดิมคาดปริมาณลดลง และราคาเฉลี่ยทรงตัว) และปี 2026F คาดการณ์แบบอนุรักษนิยมจากเศรษฐกิจชะลอตัวคาดปริมาณการขายเพิ่มขึ้น 5% และราคาขายเฉลี่ยทรงตัว คาดอัตรากำไรขั้นต้นลดลงจากปี 2024F จากแนวโน้มราคาปลาทูน่าที่คาดเพิ่มขึ้นกลับสู่ระดับปกติที่ 1,600$/tons จากการทำ sensitivity การเปลี่ยนแปลงทุกๆ +1% ของต้นทุนปลากระทบกำไรสุทธิ +/- 0.6% (ต้นทุนปลาทูน่าคิดเป็น 18% ของต้นทุนรวม) คาดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น จากโปรเจกต์เทลวินด์ (Tailwind) ซึ่งมุ่งเน้นที่การเร่งการเติบโตในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ปัจจุบันค่าใช้จ่ายส่วนนี้คิดเป็นประมาณ 2.4-2.6% ของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร และโครงการจะสิ้นสุด 1Q27

เราเปลี่ยนคำแนะนำเป็น “ซื้อ” จาก “ถือ” ราคาเป้าหมายปีหน้า 18.50 บาท

จากความชัดเจนของ US tariff ที่ประกาศชัดเจนที่ 19% ต่ำกว่าเดิมที่เคยประกาศไว้ 36% และคาดผลประกอบการจะเริ่มดีขึ้นในปี 2026F จากการปรับตัวจากสถานการณ์ดังกล่าวจากจุดแข็งของบริษัทในด้านการพัฒนาสินค้าที่ยืดหยุ่นตอบโจทย์กับลูกค้าในสถานการณ์ปัจจุบัน เราปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็นปี 2026 ที่ 18.50 บาท อ้างอิง PER forward ที่ 17X จากเดิม PER-1SD ที่ 13X ราคาปัจจุบันมี PER26F ที่ 13.3x คาด Dividend Yield 26F ที่ 6% สถานะการเงินแข็งแกร่งเป็นเงินสดสุทธิ (net cash) ความเสี่ยง : เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว, การเจรจาต่อรองราคาหลังจากต้นทุนของลูกค้าที่สูงขึ้นจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

IND โชว์ Backlog กว่า 2.5 พันลบ. หนุนผลงานปี 68 รายได้โตเกิน 10-15%

IND โชว์ Backlog กว่า 2.5 พันลบ. หนุนผลงานปี 68 รายได้โตเกิน 10-15%

รอผู้นำ By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ภาพรวมตลาดหุ้นไทย อยู่ในสภาวะ รอผู้นำ ซื้อหุ้น แบบไม้ใหญ่ๆ ห้วงเวลานี้ พักหุ้นตัวใหญ่....

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้