Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

90

 

ภาพตลาดและแนวโน้ม

FX Strategy Update USD: การฟื้นตัวของกลไก Yield Differential

 

Highlights:

ภาพรวมสถานการณ์ — นับตั้งแต่ต้นปี 2025 ตลาดเงินตราเผชิญภาวะบิดเบือนที่ท้าทายกรอบคิดแบบเดิม ความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นสหรัฐฯ–ยูโรโซน (1-year yield differential) กับค่าเงิน EURUSD เกิด correlation break อย่างชัดเจน โดยยูโรแข็งค่าเกือบ 10% ขณะที่ส่วนต่างยีลด์หดลงราว 22 bps

สาเหตุหลักของภาวะบิดเบือน — การเปลี่ยนผ่านทางนโยบายภาครัฐสหรัฐฯ ภายหลังการกลับมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมนโยบายกีดกันการค้าเชิงรุก ประกอบกับแรงกดดันการคลังที่เพิ่มขึ้น โดย CBO คาดการณ์ขาดดุลงบประมาณ 6.2% ของ GDP ทำให้ตลาดปรับโฟกัสจากเรื่องส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยไปสู่การประเมินความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง

สัญญาณจาก Fund Flow — ข้อมูลการเคลื่อนย้ายเงินทุนไตรมาส 2/2025 แสดงความกังวลดังกล่าว โดยนักลงทุนต่างชาติขายพันธบัตรสหรัฐฯ 11 พันล้านดอลลาร์ ขณะเงินทุนไหลเข้าพันธบัตรยุโรป 42 พันล้านยูโร

โอกาสที่กลไก Interest Rate Parity (IRP) จะฟื้นตัว — สัญญาณการกลับสู่ภาวะปกติเพิ่มขึ้นจากสามปัจจัยสำคัญ: (1) เงินเฟ้อสหรัฐฯ ผ่อนแรงตามภาพชะลอตัวของ ISM และตลาดแรงงาน ช่วยชดเชยแรงดันราคาจากภาษีนำเข้า (2) ตลาดคาด Fed ลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 50 bps ภายในปี 2025 ทำให้ ยีลด์–FX link มีพื้นที่กลับมาทำงาน (3) พฤติกรรม mean reversion ตามสถิติอดีต โดยช่วง correlation break มักยุติและฟื้นสู่สมดุลเฉลี่ยภายใน 5 เดือน

กรอบคาดการณ์ (Scenario Analysis) — กรณีฐาน (75%): กลไก IRP กลับมาเป็นตัวกำหนดทิศทางหลัก ดัน USD แข็งค่าขึ้นในช่วง 3–6 เดือนข้างหน้า เมื่อความเสี่ยงด้านดอกเบี้ยและเงินเฟ้อลดลง ความต้องการพันธบัตรสหรัฐฯ จะฟื้น และ EURUSD มีแนวโน้มกลับสู่ค่าเฉลี่ยเร็วขึ้น กรณีเลวร้าย (25%): ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับคู่ค้าลากยาว กระตุ้นความกังวลเงินเฟ้อและยืดเวลาการเกิด mean reversion ออกไป

บทสรุป — แม้ตลาดจะเผชิญ correlation break ในช่วงที่ผ่านมา แต่สัญญาณล่าสุดบ่งชี้กลไก IRP กำลังกลับมามีบทบาทหลักในการกำหนดทิศทางค่าเงิน ทำให้ดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งมากกว่าอ่อน เมื่อเทียบกับยูโรและเงินบาท โดยเฉพาะหาก Fed ส่งสัญญาณผ่อนคลายเพิ่มเติมในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า
(โปรดติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในรายงานฉบับเต็ม)


สรุปภาพตลาดวานนี้
หุ้นไทยยังเผชิญแรงขายทำกำไรต่อ โดย THAI ถูกขายออกมา ร่วมกับ AOT และหุ้นใหญ่กลุ่มธนาคาร ไอซีที แต่แรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นโรงแรม CENTEL หลุ่มปูน SCC SCGP เป็นต้น



แนวโน้มตลาดวันนี้
รอดูแรงรับ แนวรับย่อย/แรก 1,230
ปัจจัยการเมืองในประเทศยังคงมีผลต่อบรรยากาศลงทุนหุ้นไทยในระยะสัปดาห์ ตามที่เราคาด ได้แก่ คดีคลิปเสียงนายกฯ ซึ่งศาลนัดลงมติวันที่ 29 ส.ค.นี้ นัด ไต่สวนครั้งสุดท้าย 21 ส.ค. ตลอดจนคดีอดีตนายกฯ ซึ่งอาจจะมีผลต่อภาวะตลาดในระยะสั้นด้วยความกังวลหากการเบิกจ่ายงบประมาณสะดุด แต่เรามองว่าไม่น่าเป็นปัจจัยถ่วงตลาดหุ้นในระยะเดือน เพราะเมื่อผ่าน ปลายเดือน ส.ค.ต้นเดือน ก.ย.ไปได้ ประเด็นการเมืองจะเกิดความชัดเจน และปลดล็อกความอึมครึม...
ส่วนบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศที่แรลรี่ขึ้นมารับข่าวแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดที่ผลสำรวจประเมินว่ามีโอกาสจะลดได้ถึง 3 ครั้งในปีนี้ แม้หุ้นต่างประเทศจะขึ้นมารับข่าวและปรับฐานในท้ายที่สุด เช่น หากตลาดเปลี่ยนมุมมองแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หรืออาจกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลกที่ชะลอจากผลกระทบภาษีใหม่
แต่! กลยุทธ์มองว่าไม่น่ากังวล และมองว่าตลาดหุ้นไทยเป็น 1 ในตลาดหุ้นเกิดใหม่ที่น่าจะได้อานิสงส์จากเงินทุนไหลเข้าหากมีแรงขาย ตลาดหุ้นต่างประเทศ และดอลล์อ่อนค่า ตามที่ MS มีการประเมินว่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่...

โดยแนะจับจังหวะเข้าซื้อหุ้นรอบใหม่ เมื่อการเมืองในประเทศชัดเจน และ/หรือ บาทอ่อนค่าแตะระดับ 33/34 (USD/THB) จะเป็นโอกาสในการช้อนซื้อหุ้นไทยรับ Fund flows รอบใหม่

กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ ถือหุ้นปันผล สะสมหุ้นเมื่อราคาย่อลงมาตามแนรับ เน้นไปที่หุ้นผลตอบแทนเงินปันผลระหว่างกาลสูง, หุ้นที่มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไร

วิเคราะห์ทางเทคนิค
สัญญาณปรับฐานของ SET ชัดขึ้นเรื่อยๆ โดยมีการปรับตัวลงมาแล้วทั้งสิ้น 3 วันต่อเนื่อง -3% หลุดเส้น EMA 10 วัน แนวโน้มจบคลื่นขาขึ้น (ย่อย)wave 5 กำลังเข้าสู่คลื่นขาลง corrective wave a-b-c สำหรับการมองหาจุดรับแนว support จะใช้ Fibonacci retracement 23.6% และ 38.2% จะอยู่บริเวณ 1,230 และ 1,200 จุด ตามลำดับ เงื่อนไขหากดัชนีจะขึ้นต่อในภาพระยะกลาง จะต้องมีการย่อปรับฐานก่อน แผนเทรด...ตลาดย่ออาจมองเป็นโอกาสเก็บสะสมหุ้นเพื่อรอขึ้นในรอบถัดไป

ไฮไลท์หุ้นแนะนำ: เลือกหุ้นแบงค์ KTB, BBL และ TTB นำมาตรวจการบ้าน จะถือต่อได้หรือไม่ ติดตามในหน้าเลือกหุ้นเด่นประจำวันครับ

 

 

 

What to watch
ศาลรัฐธรรมนูญนัดลงมติคดีปมคลิปเสียงนายกฯ วันที่ 29 ส.ค.และ วันที่ 9 ก.ย. เวลา 10:00 น. ศาลฏีกาได้นัดฟังคำสั่ง คดี “ทักษิณรักษาตัวชั้น 14” การสะดุดของรัฐบาลอาจมีผลผูกพันไปยังงบประมาณที่กำลังจะผ่านสภาฯ-อาจทำให้เกิดความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณปี 68-69
สภาล่าง (สส.) ผ่านร่างงบประมาณปี 69 แล้ว ลำดับถัดไปคือ การพิจารณาของ สภาสูง
สภาพัฒน์รายงาน GDP ไทยไตรมาสที่ 2 ขยายตัว 2.8% y-y ดีกว่าที่ตลาดคาด 2.5-2.7%
นิด้าโพลแผยความพอใจของประชาชน ต่อการทำงานของ สส. ปัจจุบันในเขตเลือกตั้ง พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 32.29% ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา 28.24% ระบุว่า ไม่พอใจเลย ส่วนอีก 27.18% ระบุว่า ค่อนข้างพอใจและอีก 11.60% ระบุว่า พอใจมาก
สำหรับการเลือก สส. ปัจจุบัน ในเขตเลือกตั้งให้กลับเข้าสู่ตำแหน่ง หากวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 50.69% ระบุว่า ไม่เลือกรองลงมา 25.57% ระบุว่า ไม่แน่ใจและอีก 23.74% ระบุว่า เลือก
การเลือก สส. แบบบัญชีรายชื่อ จากพรรคการเมืองเดิมที่เคยเลือกเมื่อปี 2566 หากวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 40.46% ระบุว่า ไม่เลือกรองลงมา 29.47% ระบุว่า เลือกส่วนอีก 26.95% ระบุว่า ไม่แน่ใจและอีก 3.12% ระบุว่า ยังไม่เคยไป/ไม่ได้ไปลงคะแนนเสียง
FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 85.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนก.ย. หลังจากที่ให้น้ำหนักเพียง 63.1% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และเดือน ต.ค.กับเดือน ธ.ค.จะปรับลดดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% เหลือ 3.5-3.75%

หุ้นแนะนำวันนี้
COM7 คาดงบไตรมาส 3 เดินหน้าเติบโตต่อเนื่องจากยอดขายต่อสาขาที่มีการขยายตัว และสินเชื่อมือถือใหม่ที่เติบโตสูง
แนวรับ 24 ต้าน 26 Stop loss 23

 

 

 


รายงานพื้นฐานวันนี้

Quantitative Strategy
SET อาจปรับฐานระยะสั้นเนื่องจากความผันผวนเริ่มเพิ่มขึ้น
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น 1.2% ในช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมา หนุนจากบรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้นหลังจากการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯได้ข้อสรุป ซึ่งช่วยให้ไทยยังคงความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกกับคู่แข่งไว้ได้ สำหรับมุมมองช่วงสองสัปดาห์ข้างหน้า เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยอาจปรับฐาน ดัชนี Composite Short-term ยังคงอยู่ใกล้กรอบบน เนื่องจากการปรับขึ้นของดัชนี Short-term Momentum ถูกหักล้างโดยดัชนี Short-term Bull-to-Bear ที่ปรับลดลงจากโซนตึงตัว ซึ่งสะท้อนถึงสัญญาณที่ขัดแย้งกัน ส่งผลให้ดัชนี SET มีโอกาสแกว่งตัวผันผวนในระยะอันใกล้ ในขณะที่ดัชนี Composite Medium-term แข็งแกร่งขึ้นในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยทุกองค์ประกอบย่อยฟื้นตัวขึ้น ชี้ว่าตลาดหุ้นไทยอาจผ่านจุดต่ำสุดของปีนี้ไปแล้ว สอดคล้องกับระดับ Valuation ที่น่าดึงดูด ดังนั้นการปรับฐานรอบนี้ หากเกิดขึ้นจริงจะเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มแกว่งตัวในช่วง 1200-1280 จุด ในช่วงวันที่ 19 ส.ค.-1 ก.ย.

Econ

GDP ไทยไตรมาส 2 ปี 2025 โต 2.8% YoY ดีกว่าตลาดคาดเล็กน้อย แต่ครึ่งปีหลังยังต้องเจอกับความเสี่ยงอีกมาก
GDP ไทยไตรมาส 2 ปี 2025 ขยายตัว 2.8% YoY (0.6% QoQ) สูงกว่าตลาดคาดเล็กน้อย (Bloomberg consensus 2.7% YoY) แต่ชะลอลงจาก 3.2% YoY ในไตรมาส 1 ปี 2025

แรงขับเคลื่อนหลักมาจาก การลงทุนและการส่งออก: การลงทุนรวมขยายตัว 5.8% YoY นำโดยการลงทุนภาคเอกชนที่กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกหลังจากหดตัวมา 4 ไตรมาสก่อนหน้า (+4.1% YoY) และการลงทุนภาครัฐที่ยังขยายตัวได้ 10.1% YoY แม้ชะลอลงจาก 1Q25 ที่โตจากผลของฐาน ขณะที่การส่งออกสินค้าโต 14.3% YoY (THB Term) จากการเร่งนำเข้าสินค้า (Front-loaded demand) ก่อนสหรัฐฯ ใช้มาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) โดยสินค้าที่โดดเด่น ได้แก่ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ (เช่น HDDs) และเครื่องใช้ไฟฟ้า

การนำเข้าขยายตัวเร่งขึ้นถึง 16.8% YoY กดดันไม่ให้การส่งออกที่โตโดดเด่นส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจได้เต็มที่ ส่วนการส่งออกบริการชะลอเหลือ 2.7% YoY จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง

การบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวต่อเนื่องตามคาด โดยขยายตัวเพียง 2.1% YoY จาก 2.5% YoY ใน 1Q25 สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลงต่อเนื่อง โดยถูกกดดันจากหนี้ครัวเรือนสูงและภาคท่องเที่ยวที่ไม่ฟื้นตัวตามคาด สะท้อนจากการใช้จ่ายด้านบริการ โดยเฉพาะร้านอาหารและโรงแรมที่ชะลอลงเหลือ 5.7% YoY ใน 2Q25 จาก 15.8% YoY ใน 1Q25

Implications: ความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังปี 2025 มีทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ได้แก่: 1) การส่งออกอาจหดตัวจากผลของภาษีตอบโต้ และความเสี่ยงจากการเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมเป็นรายสินค้า 2) การบริโภคเอกชนยังถูกกดดันจากหนี้ครัวเรือนสูง 3) ภาคการท่องเที่ยวที่ไม่ฟื้นตามคาด (คาดทั้งปี 2025 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ราว 33.5 ล้านคน หดตัว 5.8% YoY) และ 4) ความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจกระทบต่อการเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะใน 4Q25
Economist view: คงประมาณการ GDP ไทยปี 2025 ขยายตัว 1.4% YoY (กรณีฐาน)

 

Commodities Tracker
ค่าการกลั่นยังคงเด่นต่อเนื่อง
ภาพรวม: GRM ยังคงเป็น commodity ที่ฟื้นแรงสุด WoW ตามด้วยสเปรดเคมีส่วนใหญ่ ขณะที่ราคาถ่านหินและค่าระวางคอนเทนเนอร์ปรับลดลงแรงสุด การคาดหวังว่าภาวะสงครามการค้าจะผ่อนคลายหลังสหรัฐฯ เจรจากับคู่ค้าหลักสำเร็จ อาจหนุนราคาหุ้นที่เชื่อมโยงกับสินค้าโภคภัณฑ์ให้ ฟื้นตัว
น้ำมันดิบ: ราคาดูไบเฉลี่ยลดลงอีก 1.97 เหรียญ WoW เหลือ 67.96 เหรียญ/บาร์เรล จากความกังวลอุปสงค์สหรัฐฯ ที่อ่อน แม้ความเสี่ยงซัพพลายรัสเซียลดลง
ค่าการกลั่น (GRM): สิงคโปร์ GRM เพิ่มขึ้นอีก 0.46 เหรียญ WoW สู่ 4.27 เหรียญ/บาร์เรล นำโดย gasoline spread พุ่ง +3.17 เหรียญ สู่ 11.96 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ jet fuel -0.43 เหรียญ เหลือ 15.22 เหรียญ/บาร์เรล, diesel -0.34 เหรียญ เหลือ 16.08 เหรียญ/บาร์เรล และ HSFO -0.11 เหรียญ เหลือ -4.59 เหรียญ/บาร์เรล
เคมีภัณฑ์: สเปรดส่วนใหญ่ขยายตามต้นทุนนาฟทาลดลง — Ethylene +19 เหรียญ สู่ 224 เหรียญ/ตัน, Propylene +14 เหรียญ สู่ 184 เหรียญ/ตัน, HDPE +9 เหรียญ สู่ 374 เหรียญ/ตัน, PP +9 เหรียญ สู่ 394 เหรียญ/ตัน
ถ่านหิน: NEX ลดลง 4.83 เหรียญ WoW (-4%) สู่ 111.19 เหรียญ/ตัน จาก demand ที่อ่อนลง
ค่าระวางเรือ: BDI เพิ่มขึ้น 44 จุด (+2%) สู่ 2,033 จุด นำโดย Capesize +4% และ Supramax +3% แต่ Panamax -2%
WCI (Container) ลดลงอีก 75 จุด (-3% WoW) สู่ 2,424 จุด
Fundamental view: หุ้นเด่นยังคงเป็น TOP (Valuation ถูก + GRM แข็งแกร่ง), IVL (แนวโน้มกำไร 2H25 ฟื้น HoH), และ PTTGC (คาดผลการดำเนินงานดีขึ้น QoQ ใน 3Q25)

THAI
(Visit Note)
การบินไทย
แนวโน้ม 3Q25 กำไรลดเพดานบิน ตามฤดูกาล
THAI รายงานกำไรหลัก 2Q25 ที่ 6,778 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 465% YoY (ลดลง 34% QoQ ตามฤดูกาล) หนุนโดยจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น (+4% YoY เป็น 3.97 ล้านคน), ปริมาณการขนส่งพัสดุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น (+11% YoY เป็น 117,309 ตัน), ต้นทุนการดำเนินงานที่ลดลง อย่างไรก็ตามรายได้จากผู้โดยสารเฉลี่ยต่อหน่วย (passenger yield) ที่ลดลง (-13% YoY เป็น 2.66 บาท/คน-กม. เนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้น) จำกัดการปรับตัวสูงขึ้น YoY ของกำไรหลักบางส่วน ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 12,124 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40 เท่า YoY และ 23% QoQ เนื่องจากการบันทึกกำไรพิเศษจำนวนมาก
ผลการดำเนินงาน 3Q25 จากการประเมินเบื้องต้นมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องจาก 2Q25 เนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของการท่องเที่ยวไทย ส่วนปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) คาดจะเพิ่มขึ้น 2-3% HoH (เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากมีการรับเครื่องบินใหม่จำนวนน้อย) ในขณะที่คาดว่ารายได้จากผู้โดยสารเฉลี่ยต่อหน่วยจะทรงตัวใกล้เคียงกับ 1H25 ที่ราว 2.66 บาท/คน-กม. และคาดอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (cabin factor) จะอยู่ที่ระดับ 78-80% (ใกล้เคียงกับระดับ 80% ใน 1H25)
Our view: เราจึงไม่เห็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นในระยะสั้น ถึงแม้ว่าประมาณการกำไรปี 2025 อาจมี อัพไซด์ แต่เรามองว่ามูลค่าหุ้นปัจจุบันได้สะท้อนความคาดหวังดังกล่าวไประดับหนึ่งแล้ว โดยปัจจุบัน THAI จะซื้อขายที่ PER ปี 2025 ที่ 14.7 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของสายการบินในภูมิภาคเอเชียที่ 11.4 เท่าอยู่ 29% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของสายการบินทั่วโลกที่ 13.6 เท่าอยู่ 8%


NER
(Visit Note)
นอร์ทอีส รับเบอร์
ปรับลดเป้าปี เพื่อสะท้อนความเสี่ยงภาษีการค้า
เราประเมินกำไร 3Q25 มีแนวโน้มอ่อนตัว QoQ จากคำสั่งซื้อชะลอและราคาขายที่ปรับลงต่อเนื่อง บริษัทปรับเป้ายอดขายทั้งปีลดลงเหลือ 470,000 ตัน (+7% YoY) จาก 500,000 ตัน และยังมีความไม่แน่นอนในรายละเอียดของอัตราภาษีการค้า และ transshipment ที่ยังไม่ชัดเจน ผลกระทบจากภาษีเริ่มชัดตั้งแต่ 2Q25 และกดดันต่อเนื่องใน 2H25
ส่วนผลกระทบจากคลังสินค้าไฟไหม้เมื่อวันที่ 20 ก.ค. ไม่กระทบโรงงานผลิต และบริษัทคาดความเสียหายประมาณ 200-400 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของบริษัทประกันสำหรับมูลค่าความเสียหายที่จะชดเชยให้ ทั้งนี้ NER จะบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายใน 3Q25 และคาดว่าจะได้รับค่าชดเชยใน 4Q25
Our view: เรามองหุ้นขาดปัจจัยบวกระยะสั้นใน 2H25 แต่ dividend yield ที่สูง 8% ยังเป็นแรงพยุงสำคัญ

 

 

สรุปประเด็นจาก Quick take

BCP
บางจาก คอร์ปอเรชั่น
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
ธุรกิจโรงกลั่นและการตลาดมีแนวโน้มดีขึ้น HoH ใน 2H25 คาดอัตราการใช้กำลังการกลั่น (+10-12% HoH), คาดปริมาณขายน้ำมัน (+2-3% HoH), และคาด GRM และค่าการตลาดสูงขึ้น HoH
View from fundamental: แม้ว่าผลการดำเนินงานหลัก 3Q25 จะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น แต่อาจมีดาวน์ไซด์ต่อกำไรสุทธิของ BCP เนื่องจากการด้อยค่าที่อาจเกิดขึ้นในบริษัทย่อย คงคำแนะนำ "ขาย"

SIS
เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
กำลังซื้อชะลอ กดดันทิศทางรายได้ 3QTD ยังแค่ทรงตัว YoY เน้นเพิ่มการขายสินค้ามาร์จิ้นสูง กังวลบุคคลากรกลุ่ม cloud ยังไม่เพียงพอ ทำให้รายได้ cloud จะโตจำกัด
View from fundamental: เราคาดกำไรหลัก 3Q25 ลดลงYoY เพราะภาวะเศรษฐกิจและฐานสูง ฉุดยอดขายมีแนวโน้มลง YoY ส่วน QoQ จะลงเพราะไม่มีส่วนลดพิเศษจาก vendor สินค้ามือถือเหมือน 2Q25

TOP
ไทยออยล์
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
ค่าการกลั่นใน 2H25 มีแนวโน้มปรับตัวลดลงเล็กน้อย (เทียบกับ 2Q25) เนื่องจาก crude premium ที่สูงขึ้นและส่วนต่างราคาก๊าซโซลีนที่อ่อนตัวลง แต่ส่วนต่างราคาดีเซลที่แข็งแกร่งและการปิดโรงกลั่นในสหรัฐและยุโรปจะช่วยจำกัดดาวน์ไซด์ ทั้งนี้ crude premium อาจปรับลดลง หากสหรัฐผ่อนคลายการคว่ำบาตรรัสเซีย
View from fundamental: คาดการณ์การเติบโต YoY ของกำไรหลัก 3Q25 และสงครามการค้าที่คลี่คลายลงน่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นได้ต่อไป เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

 

SAWAD
ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
สินเชื่อจะกลับมาเติบโตได้บ้าง QoQ ใน 3Q25 โดยจะเน้นเติบโตสินเชื่อจำนำทะเบียน ส่วนสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์น่าจะทรงตัว QoQ โดยบริษัทยังคงเป้าสินเชื่อเติบโต 5-10% YoY ในปี 2025 และตั้งเป้าเติบโตสินเชื่อ 15% YoY ในปี 2026
View from fundamental: เราประเมินว่าทิศทางผลการดำเนินงาน 2H25 จะยังอยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่ valuation metrics ถูกกว่ากลุ่ม Retail Finance มาก จึงแนะนำ ซื้อ

PTTGC
พีทีที โกลบอล เคมิคอล
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
คาดส่วนต่างราคา HDPE ยังคงอยู่ในระดับต่ำใน 3Q25 จากภาวะอุปทานล้นตลาด แต่การลดการผลิตของผู้ผลิตต้นทุนสูงช่วยจำกัดดาวน์ไซด์
View from fundamental: แนวโน้มผลการดำเนินงาน 3Q25 ที่ดีขึ้น QoQ, สงครามการค้าที่คลี่คลายลง, และมูลค่าหุ้นที่ถูก น่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นได้ต่อไป เราจึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”

COM7
คอมเซเว่น
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
ช่วง 2H25 จะขยายสาขาเพิ่มขึ้น คาดสิ้นปีมีสาขารวม 1.4 พันแห่ง (+88 แห่ง YoY, +80 แห่ง HoH)โมเมนตั้มยอดขาย 3QTD ยังเติบโตต่อ YoY โดยเดือนส.ค.โตมากกว่า 10% ดีกว่าก.ค.ที่โต 7-8%
View from fundamental: เราคาดกำไรหลัก 3Q25 จะเพิ่มขึ้น YoY จากการเติบโตของยอดขาย 3QTD ได้ 10%YoY และคุม SG&A/sales ได้ดี (ค่าใช้จ่ายสาขาไม่สร้างกำไรลดลงและยังคุม NPLของ uFund ได้ดีต่ำกว่า 2%) คงคำแนะนำ BUY

SYNEX
ซินเน็ค (ประเทศไทย)
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
ทิศทางยอดขาย 3QTD ยังขยายตัวใกล้ 1H25 โต 16-17%YoY หนุนจาก Apple, smart device และ Gaming
View from fundamental: เราคาดกำไรหลัก 3Q25 ปรับตัวเพิ่มขึ้น YoY จากยอดขายสมาร์ทโฟนและเกม ในขณะที่ 4Q25 เข้าสู่ High season จึงคงคาดกำไรหลักปี 2025 อยู่ที่ 640 ลบ. เพิ่มขึ้น 25%YoY สูงสุดในกลุ่มค้าปลีก IT

 

วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ปันผล By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ธีมปันผล เป็นธีมอมตะ เยียวยา ทุกสภาพบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้น แนวรับ 1,240-1,230 จุด ......

PTG รวมพลังทำดีเพื่อสังคม ณ สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งบ้านประจวบโชค

PTG รวมพลังทำดีเพื่อสังคม ณ สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งบ้านประจวบโชค

มัลติมีเดีย

หุ้นอินไซด์ ทอล์ค : PTG มุ่งสร้างผลตอบแทนระยะยาวให้กับนักลงทุนทุกคน

หุ้นอินไซด์ ทอล์ค : PTG มุ่งสร้างผลตอบแทนระยะยาวให้กับนักลงทุนทุกคน

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้