สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(18 สิงหาคม 2568)-------SMPC ประกาศงบไตรมาส 2/2568 มีกำไรสุทธิ 207.61 ลบ. โต 5.2% จากงวดเดียวกันของปีก่อน มีรายได้จากการขาย 1,157.88 ลบ. เพิ่มขึ้น 2% หนุนกำไรงวดครึ่งปีแตะ 353.06 ลบ. รายได้อยู่ที่ 2,184.39 ลบ. เผยผลกระทบนโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ บริษัทฯ ยังคงรักษาความแข็งแกร่งทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความต้องการสินค้าจากลูกค้าในสหรัฐฯ ยังคงมีสม่ำเสมอ เพื่อทดแทนถังเดิมที่เสื่อมสภาพ ส่งผลให้บริษัทยังคงรักษาคำสั่งซื้อจากสหรัฐฯ ได้อย่างต่อเนื่อง ด้านบอร์ดไฟเขียวเคาะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสดหุ้นละ 0.40 บ. ตอบแทนผู้ถือหุ้น ขึ้น XD วันที่ 20 ส.ค. 2568 จ่ายเงินปันผลวันที่ 5 ก.ย.นี้ พร้อมส่งซิกแนวโน้มครึ่งปีหลัง คาดแนวโน้มเติบโตดี ดันปริมาณขายทั้งปีนี้ทำได้ 7.7 ล้านใบ หรือเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน เดินหน้าชูกลยุทธ์เน้นเพิ่มการขายผลิตภัณฑ์ High Value เพิ่มมาร์จิ้น ลุยขยายตลาดในภูมิภาคที่หลากหลายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นางปัทมา เล้าวงษ์ รองประธานกรรมการ บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) หรือ SMPC ประกอบธุรกิจผลิตถังทนความดันแบบต่างๆ โดยผลิตภัณฑ์หลักเป็นถังสำหรับบรรจุแก๊สปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงหุงต้ม และสำหรับใช้เป็นแหล่งพลังงานรถยนต์ โดยจำหน่ายภายในและต่างประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้า “SMPC” รวมทั้งรับจ้างผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าต่างๆ เปิดเผยว่าผลประกอบการของบริษัทฯ งวดไตรมาส 2 ปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 207.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.26 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5.2% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 197.35 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายเพิ่มขึ้น ต้นทุนขายลดลง กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากอัตราการทำกำไรเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ต้นทุนทางการเงินลดลง โดยสุทธิกับรายได้อื่นที่ลดลง
มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 1,157.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.86 ล้านบาท หรือ 2% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 1,135.02 ล้านบาท ในขณะที่ราคาเหล็กลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 18% และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 9% ทำให้ราคาขายลดลง แต่ยอดขายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากปริมาณขายเพิ่มขึ้น 7% และสัดส่วนการขายถังประเภทอื่นซึ่งเป็นสินค้าที่มีราคาสูงเพิ่มขึ้น
“ในไตรมาส 2/68 บริษัทมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 312.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 281.56 ล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 24.8% เป็น 27.0% เป็นผลจากราคาวัตถุดิบที่ลดลง 18% และสัดส่วนการขายถังประเภทอื่นๆ ซึ่งมีราคาสูงและอัตรากำไรดีเพิ่มขึ้น รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น 9%” นางปัทมา กล่าว
ขณะที่ผลประกอบการในงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทมีกำไร 353.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 351.65 ล้านบาท มีรายได้จากการขาย 2,184.39 ล้านบาท ต้นทุนขาย กำไรขั้นต้นและอัตรากำไรขั้นต้น ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยภาษีเงินได้ลดลง 57% จาก 23.95 ล้านบาท เหลือ 10.30 ล้านบาท จากการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากโครงการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ด้านการสนับสนุนองค์กรท้องถิ่นด้านสาธารณสุขเพิ่มขึ้น โดยมีอัตราภาษีคงเดิมที่ 20%
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสด สำหรับผลประกอบการในงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 ในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท โดยวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 20 สิงหาคม 2568 กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 21 สิงหาคม 2568 และจ่ายเงินปันผลวันที่ 5 กันยายน 2568
“ภายใต้บริบทของเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าและนโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกา แต่บริษัทสามารถรักษาความแข็งแกร่งทางธุรกิจไว้ได้อย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทยังรักษาความสามารถในการแข่งขันได้ แม้ว่าต้องเผชิญแรงกดดันจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมในอัตรา 25% ตั้งแต่เดือนมี.ค.2568 ที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นเป็น 50% ตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2568 ซึ่งมีผลกระทบต่อทุกประเทศที่ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ มาตรการภาษีนี้มีผลกระทบต่อผู้นำเข้าสินค้าในสหรัฐฯ โดยตรงอย่างไรก็ตาม ความต้องการสินค้าจากลูกค้าในสหรัฐฯ ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการทดแทนสินค้าที่เสื่อมสภาพและการขยายตลาดของคู่ค้าในประเทศดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทสามารถรักษาปริมาณคำสั่งซื้อจากลูกค้าสหรัฐฯได้อย่างสม่ำเสมอ” นางปัทมา กล่าว
อย่างไรก็ตาม เพื่อสร้างความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ บริษัทฯได้ดำเนินนโยบายขยายส่วนแบ่งทางการตลาดไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก เพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของประเทศคู่ค้ารายใหญ่ และกระจายฐานลูกค้าในแต่ละภูมิภาคที่มีความต้องการสินค้าในช่วงเวลาที่ต่างกัน และเพื่อป้องกันกรณีหากพื้นที่ขายใดมีปัญหา ก็จะมียอดขายจากพื้นที่อื่นมาชดเชย ทำให้รายได้เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 แม้ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้จากการส่งออก แต่ยอดขายของบริษัทลดลงเพียงเล็กน้อยที่ 4.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการปรับโครงสร้างสินค้าโดยเพิ่มสัดส่วนการขายถังประเภทอื่น เช่น ถังขนาดใหญ่พิเศษ และถังอลูมิเนียม ซึ่งมีอัตรากำไรสูงขึ้น ช่วยชดเชยยอดขายที่ลดลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ในระดับสูงขึ้นเมื่อเทียบกับงวดก่อนหน้า
นอกจากนี้ ราคาต้นทุนวัตถุดิบซึ่งเป็นเหล็กมีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้ดีขึ้น รวมทั้งอัตราค่าระวางเรือในไตรมาสแรกของปีนี้ ก็ปรับลงเช่นกัน จากความไม่แน่นอนของนโยบายด้านการค้าของสหรัฐฯทำให้เกิดอุปทานส่วนเกิน ในด้านการจัดการความเสี่ยงบริษัทได้มีการปรับนโยบายการขายบางส่วน โดยเน้นเสนอขายสินค้าแบบไม่รวมค่าขนส่ง และเสนอค่าขนส่งภายหลังเมื่อใกล้ถึงกำหนดส่งมอบ เพื่อลดความผันผวนจากต้นทุนค่าระวางเรือที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าใช้กลยุทธ์การเติบโตจากโครงสร้างรายได้ส่งออกที่แข็งแกร่งกว่า 90% พร้อมแนวทางบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนแบบ Natural Hedge และการใช้เครื่องมือทางการเงินอื่นที่เหมาะสมเพิ่มเติมตามสถานการณ์ นอกจากนี้ราคาวัตถุดิบเหล็กที่ลดลงช่วยลดต้นทุนและเพิ่มกำไร ขณะเดียวกันบริษัทเฝ้าระวังต้นทุนค่าขนส่งที่อาจเพิ่มขึ้น และปรับกลยุทธ์ขายแบบ FOB เพื่อรองรับความผันผวน รวมถึงติดตามนโยบายการค้าระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินสถานการณ์และความเสี่ยง พร้อมแนวทางการรับมือเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
สำหรับแนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 คาดว่ามีการเติบโตที่ดี โดยจากข้อมูลคำสั่งซื้อยังมีเพิ่มเติมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ประเมินว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ สนับสนุนภาพรวมผลงานในปี 2568 เชื่อว่าปริมาณขายทั้งปีนี้น่าจะทำได้ใกล้เคียงตามเป้าหมาย 7.7 ล้านใบ หรือเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน และถึงแม้ว่าในครึ่งปีหลังนี้จะมีปัจจัยเสี่ยงหลายๆปัจจัย แต่บริษัทเชื่อมั่นยังสามารถตั้งรับได้