ภาพตลาดและแนวโน้ม
หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐฯถูกเทขายในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี S&P500 ฟื้นตัวขึ้นได้ โดยตลาดกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างปัจจัยลบได้แก่ตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอ กับปัจจัยบวกคือความคาดหวังในการลดดอกเบี้ยของเฟด รวมถึงผลประกอบการบริษัทที่ออกมาสูงกว่าที่คาด อย่างไรก็ตาม เครื่องมือชี้วัดด้าน Sentiment ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ สะท้อนภาพความเชื่อมั่นที่อ่อนแอลง ซึ่งอาจนำไปสู่ความผันผวนของตลาดหรือการปรับฐานในระยะสั้น
ส่วน BLS Greed & Fear Barometer สำหรับตลาดหุ้นไทยยังยืนในระดับ Neutral ได้ต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง หลังจากที่แกว่งในโซน Fear และ Extreme Fear มาตั้งแต่ต้นปี สะท้อนถึงการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นในหมู่นักลงทุน
US MARKET SENTIMENT TRACKER:
CNN Fear & Greed ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงจากระดับ 65 คะแนนในสัปดาห์ก่อนหน้า มาอยู่ที่ 55 คะแนนในปัจจุบัน ซึ่งยังคงอยู่ในโซน Greed ขณะที่ค่า Put/Call Option Ratio ปรับตัวขึ้นสอดคล้องกับที่เราคาด จากระดับต่ำสุดที่ 0.61 ในวันที่ 3 ก.ค. ล่าสุดอยู่ที่ 0.74 ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่มักเกิดขึ้นก่อนตลาดเข้าสู่ช่วงปรับฐาน นอกจากนี้ Market Breadth ก็เริ่มอ่อนตัวลงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเชิงลบที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม
ขณะที่ผลสำรวจความเชื่อมั่นนักลงทุนของ AAII สะท้อนถึงมุมมองต่อตลาดในช่วง 6 เดือนข้างหน้าที่แย่ลง โดยนักลงทุนมีมุมมองฝั่ง Bearish เพิ่มขึ้นจาก 33.0% เป็น 43.2% (สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 31.2%) ขณะที่มุมมองฝั่ง Bullish ลดลงจาก 40.3% เหลือ 34.9% (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 37.6%) ส่งผลให้ Bull-Bear Spread ปรับลดลง 15.6% เหลือ -8.3% ส่วนผลสำรวจพิเศษของ AAII ในสัปดาห์นี้ สอบถามถึงมุมมองต่อการที่เฟดคงดอกเบี้ยในการประชุมครั้งล่าสุด พบว่า 67% เห็นว่าตัดสินใจถูกแล้ว 30% เห็นว่าควรลดอกเบี้ย และ 1% เห็นว่าควรขึ้นดอกเบี้ย ที่เหลือไม่มีความเห็น
THAI MARKET SENTIMENT TRACKER:
ในส่วนของตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้น 1.8% WoW สอดคล้องกับมาตรวัด BLS Greed & Fear Barometer ที่ฟื้นตัวได้ต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สี่ จาก 53 เป็น 55 คะแนน โดยมาตรวัดยืนในโซน Neutral ได้ต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง องค์ประกอบย่อยที่ปรับตัวดีขึ้น ได้แก่ Market Breadth ที่ฟื้นตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง สะท้อนแรงซื้อที่กระจายตัว ดัชนี Momentum Strength ที่ปรับขึ้นเล็กน้อยจาก +36 จุดเป็น +37 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ ต.ค. 2024 ดัชนี Volume Index ที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 5 จากโซนต่ำกว่า Lower-bound สู่ระดับ Mid-range ขณะที่ดัชนี Bull-to-Bear แกว่งตัวอยู่ในเหนือ Upper-bound ต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 4
IMPLICATION:
แม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะยังคงปรับตัวขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมา แต่สัญญาณจากเครื่องมือวัด Sentiment เริ่มส่งสัญญาณอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งจากผลสำรวจความเชื่อมั่นนักลงทุนของ AAII ที่สะท้อนมุมมองเชิงลบที่เพิ่มขึ้น และดัชนี CNN Fear & Greed ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง สะท้อนบรรยากาศการลงทุนที่เริ่มเปราะบาง และเพิ่มความเสี่ยงที่ตลาดจะเข้าสู่ช่วงผันผวน หรือแม้แต่การปรับฐานในระยะถัดไป
สำหรับตลาดหุ้นไทย BLS Greed & Fear Barometer ยืนในโซน Neutral ได้ต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง หลังจากที่แกว่งในโซน Fear และ Extreme Fear มาตั้งแต่ต้นปี ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวก อย่างไรก็ดี การที่ดัชนี Bull-to-Bear ขยับขึ้นมาอยู่ในโซนบนสุดของช่วงการเคลื่อนไหว ดัชนี Momentum Strength ปรับขึ้นจนอยู่ในโซนตึงตัว และเริ่มปรับขึ้นด้วยอัตราที่ชะลอลง รวมถึงดัชนี Volume Index ที่ปรับขึ้นแตะระดับ Midpoint แล้ว ล้วนสะท้อนความเป็นไปได้ที่ตลาดอาจเผชิญแรงขายทำกำไรระยะสั้น โดยเฉพาะเมื่อเข้าใกล้แนวต้านสำคัญบริเวณ 1,280 จุด
สรุปภาพตลาดวานนี้
SET ชนเป้าหมายพื้นฐาน 1280 แล้วขายทำกำไรลงมาเสมอตัว โดยพบว่า Momentum การเล่นช่วงชาวมีการดันหุ้นใหญ่เรียงหน้าขึ้นไปต่อ โดยเฉพาะ KTB ADVANC กลุ่มโรงไฟฟ้า นำโดย GPSC BGRIM GULF EGCO EA ก่อนช่วงบ่ายจะเห็นการขายทำกำไรออกมา อย่างไรก็ดี ส่วนใหญ่ยังบวกปิดได้ มีบางกลุ่มที่ขายแรง เช่น GLOBAL DOHOME THANI JMART ส่วน THAI แรงขายถือว่าเบา แต่ก็เห็นหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ที่เกี่ยวเนื่องบางตัวเด้งแรง อย่าง SKY ส่วน THCOM หุ้นแนะนำบวกต่อได้อีกวัน
แนวโน้มตลาดวันนี้
ปรับพอร์ตกลยุทธ์
ตลาดถึงแนวต้านและเป้าหมายปลายปีที่ทาง BLS Research คาดที่ 1,280 จุด ด้านกลยุทธ์เราปรับพอร์ตให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เมื่อ Upside ดัชนีหมดลงในระยะสั้น ก่อนไปโฟกัสเป้าหมายตลาดหุ้นไทยปีปหน้า หลังงบ 2Q-3Q25 ออกครบ
โดยกลยุทธ์จะกลับมาเน้นที่ผลการดำเนินงานที่มี Upside และเลือกลงทุนเป็นรายตัว แทนการเน้นหุ้นใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อตลาดโดยตรงเหมือนที่ผ่านมา
การปรับพอร์ตรอบนี้เรา กลับมาเน้นหุ้นส่งออกอาหาร ที่ปลดล็อกความกังวลเรื่องอัตราภาษีตอบโต้สหรัฐฯที่มีความชัดเจนแล้ว โดยหุ้นที่เคยถูกกดดันเช่น ITC TU CPF อาจลุ้นรีบาวด์ได้ดีกว่าตลาด จาก 1) ต้นทุนอาหารสัตว์ในการดำเนินธุรกิจมีแนวโน้มลดลงปีหน้า 2) งบไตรมาส 3 อาจกังวลเรื่องภาษีส่งออกที่เพิ่มขึ้น แต่มีแนวโน้มได้รับการชดเชยจากยอดคำสั่งซื้อตุนสินค้าเมื่อเข้าช่วงปลายปี 3) บริษัทมีฐานการผลิตในบางประเทศที่โดนอัตราภาษีตอบโต้อยู่ในระดับต่ำช่วยชดเชยรายได้
และเราคงคาดว่า ฤดูกาลประกาศงบการเงิน แถมประกาศจ่ายเงินปันผลที่สูงขึ้นมากกว่าที่ตลาดคาด จะช่วยจำกัดความเสี่ยงขาลงของตลาดหุ้นไทย และจะช่วยดันราคาหุ้นรายตัวในรอบถัดไป
กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ ถือหุ้นปันผล เริ่มสะสมหุ้นต้นรอบ ดักงบการเงินไตรมาส 2 และปันผลระหว่างกาล
วิเคราะห์ทางเทคนิค
2 มุมมอง SET กราฟ daily & weekly มีความแตกต่างกัน หากเป็นรูปแบบรายวันจะพบว่า ดัชนีเริ่มตึง ขึ้นยาก ภายหลังปรับตัวขึ้นมาแล้วทั้งสิ้น +20% ขึ้นจากจุด bottom บริเวณ 1053 จุด ใช้เวลาเพียง 1 เดือนนิดๆ ย่อมต้องแลกมาด้วยภาวะความผันผวนหรือ Overbought (ปลายทาง wave 5) แต่! ถ้าดูแบบรายสัปดาห์ (รูปเล็ก) ลุ้นปิดแท่งเขียวใหญ่ บ่งชี้การขึ้น week นี้ strong!
สรุป: ถ้าเป็นภาพระยะสั้น SET อาจพักรบบริเวณเป้าหมายที่เคยทายไว้ 1,270-1,280 จุด เพื่อลดดีกรีความร้อนแรงลง ขณะที่เส้น EMA 200 วันจะเปลี่ยนหน้าที่เป็นแนวรับที่ 1240 จุด ดัชนีกำลังเปลี่ยนเป็นขาขึ้นรอบใหม่ จับตาตำแหน่ง Fibonacci retracement 61.8% จะเป็นเป้าหมายถัดไปที่ 1,330 จุด น่าจะต้องใช้เวลาอีกพอสมควร แต่ที่ยากกว่าก็คือหุ้นส่วนใหญ่ฟื้นตัวขึ้นมาได้พอสมควร เลือกได้ยากขึ้น หากหุ้นใหญ่พัก ตลาดพัก หุ้นกลาง เล็กมีโอกาสกลับมาคึกคัก!
What to watch
ศาลรัฐธรรมนูญ ขยายเวลา(เป็นครั้งสุดท้าย) ให้นายกแพรทองธาร ชี้แจง ปมคลิปเสียง วันจันทร์ที่ 4 ส.ค.นี้ ซึ่งต้องติดตามคำสั่งวันวินิจฉัยคดี หลังจาก วันที่ 4 ส.ค. อีกครั้ง รวมถึง วันที่ 9 ก.ย. เวลา 10:00 น. ศาลฏีกาได้นัดฟังคำสั่งคดี “ทักษิณรักษาตัวชั้น 14” แนะติดตามไทม์ไลน์คดีการเมืองในประเทศ เพราะ การสะดุดของรัฐบาลอาจมีผลผูกพันไปถึงยังงบประมาณที่กำลังจะผ่านสภาฯ-อาจทำให้เกิดความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณปี 69
MSCI review เริ่มเพิ่มหุ้นไทยเข้าคำนวณ KTC ติด Small Cap index: MSCI Standard index ถอด OR HMPRO, Small Cap เพิ่ม KTB HMPRO ถอด ICHI SISB TPIPL
นักลงทุนทั่วโลกจับตาการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในเดือนนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ การประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮลในปีนี้จะมีขึ้นในวันที่ 21-23 ส.ค. ในหัวข้อ "Labor Markets in Transition:
Demographics, Productivity, and Macroeconomic Policy" หรือ "ตลาดแรงงานในช่วงเปลี่ยนผ่าน: โครงสร้างประชากร, ประสิทธิภาพการผลิต และนโยบายเศรษฐกิจมหภาค" โดยมีธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาแคนซัส ซิตี้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม
FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 85.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนก.ย. หลังจากที่ให้น้ำหนักเพียง 63.1% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และเดือน ต.ค.กับเดือน ธ.ค.จะปรับลดดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% เหลือ 3.5-3.75%
หุ้นแนะนำวันนี้
ITC งบออกมาดีขึ้นและ BLS research มีการปรับเพิ่มคำแนะนำ
แนวรับ 14.3 ต้าน 15.5 Stop loss 14
Tactical port ถอด BCP CPN เพิ่ม ITC TU
รายงานพื้นฐานวันนี้
ICT & Media Sector
จับกระแส EPL ผ่านการสำรวจ Nida Poll
จาก Nida Poll (สำรวจ 2,500 คน อายุ 15+ ระหว่าง 29 ก.ค.–1 ส.ค.) พบว่า 35.5% ของคนไทยติดตาม EPL เป็นครั้งคราว และ 8.8% เป็นแฟนประจำ รวมราว 24.3 ล้านคน แต่มีเพียง 14.6% เท่านั้นที่สมัคร TrueVisions ในฤดูกาลก่อน ส่วนใหญ่ดูผ่านช่องทางอื่น
กลุ่มที่เคยใช้ TrueVisions 27.3% จะยังใช้ True แต่ดู EPL ผ่าน Monomax, 5.9% จะยกเลิก True ไปใช้ Monomax แทน ส่วนกลุ่มที่ไม่เคยใช้ TrueVisions มี 2.8% จะสมัคร Monomax แน่ๆ และ 2.9% สมัครไปแล้ว รวมกับผู้ไม่แน่ใจอีก 12.7% ตีความได้เป็นมีโอกาสได้ลูกค้าใหม่ราว 3.1 ล้านราย และตลาดรวมอาจสูงถึง 5.3 ล้านราย
หาก Monomax ได้สมาชิก 3.1 ล้านราย คาดว่า MONO จะมีรายได้เพิ่มปีละ 864 ลบ. ส่วน JAS (เจ้าของลิขสิทธิ์) จะมีกำไรเพิ่มปีละ 2 พันล้านบาท จากค่าลิขสิทธิ์และส่วนแบ่ง
ในทางตรงข้าม หากมีลูกค้า TrueVisions 4 แสนรายเลิกใช้ และย้ายค่าย (มากกว่าที่เคยมอง 1-1.5 แสนราย) จะกระทบรายได้ 1.6–2.4 พันล้านบาท
ส่วนธุรกิจมือถือ หาก TRUE ต้องลดราคาให้ลูกค้า Monomax (52% market share), จะกระทบรายได้อีกราว 1.6 พันล้านบาท ขณะที่ ADVANC (48% share) ต้องแบกต้นทุนอุดหนุน content ให้ JAS อีกราว 1.5 พันล้านบาท
Tactical Play
ดริฟท์โค้งสุดท้าย ชิงเหลี่ยมช่วงงบฯ
ก่อนเข้าโค้งสุดท้ายของการประกาศงบฯ สัปดาห์หน้า เราได้สรุปคาดการณ์กำไรล่าสุด เปรียบเทียบกับคาดการณ์ครั้งแรก เมื่อ 21 ก.ค. หุ้นที่ยังไม่ประกาศงบฯ จำนวน 56 บริษัท (ที่เราแนะนำ) มี 27% ที่ปรับลดกำไรลงไปแล้ว เช่น อสังหาฯ PSH SPALI AP นิคมฯ WHA AMATA ค้าปลีก BJC CPN พลังงาน PTT SPRC PTTGC ท่องเที่ยว CENTEL ERW เป็นต้น โดยสังเกตุว่าส่วนมาก หุ้นไม่ค่อยตอบรับเชิงลบเหมือนในอดีต ขณะที่อีกด้านปรับคาดการณ์กำไรขึ้นมีสัดส่วน 14% เช่น TOP BAM OSP TFG SYNEX ซึ่งมีการเล่นดักแล้วส่วนใหญ่
นอกจากนี้ การสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์ล่าสุด พบว่ายังมีราว 13% ที่เตือนให้ระวังโอกาสต่ำกว่าประมาณการของตลาด (หรือ ของเรา) เช่น PSH HANA AWC CENTEL OKJ CRC และมีราว 16% ที่มีโอกาสเห็นการปรับลดกำไรทั้งปีลงด้วย เช่น JMT SAWAD ในทางตรงข้ามก็มี 14% ที่มีโอกาสกำไรดีกว่าคาด และ/หรือ มีโอกาสปรับกำไรขึ้นหลังงบฯ แบ่งเป็น กลุ่มเล่มมาแนว ให้รอล็อคกำไร (BAM TFG BTG CPF) เล่นขึ้นมา แต่คิดว่าไปต่อหลังงบได้ด้วย (OSP) และที่ยังไม่ค่อยเล่น (WHAUP BGRIM STECON)
ตลาดเล่นขึ้นมากระจายตัวมากขึ้น (Short-term Market Breath ขยับจาก -9.2 คะแนน ในเดือน มิ.ย. เป็น 3.5 คะแนนในปัจจุบัน) อีกทั้ง Short-term Momentum ค่อนข้างตึงตัว โดยภาพรวมจึงมองว่าการเล่นดักงบฯ รอบนี้ ถูกใส่ความหวังไปพอสมควรแล้ว
Tactical view: เราจึงได้พลิกกลยุทธ์มามองสัญญาณบวกจากแนวโน้มไตรมาสถัดไป หรือช่วงประชุมนักวิเคราะห์ และ Story เพิ่มเติม ให้สอดรับ Momentum เชิงเก็งกำไร และกลยุทธ์ทางเทคนิค หากนับเฉพาะที่ยังไม่ประกาศงบฯ ได้แก่ TOP BGRIM BBIK และหากนับที่รายงานงบแล้ว มีเพิ่มเติม คือ MINT THCOM
รายงานผลประกอบการวันนี้
BCP
บางจาก คอร์ปอเรชั่น
(0) BCP รายงานขาดทุนสุทธิ 2Q25 ที่ 2,560 ล้านบาท หักรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 972 ล้านบาท พลิกจากขาดทุนหลัก YoY แต่ลดลง 35% QoQ เป็นไปตามที่เราคาด แต่น้อยกว่าตลาดคาด 7% แนวโน้ม 3Q25 คาดกำไรหลักจะ เพิ่มขึ้น YoY จากธุรกิจโรงกลั่น และ QoQ จากทั้งโรงกลั่น การตลาด และโรงไฟฟ้า เราได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรหลักปี 2025 ขึ้น 14% เป็น 5,409 ล้านบาท โดยสะท้อนส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น (แต่ปรับลดกำไรสุทธิลง 47% เหลือ 2,505 ล้านบาท จากรายการพิเศษใน 1H25) อย่างไรก็ตาม เราปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 33 บาท (จาก 36 บาท) จึงยังแนะนำ wait-and-see ในเชิงพื้นฐาน
CPAXT
ซีพี แอ็กซ์ตร้า
(0) CPAXT รายงานกำไรสุทธิ/หลัก 2Q25 ที่ 2,286 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% YoY, ลดลง 14% QoQ (ตามฤดูกาล) เป็นไปตามที่เราและตลาดคาด การเติบโต YoY หนุนจาก Synergy ของ Makro และ Lotus’s และ GM โดบบริษัทประกาศจ่ายปันผล 1H25 ที่ 0.18 บาท คิดเป็น Div. yields ราว 0.9% แนวโน้ม 3Q25 คาดกำไรหลักจะ เติบโต YoY จากการรับรู้ Synergy ต่อ แต่ลดลง QoQ ตามฤดูฝน เรายังคงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 25 บาท
OR
ปตท. น้ำมันและ การค้าปลีก
(-) OR รายงานกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 2,232 ล้านบาท ลดลง 12% YoY และ 49% QoQ ต่ำกว่าที่เราและตลาดคาด 14% จากค่าใช้จ่ายมากกว่าคาด แนวโน้ม 3Q25 คาดกำไรหลักจะ พลิกจากขาดทุน YoY และทรงตัว QoQ ให้คำแนะนำเพียงถือ
สรุปประเด็นจาก Quick take
ADVANC
แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
ปรับประมาณการ core service revenue จากเดิม ปี 2025 โต 3-5% YoY เป็น โต 4-6% YoY ในช่วง 2H25 ปรับเป้าการเติบโต EBITDA จากเดิม ปี 2025 โต 3-5% เป็น โต 4-6% YoY ในช่วง 2H25
View from fundamental: ในขณะที่ TRUE ปรับลดเป้าและสูญเสียฐานลูกค้าอย่างหนักใน 2Q25, ADVANC เดินเกมตรงข้ามโดยขยายฐานลูกค้าและปรับเพิ่มเป้ารายได้และกำไร ซึ่งสะท้อนถึง momentum ที่แข็งแกร่งขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี
KTB
ธนาคารกรุงไทย
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
ธนาคารประเมินคุณภาพสินทรัพย์ยังบริหารจัดการได้ โดยคาด credit cost 2H25 จะลดลงจาก 1H25 KTB จะบันทึกการ mark to market กำไรจากเงินลงทุนของ THAI เข้างบกำไรขาดทุน ซึ่งจะเป็นบวกใน 3Q25
View from fundamental: เราประเมินว่าทิศทางคุณภาพสินทรัพย์ยังบริหารจัดการได้ และคาดแนวโน้มกำไร 2H25 จะยังดีต่อเนื่อง แนะนำซื้อ
MTC
เมืองไทย แคปปิตอล
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
MTC ประเมินความต้องการใช้สินเชื่อจากลูกค้า รายย่อยยังดีใน 3Q25 เพราะเป็นช่วงฤดูกาลเพาะปลูก ทิศทางคุณภาพสินทรัพย์ค่อนข้างทรงตัว ทำให้ MTC ประเมินว่า credit cost ใน 2H25 น่าจะใกล้เคียง 1H25
View from fundamental: แม้เราประเมินว่าทิศทางกำไรของ MTC จะยังดีต่อเนื่องใน 2H25 แต่เราประเมินว่าราคาหุ้นได้สะท้อนผลบวกดังกล่าวไปแล้ว จึงแนะนำ ขาย
TIDLOR
เงินติดล้อ
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
TIDLOR ยังเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ โดยบริษัทประเมินการเติบโตของสินเชื่อปีนี้จะใกล้เคียงปีที่แล้วที่ 7% YoY ทิศทางคุณภาพสินทรัพย์ยังควบคุมได้ ทำให้ TIDLOR ประเมินว่า credit cost ใน 2H25 น่าจะใกล้เคียง 1H25
View from fundamental: เราประเมินคุณภาพสินทรัพย์ของ TIDLOR จะยังดีใน 2H25 และคาดกำไรปีนี้จะเติบโต 15% YoY สูงสุดในกลุ่ม Retail Finance แนะนำ ซื้อ
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน