สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(1 สิงหาคม 2568)--------COCOCO มองเห็นโอกาสทอง หลังสหรัฐฯ ปรับลดภาษีนำเข้าจากไทยเหลือ 19% จากเดิม 36% ต่ำกว่าหลายประเทศคู่แข่ง ดันศักยภาพการส่งออกกะทิและมะพร้าวแปรรูป พร้อมขยายฐานลูกค้าใหม่ในตลาดอเมริกา ผ่านกลยุทธ์หลักขยายฐานครอบคลุม พร้อมชูจุดแข็งเสริมความแข็งแกร่งในการแข่งขันระหว่างประเทศ แถมรักษาระดับราคาขายในตลาดสหรัฐฯ


ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO ผู้ผลิตจำหน่าย และส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวรายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีมุมมองเชิงบวกจากการที่สหรัฐฯ ปรับลดภาษีเป็นอัตรา 19% จากเดิม 36% ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการเพิ่มศักยภาพทางการส่งออก และถือว่าเป็นอัตราภาษีสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก และการปรับอัตราภาษีเหลือ 19% ยังต่ำกว่าประเทศคู่แข่งหลายราย อาทิ อินเดีย (25%) เวียดนาม (20%) และลาว/เมียนมา (40%) ส่งผลให้สินค้าจากไทยโดยเฉพาะกลุ่มกะทิและมะพร้าวแปรรูปยังคงมีความสามารถในการแข่งขันด้านราคาสูง และเสริมความแข็งแกร่งในการแข่งขันระหว่างประเทศ

" บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญในการส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวมายาวนานกว่า 30 ปี โดยเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์กะทิไปยังยุโรปในระดับผู้นำ และมีประสบการณ์การพัฒนาและควบคุมคุณภาพวัตถุดิบภายในประเทศ ทำให้สามารถควบคุมต้นทุนได้ แม้เผชิญกับความผันผวนของตลาดโลก โดย COCOCO ประเมินว่า อัตราภาษีใหม่ที่ลดลงจะทำให้บริษัทฯ สามารถรักษาระดับราคาขายและมีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ได้" ดร.วรวัฒน์ กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทยังมองเห็นโอกาสขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ในตลาดสหรัฐฯ โดยอาศัยจังหวะที่ประเทศคู่แข่งบางรายประสบกับต้นทุนภาษีที่สูงขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อคำสั่งซื้อจากผู้ค้าสหรัฐฯ ทั้งนี้ COCOCO เตรียมเดินหน้ารุกตลาดผ่านช่องทาง private label และกลุ่มค้าปลีก (retail chain) เพื่อขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมและหลากหลายมากยิ่งขึ้น

ดร.วรวัฒน์ กล่าวเสริมว่า COCOCO ยังเน้นย้ำความมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในระดับสากล ด้วยมาตรฐานคุณภาพที่ได้รับการรับรองจากหลายประเทศ และเตรียมพร้อมกำลังการผลิตรองรับคำสั่งซื้อใหม่ในครึ่งปีหลัง 2568 ทั้งนี้ แบรนด์ “Thai Coco” มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรไทยด้วยนวัตกรรมและมาตรฐานการผลิตระดับสากล พร้อมเดินหน้าขยายตลาดใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันสินค้าไทยสู่เวทีโลก และสนับสนุนเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทในระยะยาว