SET อาจติดไฟแดง...รอไฟเขียว
TOP PICK BCH / GUNKUL / ERW
EXTERNAL FACTOR
• วานนี้สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เผย GDP GROWTH 2Q68 ขยายตัว +5.2%YOY สูงกว่าที่ตลาดคาด +5.1% แต่ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ +5.4% แรงหนุนหลักๆ มาจากฝั่งอุตสาหกรรมและการส่งออกที่เร่งตัวก่อนขึ้นภาษี
• อย่างไรก็ตาม ประเด็นการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลกในช่วง 2H68 ยังมีความเสี่ยงจากผลกระทบของ TARIFFS ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือน ส.ค. นี้
• เงินเฟ้อทั่วไปสหรัฐฯ เดือนมิ.ย. 68 ขยายตัว +2.7%YOY สูงกว่าตลาดคาดเล็กน้อยขณะภาษีเริ่มกระทบบางส่วน แต่ตลาดคาด FED ยังตรึงดอกเบี้ยต่อในเดือน ก.ค. นี้
INTERNAL FACTOR
• สหรัฐฯ ลดภาษี RECIPROCAL เหลือ 19% (จาก 32%) ตามที่อินโดฯ ตกลงยกเลิกภาษีทั้งหมดสำหรับสินค้าสหรัฐฯ (0%) และตกลงซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ อาทิ พลังงาน,
สินค้าเกษตรและ เครื่องบิน BOEING
• ซึ่งต้องติดตามว่าประเทศไทยจะมีข้อเสนออะไรเพิ่มเติมจากสินค้า"ปลานิล ลำไยรถยนต์" หรือไม่ และจะกระทบกับผู้ประกอบการในบ้านเรามากเพียงใด โดยBLOOMBERG คาด GDP GROWTH(YOY) จะโตเพียงไตรมาสละ 1.4%YOYเท่านั้น
INVESTMENT STRATEGY
• ไตรมาสที่ 3 มาครึ่งเดือน หุ้นเอเชียกลับมาได้รับความสนใจและขึ้นโดดเด่น รวมถึงตลาดหุ้นไทย +6.6%QTD ขึ้นแรงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองตลาดหุ้นปากีสถาน 8.3% แซงเวียดนาม 6.2% และศรีลังกา 6.0%
• ระยะสั้น: ประเมิน SET มีโอกาสพักตัวก่อน หลังวานนี้ FUND FLOW ต่างชาติสลับมาขายสุทธิ -592 ล้านบาทหลังจากที่ซื้อสุทธิมา 5 วันติด ทำให้การขึ้นมาแรงของ SET มีโอกาสติดแนวต้านสำคัญที่เส้น EMA89 วัน ที่1170 จุด ก่อน ทำให้มีโอกาสเห็นการพักตัวในช่วงสั้นๆ ได้ยังคงแนะนำหุ้นกำไรกลุ่มขึ้นเป็นขั้นบันไดช่วง 2Q –3Q อย่าง กลุ่ม ETRON : KCE, HANA, กลุ่ม HELTH : BH, BCH กลุ่ม PROP: SPALI, SIRI กลุ่ม FIN: MTC, TIDLOR, SAWAD, KTC
ครึ่งปีแรกผ่านไปดูเบาใจเรื่อง TARIFFS...แต่ครึ่งปีหลังไม่ค่อยสบายใจ
วานนี้สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เผย GDP GROWTH 2Q68 ขยายตัว +5.2% YOY สูงกว่าที่ตลาดคาด+5.1% แต่ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ +5.4% แรงหนุนหลักๆ มาจากฝั่งอุตสาหกรรมและการส่งออกที่เร่งตัวก่อนขึ้นภาษี แม้ยอดส่งออกไปสหรัฐฯ จะร่วง -24% ทั้งนี้ กรณีเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวได้จริง หรือได้รับผลกระทบจาก TARIFFต่ำกว่าตลาดคาดการณ์ อาจเป็น SENTIMENT เชิงบวกต่อหุ้นกลุ่ม CHINA PLAY คาดหวังเศรษฐกิจฟื้นตัว อาทิ
• กลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม และ LOGISTIC อาจได้รับ SENTIMENT เชิงบวกในช่วงที่จีนปิดเทอม : AOT,SJWD, ERW, CENTEL, MINT, III
• กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์: HANA, KCE, DELTA
• กลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย : AP, LH, SIRI ORI
• กลุ่มวัสดุก่อสร้าง : SCC, SCGP
• กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี: PTT, TOP, PTTGC, PTTEP, IVL
• กลุ่มค้าปลีก : CRC, BJC, CPALL
• กลุ่มยางพารา : NER, STA
อย่างไรก็ตาม ประเด็นการเติบโตของเศรษฐกิจจีนยังมีความเสี่ยง โดย BLOOMBERG เตือนว่า องค์ประกอบ GDPของจีน ชี้ถึงความไม่สมดุลระหว่างภาคการผลิตที่เติบโตกับอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแอ ขณะที่ภาวะเงินฝืดยังยืดเยื้อ และแรงขับจากการส่งออกอาจหมดลงก่อนมาตรการTARIFF ของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้นอกจากนี้ BLOOMBERG ยังได้ประเมิน GDP GROWTH ของประเทศต่างๆ เห็นสัญญาณการชะลอตัว โดยในช่วง2H67 เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มขยายตัวได้ราว 4.0-4.4% ส่วนบ้านเราคาดขยายตัวแค่ 1.4%
อีกประเด็นหนึ่ง เงินเฟ้อทั่วไปสหรัฐฯ เดือนมิ.ย. 68 ขยายตัว +2.7%YOY สูงกว่าตลาดคาดเล็กน้อยที่ +2.6%YOYและปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อน +2.4%YOY ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานสหรัฐฯ ล่าสุด +2.9%YOY ต่ำกว่าตลาดกว่าคาดเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบาย TARIFFในแง่มุมทิศทางดอกเบี้ย FEDWATCH TOOL คาดว่า FED จะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้าถึงแม้ ปธน. ทรัมป์จะเรียกร้องให้ FED ลดดอกเบี้ยทันที โดยโพสต์ผ่านช่องทาง SOCIAL MEDIA ว่า “CONSUMERPRICES LOW. BRING DOWN THE FED RATE, NOW!!”
ความคืบหน้า TRADE TARIFF เป็นอย่างไรบ้าง
ผลการเจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ กับประเทศต่าง ๆ เดินหน้าเข้าใกล้ 1 ส.ค.68 มาเรื่อยๆ ซึ่งล่าสุดสหรัฐฯ ลดภาษีRECIPROCAL เหลือ 19% (จาก 32%) ตามที่อินโดฯ ตกลงยกเลิกภาษีทั้งหมดสำหรับสินค้าสหรัฐฯ (0%) และตกลงซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ อาทิพลังงานมูลค่า 15 พันล้านดอลลาร์, สินค้าเกษตรมูลค่า 4.5 พันล้านดอลลาร์,เครื่องบิน BOEING จำนวน 50 ลำ (หลายลำเป็นรุ่น 777) เป็นต้น ซึ่งต้องติดตามว่าประเทศไทยจะมีข้อเสนออะไรเพิ่มเติมจากสินค้า"ปลานิล ลำไย รถยนต์" หรือไม่
ซึ่งฝ่ายวิจัยฯนำกลุ่มสินค้าที่เสี่ยงได้รับผลกระทบจากนโยบาย TARIFFS โดยแบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้
US TARIFFS : กรณีสหรัฐฯ เรียกเก็บ TARIFFS ไทย 36% เสี่ยงกระทบต่อผู้ส่งออกสินค้าจากไทยไปสหรัฐฯ อาทิสินค้าเกษตร เนื้อสัตว์ นม ผัก-ผลไม้ น้ำตาล และยาสูบ
THAILAND TARIFFS : หากไทยไม่เก็บ TARIFFS จากสหรัฐฯ (0%) มีความเสี่ยงที่สินค้าจากสหรัฐฯ เข้าไทย เกิดการแย่งตลาดในไทย อาทิ สารเคมี ปิโตรเลียม ไม้ สิ่งทอ/เสื้อผ้า เครื่องหนัง ชิ้นส่วนอิเล็คฯซึ่งประเด็นดังกล่าวอาจทำให้เศรษบกิจไทยชะลอตัวลงในช่วง 2H68 โดย BLOOMBERG คาด GDP GROWTH(YOY) จะโตเพียงไตรมาสละ 1.4%YOY เท่านั้น
ไตรมาสนี้ SET ขึ้นเร็วขึ้นแรง อาจพักแปป ก่อนไปต่อ
ไตรมาสที่ 3 มาครึ่งเดือน หุ้นเอเชียกลับมาได้รับความสนใจและขึ้นโดดเด่น รวมถึงตลาดหุ้นไทย +6.6%QTD ขึ้นแรงสุดเป็นอันดับ 2ของโลก เป็นรองตลาดหุ้นปากีสถาน 8.3% แซงเวียดนาม 6.2% และศรีลังกา 6.0%
ระยะสั้น: ประเมิน SET มีโอกาสพักตัวก่อน หลังวานนี้FUND FLOW ต่างชาติสลับมาขายสุทธิ -592 ล้านบาท
หลังจากที่ซื้อสุทธิมา5 วันติด ทำให้การขึ้นมาแรงของ SET มีโอกาสติดแนวต้านสำคัญที่เส้น EMA89 วัน ที่ 1170 จุดก่อน (เช่นเดียวกับคราวก่อนที่ไม่ผ่านเส้นนี้บริเวณ 1230 จุด แล้วย่อลงมาอยู่ที่ 1053 จุด) ทำให้มีโอกาสเห็นการพักตัวในช่วงสั้นๆ ได้
ระยะกลาง : หาก SET เกิดการย่อตัวในช่วงถัดไป ถือเป็นโอกาสทยอยสะสม หวังการดีกลับไปสูงกว่า 1200 จุด จากแรงกดดันต่างๆ เริ่มผ่อนคลายลง และเห็นแนวโน้มกำไรมีโอกาสไม่ได้แย่อย่างที่คิด ในบริเวณนี้ SET มี P/E 65F 12 –13 เท่า, PBV 1.1 เท่า, DIVIDEND YIELD 4.1%
ยังคงแนะนำหุ้นดัก FUND FLOW ที่มีแนวโน้มกำไรกลุ่มขึ้นเป็นขั้นบันไดช่วง 2Q – 3Q อย่าง กลุ่ม ETRON : KCE,HANA, กลุ่ม HELTH : BH, BCH กลุ่ม PROP: SPALI, SIRI กลุ่ม FIN: MTC, TIDLOR, SAWAD, KTC
Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์