สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(27 มิถุนายน 2568)----------กนง. มีมติคงดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.75%
ท่ามกลางความเสี่ยงทั้งภายในและต่างประเทศ
-------------------------
Key Highlights :
• กนง. มีมติ 6 ต่อ 1 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.75% ต่อปี จากเศรษฐกิจไทยครึ่งแรกของปี 2568 ที่ขยายตัวสูงกว่าที่คาดจากการส่งออกที่ขยายตัวสูงต่อเนื่องเริ่มส่งผลดีต่อภาคการผลิตบางส่วน ท่ามกลางความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความขัดแย้งชายแดน และความไม่แน่นอนทางการเมือง
• โดย กนง. ได้ปรับการคาดการณ์ GDP ปี 2568 สูงขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 2.0% มาเป็น 2.3% ทั้งนี้ กนง. เห็นว่าเศรษฐกิจในปี 2568 ไม่น่าจะขยายตัวต่ำกว่า 2% หากไม่มี Shock จากเศรษฐกิจโลกที่รุนแรง ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังมีแนวโน้มต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมาย จากปัจจัยด้านอุปทาน ขณะที่ยังคงต้องติดตามภาวะการเงินที่ตึงตัวและความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงขึ้น
• ประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่ กนง. จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมสู่ระดับ 1.50% ภายในปี 2568 จากเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยขึ้นกับผลของการเจรจากับสหรัฐฯ หลังความคืบหน้าของไทยยังไม่ชัดเจน และผลกระทบต่อราคาพลังงานหลังความขัดแย้งในตะวันออกกลางร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง
----------------------------
กนง. คงอัตราดอกเบี้ย จากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีกว่าที่ประเมินไว้ในการประชุมครั้งก่อนท่ามกลางความเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศที่สูงขึ้น ขณะที่ภาวะการเงินยังตึงตัว เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ
กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.75% ต่อปี ในการประชุมครั้งที่ 3/2568 โดยมีสาระสำคัญดังนี้
• เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวดีกว่าที่ประเมินไว้จากการประชุมครั้งก่อน จากการเร่งส่งออกสินค้าในช่วงครึ่งปีแรกที่ส่งผลดีบางส่วนต่อภาคการผลิต โดยคาดว่าการขยายตัวในช่วงครึ่งแรกของปีอยู่ที่ร้อยละ 2.9 ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะการส่งออกในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเศรษฐกิจในช่วง ครึ่งปีหลังของ 2568 มีทิศทางชะลอตัว จากการส่งออกหลังปัจจัยชั่วคราวหมดลง พร้อมกับผลการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ที่จะชัดเจนขึ้น
• ขณะเดียวกัน การใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศมีสัญญาณอ่อนแรงลงตามกำลังซื้อและความเชื่อมั่นที่ถดถอย
• ภาคท่องเที่ยว แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจะลดลง แต่รายได้ จากการท่องเที่ยวยังคงเพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวระยะไกล ทั้งนี้ ภาคธุรกิจบางส่วนยังคงเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ
• กนง. ปรับเพิ่มประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) สำหรับปี 2568 ขึ้นเป็น 2.3% จากประมาณการเดิม 2.0% และในปี 2569 ปรับลดลงจาก 1.8% เป็น 1.7%
• โดยหลักจากการส่งออกที่ไม่รวมทองคำ ที่ใน H1/68 จะขยายตัวได้ที่ 10.9% แต่จะกลับมา
หดตัวในช่วง H2/68 ที่ -2.9% จากผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
• โดย กนง. ย้ำว่าเศรษฐกิจในปี 2568 ไม่น่าจะขยายตัวต่ำกว่า 2% หากไม่มี Shock จากเศรษฐกิจโลกที่รุนแรง
• ภาวะการเงินของไทยยังคงมีความตึงตัว สะท้อนจากสินเชื่อที่ยังหดตัวโดยเฉพาะสินเชื่อโดยเฉพาะ SMEs และครัวเรือนกลุ่มรายได้ต่ำ แม้สินเชื่อขนาดใหญ่จะยังขยายตัวได้ แต่เห็นแนวโน้มการชำระคืนหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น สะท้อนความต้องการของภาคธุรกิจที่ลดลงในช่วงที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง ขณะที่ด้านคุณภาพสินเชื่อยังปรับด้อยลงโดยเฉพาะสินเชื่อ SMEs และสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นประเด็นที่ กนง. ติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิด
• ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไป กนง. ประเมินว่ามีแนวโน้มต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมาย โดยคาดว่าจะอยู่ที่ 0.5% ในปี 2568 และ 0.8% ในปี 2569 ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นสำคัญ โดยเฉพาะราคาพลังงานที่ปรับลดลงตามราคาน้ำมันโลกและราคาอาหารสดที่ผันผวน ซึ่งทั้งสองหมวดนี้คิดเป็นสัดส่วน 30% ของตะกร้าเงินเฟ้อ
• อย่างไรก็ตาม กนง. ประเมินว่าภาวะดังกล่าวยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด เนื่องจากไม่มีการปรับลดของราคาสินค้าและบริการเป็นวงกว้าง
• ด้านเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะอยู่ที่ 1.0% ในปี 2568 และ 0.9% ในปี 2569 และเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางยังคงยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย ไม่มีสัญญาณของการหลุดออกจากจุดยึดเหนี่ยว (de-anchoring) โดยระยะข้างหน้า กนง. กังวลต่อความเสี่ยงจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจส่งผลให้ราคาพลังงานปรับสูงขึ้น
Implication:
• Krungthai COMPASS ยังคงคาดว่า กนง. อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมสู่ระดับ 1.50% จากเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง แม้ กนง. จะปรับประมาณการณ์ GDP ปี 68 ให้สูงขึ้นอยู่ที่ 2.3% จากตัวเลขจริงที่สูงกว่าคาด แต่ส่วนใหญ่เป็นผลจากปัจจัยชั่วคราว ทั้งการเร่งส่งออกและการใช้จ่ายภาครัฐ โดยในช่วงครึ่งปีหลังที่ปัจจัยเสี่ยงเริ่มส่งผลชัดเจนมากขึ้นอาจทำให้เศรษฐกิจ H2/68 ขยายตัวต่ำกว่า 1% ประกอบกับ เศรษฐกิจในประเทศที่มีสัญญาณอ่อนแรง โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน อีกทั้งการลงทุนภาคเอกชนที่อาจหดตัวได้ หากผลการเจรจากับสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าประเทศคู่แข่ง ซึ่งปัจจุบันความคืบหน้าของการเจรจายังค่อนข้างจำกัด ท่ามกลางความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risk ) ซึ่งคาดการณ์ได้ยาก
• ในระยะข้างหน้าต้องติดตามความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน หลัง กนง. คงดอกเบี้ย ท่ามกลางปัจจัยภายนอกที่มีความผันผวนสูง ทั้ง 1) ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะผลต่อราคาน้ำมัน และ 2) แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ (Fed) ที่ยังไม่แน่นอนจากผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าและราคาน้ำมันที่อาจส่งผลให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้นอีกครั้ง โดยเงินบาทและค่าเงินในภูมิภาคนับตั้งแต่การประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ (Liberation Day) มีความผันผวนต่อเนื่อง และปัจจุบันอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา (มากกว่า percentile ที่ 75) ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าเงินเคลื่อนไหวรุนแรงหากความเสี่ยงเร่งตัวขึ้น