สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(25 มิถุนายน 2568)--------จีเอ็มเอ็ม มิวสิค (GMM Music) เผยผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2568 แข็งแกร่งเกินคาด เติบโตสวนทางกับสภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศที่ผันผวน ย้ำธุรกิจเพลงแตกต่างจากธุรกิจสื่อ เติบโตด้วยสภาวะตลาดที่มีศักยภาพ รวมถึงการวางแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนผ่าน 4 กลุ่มธุรกิจหลัก – ได้แก่การบริหารธุรกิจดิจิทัลมิวสิค, การบริหารธุรกิจลิขสิทธิ์, การบริหารธุรกิจศิลปิน และการบริหารธุรกิจโชว์บิซ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา GMM Music เดินหน้าเสริมแกร่งให้ทุกกลุ่มธุรกิจ พร้อมเพิ่มศักยภาพด้านการผลิตทั้งในแง่คุณภาพและประมาณ ควบคู่กับการผนึกกำลังเชิงลึกกับพันธมิตรระดับโลกและระดับเอเชียอย่าง Tencent, TME, Warner Music ASIA , YG และ LDH เพื่อสร้างสรรค์ผลงานและโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ในฐานะ Music Pure Play อย่างต่อเนื่องตลอดปี 68 นี้
นายภาวิต จิตรกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม มิวสิค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "แม้สภาพเศรษฐกิจไทยจะเกิดความผันผวนอย่างหนัก หลายธุรกิจในอุตสาหกรรม Entertainment ถูก Disrupt และ เกิดภาวะชะลอตัวทางรายได้ แต่ธุรกิจเพลงยังคงเป็นเซ็กเตอร์ในอุตสาหกรรมเอนเตอร์เทนเมนต์ที่แข็งแกร่ง เติบโตผ่านพ้นกระแส Disruption ด้วยความมั่นคง และปรับตัวเข้าสู่ Growth Stage ได้เป็นอย่างดี ซึ่งผลการดำเนินงานที่โดดเด่นของเราในปี 2567 และไตรมาสแรกของปี 2568 เกิดจากความสำเร็จของกลยุทธ์ที่วางไว้อย่างครอบคลุมทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว รวมถึงการบริหารจัดการด้วยความเชี่ยวชาญของทีมงานที่มีประสบการณ์ การบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และการสร้างสรรค์ผลงานที่ตอบโจทย์ และปรับเปลี่ยนให้ทันกับตลาดและผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วทันเกม"
ในปี 2567 GMM Music สร้างปรากฏการณ์ด้วยการสร้างรายได้รวมกว่า 4,056 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565-2567) เฉลี่ยอยู่ที่ 15% ต่อปี และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 8.03% เมื่อเทียบกับงวดสิ้นปี 2566 โดยบริษัท ฯ มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 10.73% รักษาระดับใกล้เคียงกันกับปีที่ผ่าน ๆ มา โดยมีอัตราเติบโตของกำไรเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565-2567) เฉลี่ย 19.53% ต่อปี
สำหรับไตรมาสแรกของปี 2568 GMM Music ยังคงรักษาผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง ด้วยรายได้รวม 1,073.18 ล้านบาท เติบโตเกือบ 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 155.39 ล้านบาท เติบโตขึ้น 46.84% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ผลการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจ 4 เสาหลักในไตรมาส 1 ปี 68
• กลุ่มธุรกิจดิจิทัลมิวสิค (Digital Streaming) มีรายได้ 245.30 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากธุรกิจ Digital Subscription จาก Platform Streaming ต่าง ๆ แม้รายได้จากการโฆษณาใน Video Streaming และ Audio Streaming Platform (Ad Revenue) จะลดลงเล็กน้อยตามภาวะการใช้เงินในตลาดที่หดตัว แต่ไม่ส่งผลกระทบกับภาพรวมของกลุ่มธุรกิจ โดยปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ คือการเติบโตของรายได้ประจำ (Recurring Revenue) จากการบริหารจัดการลิขสิทธิ์เพลง (Music IP) อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้ง New Release หรือเพลงใหม่ และ Music Back Catalog หรือคลังเพลงฮิตจำนวนมหาศาลที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างไม่เสื่อมคลาย
• กลุ่มธุรกิจบริหารลิขสิทธิ์ (Right Management) ยังคงเติบโตท้าทายสภาวะตลาดในปัจจุบันด้วยรายได้กว่า 94.42 ล้านบาท อันเป็นผลจากการวางกลยุทธ์ล่วงหน้า และการวางแผนงานระยะยาวร่วมกับพาร์ทเนอร์สาขาต่าง ๆ และการเติบโตของการจัดงานคอนเสิร์ตและ Music Festival ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
• กลุ่มธุรกิจบริหารศิลปิน (Artist Management) ยังคงรักษาเสถียรภาพได้ดีด้วยรายได้จากงาน Sponsorship เพิ่มขึ้นกว่า 108% ขณะที่ส่วนของงานจ้างศิลปิน (Live Show) มีอัตราการจ้างงานอยู่ในมาตรฐานเดิม ในขณะที่ส่วนของงาน Presenter และ Tailormade มีผลประกอบการลดลงเล็กน้อย เนื่องด้วยความผันผวนของเม็ดเงินการโฆษณาในแต่ละไตรมาส
• กลุ่มธุรกิจโชว์บิซ (คอนเสิร์ตและเทศกาลดนตรี) ทำรายได้สูงสุดที่ 358.68 ล้านบาท สร้างปรากฏการณ์เติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 107.45% และจำนวนคนดูกว่า 220,000 คน ที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวหรือกว่า 100% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อันเป็นผลจากความสำเร็จอย่างล้นหลามของ Music Festival ระดับประเทศในช่วงไตรมาส 1 นี้ อาทิ เทศกาลดนตรี Rock Mountain, เฉียงเหนือเฟส, พุ่งใต้เฟส, นั่งเล มิวสิคเฟสติวัล และเทศกาลดนตรีที่จัดขึ้นใหม่อย่าง FAAD Festival รวมถึงคอนเสิร์ตขนาดใหญ่อย่าง Cocktail Ever Live ที่ได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้นจากแฟนเพลง
“ นอกจาก 4 เสาธุรกิจหลักที่สร้างรายได้ได้อย่างมั่นคงและแข็งแรง อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ GMM Music ยังสามารถรักษาการเติบโตได้ดี คือธุรกิจใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไม่นานอย่าง BLKGEM สถาบันศิลปะบันเทิงที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง GMM Music และ Harlem Shake ซึ่งบริหารโดยครูเจด้า - อภิสราฐ์ เพชรเรืองรอง สามารถสร้างรายได้ที่เติบโตอย่างโดดเด่นถึง 83% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา” ภาวิตเสริม
ในด้านการผลิตคอนเทนต์ GMM Music มียอดการรับชมวิดีโอและฟังเพลงเติบโตกว่า 26% เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยส่วนของการรับชมวิดีโอ มีการเติบโตถึง 22% ด้วยยอดรับชม (วิว) จาก 4,472 ล้าน เป็น 5,492 ล้าน โดยส่วนของ Back Catalog เติบโต 13% ขณะที่ผลงานใหม่ (New Release) เติบโต 25% และส่วนของเพลงประเภท Audio เติบโต 49% ด้วยยอดรับฟัง (สตรีมมิ่ง) จาก 629 ล้าน เป็น 939 ล้าน โดยส่วนของ Back Catalog เติบโต 10% และผลงานใหม่ (New Release) เติบโต 24% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
กลยุทธ์ในช่วงครึ่งหลังปี 68
GMM Music คาดว่าภาวะการแข่งขันในธุรกิจโชว์บิซจะรุนแรงยิ่งขึ้น โดยประเทศไทยจะมีการจัดคอนเสิร์ตของศิลปินไทยและต่างประเทศมากกว่า 1,000 งานในปีนี้ ทั้งนี้ โดยปกติบริษัทฯ ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า 1 -2 ปีสำหรับธุรกิจนี้ โดยพิจารณาถึงปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบด้าน ทั้งเทรนด์ ของผู้ชม การวางตำแหน่งแบรนด์ ตลอดจนการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตร ซัพพลายเออร์ และการพัฒนาคุณภาพทีมงาน ซึ่งในปี 68 นี้ นอกจากจะมีแผนจัด Music Festival ในหลากหลายพื้นที่และมีการจัดคอนเสิร์ตของศิลปินในสังกัดแล้ว ยังมีคอนเสิร์ตและแฟนมีทของศิลปินเกาหลี เช่น Le Sserafim Tour 'Easy Crazy Hot' in Bangkok, 2025 Han So Hee 1st Fanmeeting World Tour [Xohee Loved Ones,] in Bangkok และคอนเสิร์ตจากศิลปินนานาชาติอีกมากมาย
ภาวิตให้ความเห็นว่าภาวะตลาดโชว์บิซมีการแข่งขันที่สูงขึ้นและมีผู้เล่นใหม่ ๆ รวมตัวกันเข้ามา เป็นสิ่งที่ดีต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม และบริษัทได้เตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันอยู่ตลอดด้วยการวางกลยุทธ์เชิงรุกทั้งระยะสั้น กลาง และยาวอย่างมีแบบแผน ความได้เปรียบด้านโครงสร้างบริษัท ประสบการณ์ของทีมงาน และองค์ความรู้ในธุรกิจที่มีมาอย่างยาวนาน รวมถึงการมี Big Data ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมเพลงทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากหลากหลายมิติมาช่วยประกอบการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ
ในส่วนของธุรกิจดิจิทัลมิวสิค จะมีการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในเชิงลึกเพื่อสรรหาแนวทางและโมเดลธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ให้เติบโตมากขึ้น ตลอดจนการใช้ยุทธศาสตร์เฉพาะทางในการบริหาร Back Catalog และ New Release อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งน่าจะสามารถสร้างการเติบโตในกลุ่มธุรกิจดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการผลิตคอนเทนต์ โดยปกติบริษัทจะมีการวางกลยุทธ์ 3 ปี ล่วงหน้าโดยเราจะทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับ 14 ค่ายเพลงในสังกัด พร้อมเดินหน้าแผนจัดตั้งค่ายเพลงอินเตอร์จำนวน 2 ค่ายร่วมกับ Tencent Music Entertainment (TME) และ Warner Music Asia ซึ่งพร้อมจะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ โดยวางเป้าหมายขยายสเกลของพอร์ตโฟลิโอเพลงโดยรวมของบริษัทด้วยผลงานเพลงใหม่ ๆ ทั้งเชิงคุณภาพ และปริมาณ ไม่น้อยกว่า 500 เพลง และ 3,000 Playlists ภายในปี 68 นี้
"เราเชื่อมั่นว่า GMM Music จะยังสามารถเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจได้ตลอดทั้งปี 68 นี้ ด้วยความมุ่งมั่นของเราในการสร้างความมั่นคงให้กับอุตสาหกรรมเพลงไทย ซึ่งไม่ใช่แค่การเติบโตทางธุรกิจ แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศทางดนตรีที่ยั่งยืนและครอบคลุม ตั้งแต่การพัฒนาศิลปินรุ่นใหม่ การสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่หลากหลาย การใช้เทคโนโลยีเพื่อเข้าถึงผู้บริโภค และการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมเพลงไทยสู่ New Music Economy ด้วยการเป็น Music Pure Play ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ" ภาวิตกล่าวสรุป