สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(24 มิถุนายน 2568)--------------บทวิเคราะห์ บล.พาย เปิดเผยว่า ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 375 จุด (+0.89%) ได้แรงหนุนจากคาดการณ์ว่า FED อาจปรับลดดอกเบี้ย ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 7.2% แม้จะมีข่าวอิหร่านเลือกตอบโต้สหรัฐฯแต่ตลาดก็เชื่อว่าจะไม่ถึงขั้นปิดช่องแคบ Hormuz
เมื่อคืนที่ผ่านมามีตัวเลขเศรษฐกิจประกอบไปด้วยยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐฯและดัชนี PMI ภาคผลิตและบริการเบื้องต้น พบว่าทั้ง 3 ตัวเลขรายงานดีกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยที่นักลงทุนให้ความสำคัญได้แก่สถานการณ์ในตะวันออกกลาง ซึ่งในช่วงแรกนั้นมีรายงานว่าอิหร่านตัดสินใจโจมตี ฐานทัพของสหรัฐฯ ในอิรักและกาตาร์ ซึ่งเพิ่มแรงตึงเครียดระหว่างแต่อย่างไรก็ตามหลังจากนั้น Trump ก็ได้ออกมาระบุใน Truth Social ว่าขอแสดงความดีใจกับทุกคน ! เพราะว่าอิสราเอลและอิหร่านได้ตกลงกันว่าจะหยุดยิงกันอย่างสมบูรณ์ในอีก 6 ชั่วโมงจากนี้ ซึ่งโลกก็จะประกาศให้สงคราม 12 วันสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ ทำให้เช้านี้สินทรัพย์เสี่ยงกลับมาฟื้นตัว (ตลาดหุ้นเอเชียและ Dow Future แกว่งบวก) ราคาน้ำมันดิบและทองคำปรับฐานลง แต่อย่างไรก็ตามกับตลาดหุ้นไทยระมัดระวังกลุ่มพลังงานที่จะกลับมาเป็นแรงกดดัน ซึ่งสอดคล้องกับวานนี้ที่เราตั้งข้อสังเกตไว้ว่าแม้จะมีข่าวในตะวันออกกลางแต่ราคาน้ำมันฟื้นเพียงเล็กน้อยและทองคำก็มิได้ปรับขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่ทั้งนี้ก็ยังวางใจอะไรมิได้เพราะที่ผ่านมาก็มักมีข่าวเจรจาหยุดยิงและจากนั้นก็กลับมาใช้ความรุนแรงกันอีกครั้ง แต่ระยะสั้นตลาดหุ้นจะกลับมาแกว่งเชิงบวก จากนี้หากไม่มีความรุนแรงก็เชื่อว่าตลาดจะกลับมาสนใจกับตัวเลขเศรษฐกิจ การค้าโลก ดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ ด้านปัจจัยในประเทศวันนี้รัฐมนตรีคลังจะมีการแถลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมกับจะเปิดเผยผลกระทบเชิงเศรษฐกิจการค้าชายแดนรวมไปถึงธุรกรรมทั้งหมดกับกัมพูชา (มองเป็นปัจจัยหนุนกับตลาดหุ้นไทย) ปัจจัยติดตามคืนนี้ได้แก่การให้ข้อมูลของประธาน FED แต่ก็เชื่อว่าจะไม่มีผลใดมากกับตลาดหุ้นเพราะพึ่งผ่านพ้นการประชุม FED ไปในสัปดาห์ก่อน
" วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1055-1075 จุด แม้มีปัจจัยบวกแต่ก็ระมัดระวังกลุ่มพลังงานจะเป็นกลุ่มกดดัน แต่อย่างไรก็ตามดัชนีลงมาทดสอบจุดต่ำสุดเดิมที่ 1055 ผสานกับเริ่มคลายกังวลตะวันออกกลางก็เชื่อว่าตลาดเริ่มมีแนวโน้มฟื้นตัว ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนนักลงทุนระยะกลางอาจมองเป็นจังหวะเพิ่มพอร์ตการลงทุนด้วย Valuation ที่น่าสนใจ (ไม้แรก) เพราะข้างหน้าก็ยังมีความเสี่ยงจากการค้าและเศรษฐกิจโลก เน้นที่หุ้นใหญ่พื้นฐานดี (CPN CPALL BBL KBANK MTC MINT SAWAD) นิคมอุตสาหกรรม (AMATA WHA) โรงพยาบาล (BDMS)"บทวิเคราะห์ระบุ
AMATA (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 33.50 บาท)
AMATA จะได้รับผลกระทบไม่มากนักจากการปรับภาษีของสหรัฐฯ เนื่องจากมี Backlog ที่รอรับรู้ รายได้อีกกว่า 21,000 ล้านบาท ขณะที่การขายที่ดิน ตั้งแต่ต้นปียังมี เข้ามาอย่างต่อเนื่อง นับถึงปัจจุบันมีแล้วกว่า 750 ไร่ และยังมีลูกค้าในกลุ่ม Data Center ที่อยู่ระหว่างเจรจาอีกมากกว่า 3 ราย (ต้องการที่ดินรายละมากกว่า 100 ไร่) โดยบริษัทยังคงเป้าทั้งปีไว้ที่ระดับ 3,000 ไร่ ซึ่งคาดว่าหลังจากได้ข้อสรุปเรื่องภาษีของสหรัฐฯ ยอดขายจะกลับมาเพิ่มขึ้นได้
CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท)
แนวโน้ม SSSG มีทิศทางแข็งแกร่งกว่ากลุ่มต่อเนื่อง รายงานกำไรสุทธิ 1Q25 ที่ 7.6 พันล้านบาท (+20%YoY, +6%QoQ) ทำสถิติสูงสุดใหม่ ดีกว่าที่เราและตลาดคาด กำไรที่เติบโตแข็งแกร่งหนุนจากยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 ที่เติบโต 3% YoY จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานและ Personal Care ที่เติบโตดี รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Makro +1.05% และ Lotus's +0.5%) ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 2Q25 จะเติบโต YoY ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของยอดขาย Ready-to-eat และ Ready-to-drinks และ Synergy benefits ของ CPAXT