HotNews: PLANB ส่งซิก ล่วงหน้าโค้งแรกงบนิวไฮ
BCH วางงบลงทุน 3 ปี (61-63) 3.67 พันลบ.

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 27 มีนาคม 2561)--------PLANB คาดผลประกอบการ Q1/61 ทำนิวไฮ หลังอัตราใช้พื่นที่โฆษณาเพิ่มเป็น 70-75% ตั้งเป้ารายได้ปี 63 แตะระดับ 5 พันลบ. เหตุรายได้ในปท.หนุนเต็มสูบ เผยอยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อหุ้น BMN เพิ่มเป็น 28% BCH คาดรายได้ปี 61 โตกว่าปีก่อนที่ทำได้ 7.36 พันลบ. เหตุรับรู้รายได้จากประกันสังคมหลังปรับเพิ่มเข้ามาเต็มปี-เปิดโรงพยาบาลใหม่เพิ่มอีก 1แห่ง พร้อมวางงบลงทุน 3 ปี(61-63) ราว 3.67 พันล้านบาท ก่อสร้างโรงพยาบาลใหม่5แห่ง

นายวัชรพงศ์ ลีโทชวลิต นักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.แพลน บี มีเดีย (PLANB) เปิดเผยว่าบริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2561 เติบโต 15-20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 3 พันล้านบาท ขณะที่บริษัทคาดว่าอัตรากำไรสุทธิปีนี้จะปรับเพิ่มเป็น 18-20% จากปีก่อนที่ 15.27% หลังธุรกิจสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัยที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และธุรกิจสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง ขณะที่บริษัทเตรียมจะเพิ่มพื้นที่สื่อโฆษณา (Capacity) ขึ้นอีก 10-15% หรือการขยายจอโฆษณานอกที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯอีก 100 จอ และต่างจังหวัดอีก 20-40 จอ ด้วยงบลงทุนราว 600-800 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อที่จะเข้าถือหุ้นเพิ่มใน บริษัท แบงคอก เมโทร เน็ทเวิร์คส์ จำกัด เป็น 28% จากก่อนหน้านี้บริษัทเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วน 19.48% คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปีนี้ เนื่องจากบริษัทดังกล่าวยังมีโอกาสที่จะได้สัมปทานใหม่ ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง อาทิ รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายต่าง ๆ จึงมองเห็นโอกาสที่จะเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วนสูงขึ้น

นายวัชรพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทตั้งเป้าหมายปี 2563 รายได้จะขึ้นแตะระดับ 5 พันล้านบาท โดยจะมาจากรายได้ในประเทศ 95% และส่วนที่เหลือจะมาจากต่างประเทศ โดยบริษัทจะเน้นการการหาพื้นที่โฆษณาใหม่ๆ และการเข้าประมูลสัมปทานของทั้งรถเมล์ใหม่ สนามบินใหม่ และโครงการใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น โครงการไอคอนสยาม และเมกาบางนา เป็นต้น

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาสแรกปีนี้ คาดมีโอกาสที่ผลประกอบการจะทำสถิติสูงสุดใหม่ (NewHigh) หลังจากประเมินอัตราการใช้พื้นที่สื่อโฆษณา (Utilization rate) สูงขึ้นเป็น 70-75% จากระดับ 65-70% ในปีก่อน ซึ่งเป็นการเติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และพื้นที่การโฆษณาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งอัตราการใช้พื้นที่สื่อโฆษณาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัยที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

รศ.ดร.นพ. เฉลิม หาญพาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่ บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ารายได้และกำรสุทธิปี 2561จะเติบโตกว่าปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 7.36 พันล้านบาทและกำไรสุทธิอยู่ที่ 917 ล้านบาท เนื่องจากทางคณะกรรมการประกันสังคมได้อนุมัติปรับเพิ่มค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัว และค่าภาระเสี่ยงโรคสำหรับผู้ป่วยโครงการประกันสังคม ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ค. 2560 โดยมีการปรับราคา ได้แก่ 1.ค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัวสำหรับผู้ป่วยภายใต้โครงการประกันสังคมจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,500 บาทต่อคนต่อปี จากเดิม 1,460 บาทต่อคนต่อปี และค่าภาระเสี่ยงโรคสำหรับผู้ป่วยในที่มีความยากของโรคเข้าเกณฑ์ RW "ภาพรวมธุรกิจโรงพยาบาลเราคาดว่ายังคงสดใส จากสังคมในปัจจุบันที่เริ่มเข้าสังคมผู้สุงอายุมากขึ้น จึงส่งผลให้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ขณะเดียวกันยังมีโรคประหลาดใหม่ๆระบาดมากขึ้นอาทิ โรคพิษสุนัขและไวรัสโรต้า จึงทำให้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สนับสนุนให้ผู้ใช้มากขึ้น"รศ.ดร.นพ. เฉลิม กล่าวเพิ่มเติม

ทั้งนี้บริษัทได้วางงบลงทุน 3ปี(2561-2563)ไว้ราว 3.67 พันล้านบาท โดยจะใช้ในการก่อสร้างโรงพยาบาล 5 แห่ง ประกอบไปด้วยโรงพยาบาลเกษมราชฎ์รามคำแหง จำนวน 139 เตียง ซึ่งจะเปิดให้บริการได้ในไตรมาส4/61,โรงพยาบาลเกษมราชฎ์เชียงขอม จำนวน 30 เตียงที่จะเปิดให้บริการในไตรมาส 2/62,โรงพยายบาลเกษมราชฎ์ปราจีน จำนวน 116 เตียง ที่จะเปิดให้บริการในไตรมาส 1/63,โรงพยาบาลเกษมราชฎ์สระแก้ว จำนวน 115 เตียงที่จะเปิดให้บริการในไตรมาส 2/63และโรงพยาบาลเกษมราชฎ์ อินเตอเนชั่นแนล เวียงจันทร์ จำนวน 254 เตียงที่จะเปิดให้บริการในไตรมาส 3/61

สำหรับแหล่งเงินทุนบริษัทจะใช้จากกระแสเงินสดภายในบริษัทและกู้ยืมจากสถาบันการเงินบางส่วน โดยในปัจจุบันบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 0.97 เท่าและจะคุมไม่ให้เกิน 2 เท่า ซึ่งหลังจากที่บริษัทได้มีเปิดโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ บริษัทได้ตั้งเป้าจะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็นแตะ 10%ในปี2562จากปัจจุบันอยู่ที่ 5-6%
นอกจากจะมีการเปิดโรงพยาบาลแล้ว บริษัทยังได้มีการติดต่อผ่านตัวแทนหรือเอเจ้นท์และรับจ้างโรงพยาบาลในต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันได้มีการเจรจาอยู่ในประเทศปากีสถานโดยคาดว่าจะชัดเจนในไตรมาส3/61-4/61นี้ และบริษัทยังมีแผนที่จะเข้าไปรับบริหารในไประเทศเมียนมา,กัมพูชาและลาวด้วยเช่นกัน เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต

ขณะเดียวกันบริษัทยังมีความสนใจที่เข้ากิจการโรงพยาบาลทั้งในประเทศและต่างประเทศซึ่งได้มีการเจรจราอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันมีอยู่ 2รายที่ค่อนข้างมีความชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามบริษัทประเมินว่ายังคงไม่สามารถสรุปได้ในเร็วๆนี้ เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาค่อนข้างนาน ประกอบกับบริษัทยังคงเน้นหาพื้นที่ทำเลที่มีศักยภาพในการตั้งโรงพยาบาลและก่อสร้างเอง

----จบ----