สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(14 พฤษภาคม 2568)----------THRE โชว์ผลงานงวดไตรมาส 1/2568 เบี้ยประกันภัยต่อรับโต 14% แตะ 1,456 ล้านบาท แจงเหตุแผ่นดินไหวบริษัทซื้อประกันภัยต่อป้องกันความเสี่ยงไว้เพียงพอ คาดตั้งสำรองสินไหมวงจำกัดไม่เกิน 90 ล้านบาท ขณะที่มาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS 17 แม้ต้องตั้งสำรองค่าความผันผวน แต่ยืนยันไม่กระทบผลการดำเนินงาน ส่งซิกไตรมาส 2 ต่อเนื่องครึ่งปีหลังธุรกิจสดใส หนุนศักยภาพการทำกำไรดีขึ้นต่อเนื่อง

นายโอฬาร วงศ์สุรพิเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) หรือ THRE ผู้ให้บริการด้านการรับประกันภัยต่อ (Professional Reinsurer) ครอบคลุมทั้งการรับประกันภัยทรัพย์สิน อุบัติเหตุ วิศวกรรม ภัยทางทะเลและการขนส่งสินค้า ภายในประเทศและต่างประเทศ เปิดเผยภาพรวมผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 ปี 2568 ว่า เบี้ยประกันภัยต่อรับเติบโตขึ้น 14% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน แตะ 1,456 ล้านบาท ตามการขยายตัวของธุรกิจทั้งในส่วนของ personal line และ commercial line ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับภาวะตลาดโดยรวม

ขณะที่อัตราค่าใช้จ่ายรวม (Combined Ratio) อยู่ที่ระดับ 104.9% สาเหตุสำคัญมาจากการตั้งสำรองสินไหมเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ที่บริษัทจะต้องประมาณการค่าสินไหมจ่ายทั้งหมดจำนวน 1,159 ล้านบาท แต่เนื่องด้วยบริษัทได้ทำประกันภัยต่อส่วนเกินไว้แล้ว เพื่อป้องกันความเสี่ยง คาดจะได้รับจำนวน 1,069 ล้านบาท ทำให้ความเสียหายจำกัดอยู่ที่ไม่เกิน 90 ล้านบาท บริษัทจึงมีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 34 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากจำนวนสินไหมจ่ายจริงน้อยกว่าที่ประมาณการไว้ บริษัทจะทยอยรับรู้คืน ซึ่งจะทำให้ผลขาดทุนเท่ากับค่าสินไหมที่จ่ายจริง

นายโอฬาร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกรณีการจัดทำงบการเงินตามมาตรฐานรายงานทางการเงินฉบับที่ 17 เรื่องสัญญาประกันภัย (TFRS 17) ทดแทนมาตรฐานรายงานทางการเงินฉบับที่ 4 (TFRS 4) เดิม ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ที่ผ่านมานั้น แม้บริษัทต้องตั้งสำรองค่าผันผวน (Risk Adjustment) เพื่อรองรับค่าสินไหมที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ยืนยันไม่กระทบต่อผลการดำเนินงาน และขีดความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ โดยประเมินแนวโน้มภาพรวมธุรกิจช่วงไตรมาส 2 ต่อเนื่องครึ่งหลังของปี 2568 สดใส เบี้ยประกันภัยต่อรับสุทธิเติบโตต่อเนื่อง ภายใต้การบริหารต้นทุนค่าใช้จ่าย และควบคุมความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด เพื่อผลักดันศักยภาพการทำกำไรให้ปรับดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมาย