Market Wrap-Up
- SET วันที่ 7 พ.ค.68 ปิด +32.41 จุด อยู่ที่ 1,220.27 จุด มูลค่าการซื้อขาย 53,984 ลบ. สถาบันซื้อ 2,423 ลบ. พอร์ตโบรกซื้อ 276 ลบ. ต่างชาติซื้อ 4,523 ลบ. และรายย่อยขาย 7,223 ลบ. NVDR มียอดซื้อสุทธิ 4,878 ลบ.โดยมียอดซื้อในหุ้น ADVANC,KBANK,PTTEP,AOT,SCB และยอดขายหุ้น CPALL,TRUE,CPN,BDMS,BEM มูลค่า Short Sales อยู่ที่ 3,014 ลบ.หุ้นที่มี%ปริมาณ Short สูงคือ CRC,KTC,JAPAN10001 โดยนักลงทุนต่างประเทศมีสถานะ Long ใน Index Futures จำนวน 8,329 สัญญา ยอดสะสมตั้งแต่ต้นปีต่างชาติ Long สุทธิรวม 61,471 สัญญา ต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตรไทย 11,251 ลบ.
- ตลาดหุ้นสหรัฐ DJIA +0.70%, S&P500 +0.43%, Nasdaq +0.27% ได้แรงหนุนจากกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย +1.02%, เทคโนโลยี +0.9% ขณะที่บริการสื่อสาร -1.84% หลังเฟดมีมติคงดอกเบี้ยไว้ที่ 25 – 4.5% ตามคาด และยังรอผลการเจรจาการค้าสหรัฐ - จีน ตลาดหุ้นยุโรป Stoxx600 -0.54% จากแรงขายกลุ่มค้าปลีก -2%, บริการสุขภาพ -1.8% นำโดย AstraZeneca ปรับลดลง หลังสหรัฐแต่งตั้งหัวหน้าฝ่ายวัคซีนคนใหม่
Market View
- ตลาดหุ้นสหรัฐวานนี้ได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มผลิตชิป รับข่าว ปธน.ทรัมป์มีแผนจะยกเลิกการควบคุมการส่งออกชิป Ai ส่งผลให้ดัชนีเซมิคอนดักเตอร์ในตลาดฟิลาเดลเฟีย +1.7% โดยนักลงทุนมีความหวังเชิงบวกต่อการเริ่มเจรจาการค้าระหว่าง รมว.คลังสหรัฐ กับรองนายกฯ จีนที่สวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 9 – 12 พ.ค. ขณะที่ผลการประชุมเฟดมีมติคงดอกเบี้ยที่ 25 – 4.5% โดยเฟดยังเห็นความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น ดังนั้นจึงรอประเมินผลกระทบจาก ม.ปรับขึ้นภาษีศุลกากรก่อน จะตัดสินใจด้านนโยบายการเงิน โดย CME Fed Watch ชี้มีโอกาส 57% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 30 ก.ค.
- ตลาดหุ้นยุโรปวานนี้ปรับลดลง จากแรงชายกลุ่มค้าปลีก -2% หลังรายงานยอดค้าปลีกกลุ่มยูโรโซน มี.ค. -0.1% & ก.พ. +0.2% MoM โดยนักลงทุนฝั่งยุโรปยังรอผลการเจรจาการค้าสหรัฐ - จีน เพื่อประเมินโอกาสที่ EU จะเริ่มเจรจาการค้ากับสหรัฐ ทางด้านรายงานกำไร บจ. นั้น Novo Nordisk, BMW ปรับขึ้นรับกำไร Q1/68 ที่ดีกว่าคาด ส่วนค่ำวันนี้ติดตามผลการประชุม BOE ของอังกฤษคาดมีโอกาสลดดอกเบี้ย 25% อยู่ที่ 4.25%
- ตลาดหุ้นเอเชียวานนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้ +0.8%, ฮั่งเส็ง +0.13% หลัง ธ.กลางจีนปรับลดอัตรา RRR ของสถาบันการเงินลง 5% และลดดอกเบี้ย Repo 7 วัน ลง 0.10% อยู่ที่ 1.4% ส่งผลให้ดอกเบี้ย Loan Prime Rate ปรับลดลงด้วย 0.10% ซึ่งช่วยเพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงินได้ราว 1.39 แสน ล.ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อช่วยลดผลกระทบจาก ม.ปรับขึ้นภาษีของสหรัฐ ขณะที่ Kospi เกาหลีใต้วานนี้ +0.55% รับข่าวสหรัฐ – จีนเตรียมเปิดการเจรจาทางการค้า และรอสหรัฐแถลงความคืบหน้าของข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐ - เกาหลีใต้
- SET วานนี้ +2.73% ปริมาณการซื้อขาย 39 หมื่น ลบ. ต่างชาติซื้อ 4,523 ลบ. สถาบันซื้อ 2,423 ลบ. พอร์ตโบรกซื้อ 276 ลบ. และรายย่อยขาย 7,223 ลบ. ได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่ม Global & China Play เช่น ปิโตรเคมี +7.3%, บรรจุภัณฑ์ +7.0%, อิเล็กทรอนิกส์ +4.8% และพลังงาน +3.9% ตอบรับข่าวสหรัฐ – จีนจะเริ่มการเจรจาข้อขัดแย้งทางการค้าในการเดินทางเยือนสวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ 9 – 12 พ.ค. ส่งผลให้ภาวะสงครามการค้ามีแนวโน้มลดลง ขณะที่ ธ.กลางจีนได้ปรับลดอัตรา RRR เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นผลบวกต่ออุปสงค์ของสินค้าในกลุ่มโภคภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น น้ำมัน, ปิโตรเคมี และเป็นผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน & ปิโตรใน SET ที่มีสัดส่วน Market Cap. ราว 20% ส่วนปัจจัยในประเทศได้แรงหนุนจาก กนง.ปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% อยู่ที่ 1.75% และยังมีโอกาสที่จะปรับลดลงอีก 1 – 2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งส่งผลให้ Earning Yield Gap ของ SET ปรับสูงขึ้น ขณะที่เม็ดเงินใหม่จากกองทุน Thai ESGX ราว 2 หมื่น ลบ. ยังเป็นปัจจัยหนุนด้านสภาพคล่องในช่วง พ.ค. - มิ.ย. ส่วนรายงานกำไร บจ. Q1/68 วานนี้ THCOM, SPRC มีกำไรสูงกว่าคาดการณ์ Consensus
Daily Strategy
- ประเมินแนวรับดัชนี SET ที่ 1,200 – 1,210 แนวต้าน 1,230 คาดดัชนีวันนี้มีโอกาสทรงตัว หลังวานนี้ปรับขึ้นรับข่าวการเริ่มเจรจาการค้าสหรัฐ – จีน และยังต้องรอความคืบหน้าของการเจรจา แนะนำทยอยซื้อเมื่อดัชนีอ่อนตัว เช่น ADVANC,CPALL,GULF,GPSC,PTTGC,IVL,BCP ซึ่งเป็นกลุ่มที่มี ESG เรตติ้งสูง ซึ่งเป็นหมายการลงทุนของกองทุน Thai ESGX กอปรยังได้แรงหนุนจากสหรัฐ - จีนสามารถบรรลุข้อตกลงการค้า
- BCPG* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 8.25 บาท) แนวโน้มปี 68 คาดกำไรปกติจะเติบโตด้วยปริมาณน้ำที่มากเป็นบวกต่อ Hydro power plant ประกอบกับการทยอย COD โครงการพลังงานลม Monsoon (290Mwe ถือหุ้น 48%) ในลาวที่จะเริ่มช่วง 2Q68 เร็วกว่าเดิม ส่วนปัจจัยบวกที่เหลือมาจาก BCPG มีสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าในไทยน้อย ทำให้ได้รับผลกระทบอย่างจำกัดจากการแทรกแซงโดยภาครัฐ ขณะที่โรงไฟฟ้าในสหรัฐได้รับประโยชน์จากการเติบโตของธุรกิจ Data center ส่งให้ราคาขายไฟฟ้า (ค่าความพร้อมจ่าย) ในตลาดเสรีของสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง มองว่าปี 68 ไม่มีตั้งสำรองเพิ่มกรณีลูกหนี้ในลาว ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรปี 68 ที่ 5 พันล้านบาท และปี 69 ที่ 1.8 พันล้านบาท +19%YoY
BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท) เบื้องต้น ประเมินกำไรสุทธิ 1Q68 อยู่ที่ 4,316 ลบ. (+5.96%YoY, -0.37%QoQ) แม้มีปัจจัยกดดันจาก 1.รอมฎอนในช่วง 28ก.พ.-29มี.ค.68 และ 2.ประกันรูปแบบ Co-pay ตั้งแต่ 20 มี.ค.68 แต่น้ำหนักน้อยกว่าการเติบโตของรายได้ผู้ป่วยต่างชาติอื่นๆรวมถึงผู้ป่วยชาวไทยเองทั้งจาก 1.ร.พ.ในต่างจังหวัดที่คาดโมเมนตัมดีต่อเนื่อง 2.ฝุ่น PM 2.5(โรคกลุ่มทางเดินหายใจ) และ 3.การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ปีนี้ที่ 1ม.ค.-29มี.ค.68 มีจำนวนผู้ป่วยสูงขึ้น +148% อยู่ที่ราว 2.64 แสนราย อัตราป่วย 406.04 ต่อประชากรแสนคน ทั้งนี้ ทาง BDMS เองวางเป้าการเติบโตของรายได้ในช่วง 1H68 ราว +7 ถึง 8%YoY
Daily Key Factors
Oil Update(-) WTI มิ.ย. -$1.02 อยู่ที่ $58.07 / บาร์เรล, Brent ก.ค. -$1.03 อยู่ที่ $61.12/บาร์เรล หลังการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐ – อิหร่านอยู่ในทิศทางบวก ขณะที่ EIA รายงานสต็อคน้ำมันดิบสหรัฐสัปดาห์ที่ผ่านมาลดลง 2 ล.บาร์เรล ลดลงมากกว่าคาดที่ 1.7 ล.บาร์เรล
Gold Update(-) Comex Gold มิ.ย.-$30.90 อยู่ที่ $3,391.90 /ออนซ์ หลังสหรัฐ – จีนเตรียมเปิดการเจรจาข้อขัดแย้งทางการค้าในสัปดาห์นี้ ขณะที่ Dollar Index แข็งค่า +0.43% อยู่ที่ 99.665
Fund Flow(+) Fund Flow ต่างชาติในตลาด TIP วานนี้ ซื้อสุทธิ +45.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซื้อหุ้นไทย +138.36 ล.ดอลลาร์สหรัฐ ขายหุ้นอินโด ฯ -105.21 ล.ดอลลาร์สหรัฐ และซื้อหุ้นฟิลิปปินส์ +12.11 ล.ดอลลาร์สหรัฐ
(0) ค่าเงินบาทเช้านีทรงตัวอยู่ที่ 32.83 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(0) ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ลดลงอยู่ที่ 4.268 %
(-) ดัชนี BDI วานนี้ -32 จุด อยู่ที่ 1,374
(0) BitCoinเช้านี้ทรงตัวอยู่ที่ 97,516 ดอลลาร์สหรัฐ
Economic Calendar
ในประเทศ
06 พ.ค. กระทรวงพาณิชย์ แถลงดัชนีเศรษฐกิจการค้า
07 พ.ค. ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)
สัปดาห์ที2 สภาผู้ส่งออก แถลงสถานการณ์การส่งออก
สภาธุรกิจตลาดทุนไทย แถลงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนและ
อัพเดตสถานการณ์ลงทุน
ตลท. แถลงสรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์
ต่างประเทศ
05 พ.ค. US ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการบริการ (เม.ย.)
07 พ.ค. US สินค้าคงคลังน้ำมันดิบ
08 พ.ค. US การแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนของ FOMC สหรัฐ
US การตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย
US จำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก
Theme Strategy
Theme หุ้นเด่น 1H68 เน้น หุ้นในธุรกิจใหม่ที่เป็น Trend ในอนาคต อย่าง Data Center รวมถึงหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรปกติ 4Q67-1Q68 คาดออกมาดี และ หุ้นที่รับความผันผวนได้ดีจากความเสี่ยง Trade War/ธนาคารกลางหลักมีแนวโน้มชะลอการลดดอกเบี้ย
(1) กลุ่มธนาคารที่มี Sentiment บวกจากธนาคารกลางหลักมีแนวโน้มชะลอการลดดอกเบี้ย/มี Yield สูง BBL, KTB, KBANK, TISCO*, TTB*
(2) กลุ่มการอุปโภคบริโภค ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ CPALL, CPAXT*, CRC, NSL*, TNP*, OSP*
(3) กลุ่มโรงพยาบาล BDMS, BH, PR9*, SKR
(4) กลุ่มมีโอกาสเกี่ยวข้องกับการลงทุน Data Center/ธุรกิจ Trend อนาคต ADVANC,INTUCH*,TRUE,GULF*,AMATA
(5) กลุ่มสินค้า IT ที่ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยี(เช่น AI function/ 4G to 5G) SYNEX*, ADVICE*, SIS*
(6) กลุ่มที่มี Sentiment บวกจาก Entertainment Complex BTS*, VGI*, MBK*, BA
**หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ที่ยังไม่อยู่ใน Coverage ของฝ่ายวิจัย
Asset Allocation: Equity 50% Fixed Income 35% Alternative Investment etc. Gold 10% Cash 5%
Today Fundamental Research: -
Monthly Portfolio May 2025: KLINIQ, TASCO*, TFG*, OKJ*, NSL*
Analysts
Apichai Raomanachai
Fundamental and Technical Investment Analysis ID No. 002939
Tel 02-829-6999 Ext 2200
Email : apichai.ra@kfsec.co.th
Nopporn Chaykaew
Fundamental Analysis ID No. 043964
Tel 02-829-6999 Ext 2203
Email : noppoen.ch@kfsec.co.th
Nattawat Poosunthornsri
Fundamental Analysis ID No. 087077
Tel 02-829-6999 Ext 2204
Email : nattawat.po@kfsec.co.th