AT THE OPEN (#ATO)
SET Index พักตัว
กลยุทธ์ Selective Buy

Market Strategy
SET Index คาดพักตามกรอบ 1120-1140 จุด สภาพแวดล้อมวันนี้เป็นลบ จากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่กังวลต่อความอิสระในการทำหน้าที่ของ FED การเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่ถูกเลื่อนกำหนดการออกไป รวมถึงท่าทีของจีนที่พร้อมตอบโต้กับประเทศอื่นๆที่ให้ความร่วมมือกับสหรัฐฯ หุ้นเด่นวันนี้เลือก CPF และยังชอบ WHA

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ วานนี้ปรับลงเฉลี่ย -2.5% แรงกดดันจากคุณทรัมป์กดดันต่อประธาน FED ลดดอกเบี้ยฯ รวมถึงฝ่ายบริหารเผยกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการปลดประธาน FED สถานการณ์ข้างต้นกระทบต่อความกังวลต่อความเป็นอิสระในการดำเนินงานของ FED และกระทบต่อความเชื่อมั่นกับ Dollar Asset ซึ่งนอกจากนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับลง ยังกระทบต่อค่าเงิน Dollar อ่อนค่าทำจุดต่ำสุดในรอบ 3 ปี 98.3 จุด สวนทางค่าเงินบาทมาอยู่ที่ 33 .25 บาท/USD แข็งค่า 3% นับจากวันที่ประกาศภาษีตอบโต้วันที่ 2 เม.ย.

ประเมินทิศทางเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าในภาวะปกติ มักจะเป็นบวกต่อ Fund Flow ต่างชาติเข้าหนุนตลาดหุ้น แต่รอบนี้การไหลเข้ายังจำกัดอยู่ในตลาดตราสารหนี้เท่านั้น สะท้อนจากวันที่ 3- 21 เม.ย. ต่างชาติซื้อสุทธิในตราสารหนี้ 5 หมื่นล้านบาท แต่ยังขายตลาดหุ้น 1.4 หมื่นล้านบาท แต่เราเชื่อว่า หากสถานการณ์เจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-ไทยมีความคืบหน้าในเชิงบวกอาจเห็น Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นได้เช่นกัน สำหรับหุ้นที่ Sentiment บวกจากเงินบาทแข็งค่า กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF กลุ่ม Net Importer COM7 เป็นต้น

สำหรับประเด็นอื่นๆ การเจรจาระหว่างไทย-สหรัฐฯ ในวันที่ 23 เม.ย. ล่าสุดถูกเลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนด ซึ่งต้องรอทางฝั่งสหรัฐฯ กำหนดวันอีกครั้ง ขณะที่วันนี้ติดตามการประชุม ครม. คาดหารือความพร้อมในการหารือสหรัฐฯ และแถลงรายละเอียดเพิ่มเติมหลังจากเลื่อนการเจรจา

Market Summary
SET Index ปรับลง 16 จุดหรือ -1.4% แรงกดดันหลักมาจากกลุ่มพลังงานจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับลง -2% จากการเจรจานิวเคลียระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านมีความคืบหน้าทางบวกและจีนขู่ตอบโต้ประเทศร่วมมือสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบต่อจีนกดดันน้ำมันดิบวานนี้ลดลง -2% และกลุ่มพลังงาน -2% ปิโตรฯ -1.9% อิเล็คทรอนิกส์ -1.8% และยังมีแรง Sell on Fact กลุ่มธนาคารหลังงบ 1Q68 ออกมาและมีความกังวลต่อ NIM -2% ส่วนกลุ่มที่ปรับขึ้นสวนตลาดกลุ่มประกันฯ TLI +1.7% กลุ่ม Defensive ICT ทรงตัว +0.04%

DAILY Stock Pick
CPF
ดีล CPP หนุน upside
ปี 68 กำไร 1Q68 แข็งแกร่ง
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 30.00 บาท
CPF อนุมัติให้ CPF Investment Limited เข้าซื้อเงินลงทุนใน C.P. Pokphand Co., Ltd. หรือ “CPP” จํานวน 6,017,959,308 หุ้น ในมูลค่ารวม 1,100 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก ITOCHU Corporation เป็นผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่ม CPF ใน CPP เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 76.2 เป็นร้อยละ 100 เรามองว่าการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้เป็นปัจจัยบวก และประเมินว่ากำไรหลักสุทธิของ CPF ในปี 2568 มีโอกาสเพิ่มขึ้น 4–9%

CPF ยังคงเป็นหุ้นเด่นของเราสำหรับกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มในไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 โดยเฉพาะงวด 1Q68 คาดกำไรปกติที่ 6.7 พันล้านบาท (+2,608%YoY, +24%QoQ) หนุนจากราคาหมูอยู่ในระดับสูงและต้นทุนอาหารสัตว์ที่อยู่ในระดับต่ำ ณ ราคาปัจจุบันคิดเป็น P/E ปี 2568 ที่ 12 เท่า (-0.4SD ของค่าเฉลี่ย 5 ปี) พร้อมกับอัตราเงิน ปันผลปี 68 ที่ 4%

KEY FACTOR
ตลาดหุ้นสหรัฐฯกลับมาผันผวนจากความไม่แน่นอนการเมืองในประเทศ ประเด็นความขัดแย้งที่ฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ กำลังศึกษาความเป็นไปได้ที่จะปลดประธาน Fed ทั้งนี้ หากเกิดขึ้นจริงจะเป็นการปลดโดยที่ยังไม่หมดวาระ ซึ่งยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คาดว่าจะสร้างความกังวลต่อ 1) การกำหนดนโยบายการเงินในอนาคต 2) การแทรกแซงธนาคารกลาง 3) หากมีการแต่งตั้งประธาน Fed คนใหม่ที่เป็นสายการเมืองและดำเนินนโยบายการเงินไปในเชิงผ่อนคลายเร็วกว่าที่ควร (ไปในทิศทางเดียวกับที่ทรัมป์ต้องการ) อาจสร้างความเสี่ยงเงินเฟ้อกลับมาเร่งตัว
มุมมองตลาดให้น้ำหนักเงินเฟ้อระยะยาว (10 ปี) สูงขึ้นเป็น 2.26% ในขณะที่มองโอกาส Fed ลดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ย 3.75 ครั้ง ในปีนี้

EYES ON
23 เม.ย. : รมว. คลังฯ นำทีมเข้าเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ, S&P Global PMI ภาคการผลิตและบริการ ของสหรัฐฯ, HCOB PMI ภาคการผลิตและบริการ ของ Eurozone

นักกลยุทธ์ : ธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์, ชาญชัย พันทาธนากิจ, ออมทรัพย์ โง้วศิริ