Today’s NEWS FEED

News Feed

อีสท์สปริง อินเวสท์เมนทส์ ปรับตัวรับมือผลกระทบจากภาษีศุลกากรสหรัฐฯ

358

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(4 เมษายน 2568)----------เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา โดยการประกาศขึ้นภาษีศุลกากรครั้งใหม่ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ส่งผลให้อัตราภาษีศุลกากรที่แท้จริง (effective tariff rate) ของสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากระดับเพียง 2.2% ณ สิ้นปี 2024 มาอยู่ที่เกือบ 20% ภายในระยะเวลาไม่ถึง 4 เดือน


นอกจากนี้ สถานการณ์ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง โดยหากสินค้าที่อยู่ระหว่างการสอบสวนตามมาตรา 232 ถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม (ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง) อัตราภาษีที่แท้จริงของสหรัฐฯ อาจไต่ระดับขึ้นไปถึง 25%-27% ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าช่วงที่มีการบังคับใช้กฎหมาย Smoot-Hawley Tariff Act ในปี 1930 ซึ่งนับปัจจัยซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ หรือที่รู้จักกันในชื่อ The Great Depression
การขึ้นภาษีศุลกากรในลักษณะนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯเองเช่นกัน เนื่องจากภาษีดังกล่าวเปรียบเสมือนภาษีที่เก็บเพิ่มจากการบริโภคและการลงทุน ซึ่งอดีตชี้ให้เห็นว่ามาตรการเช่นนี้ มักนำไปสู่การสูญเสียทางสวัสดิการในวงกว้าง จากการที่ทรัพยากรถูกใช้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ


หากอัตราภาษีใหม่นี้ยังคงอยู่ คาดว่าจะฉุดรั้งการเติบโตของ GDP สหรัฐฯ ในปีนี้ลงอย่างมีนัยสำคัญ จากคาดการณ์เดิมที่ 2.5% จะเหลือเพียงประมาณ 0.6% ถึง 0.8% ขณะที่ผลกระทบนี้ยังถูกซ้ำเติมด้วยปัจจัยลบอื่นๆ ทั้งมาตรการรัดเข็มขัดทางการคลังที่ดำเนินอยู่ และการจำกัดการเข้าเมืองอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ การที่คู่ค้าสำคัญอย่างจีน สหภาพยุโรป และแคนาดา มีแนวโน้มสูงที่จะใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้า ก็จะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของสหรัฐฯ อีกทางหนึ่งเช่นกัน


ปัจจัยลบที่ถาโถมเข้ามานี้ได้เพิ่มความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) อย่างมีนัยสำคัญ การประเมินความเสี่ยงในตลาดพยากรณ์ (ดังแสดงในรูปที่ 1) สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ โดยความน่าจะเป็นที่จะเกิดภาวะถดถอยในอีก 12 เดือนข้างหน้าได้พุ่งขึ้นจากระดับประมาณ 20-25% ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ไปสู่ระดับเกือบ 50% ณ ต้นเดือนเมษายน ขณะที่เราประเมินว่า โอกาสที่สหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในอีก 12 เดือนข้างหน้าขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 60%

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในสหรัฐฯ แต่ยังแผ่ขยายไปยังเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย จากรูปที่ 2 แสดงให้เห็นถึงการปรับขึ้นอัตราภาษีที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ โดยหลายประเทศในเอเชีย เช่น จีน เวียดนาม เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอินเดีย เผชิญกับการปรับขึ้นอัตราภาษีในระดับที่สูงอย่างมีนัยสำคัญ อัตราภาษีที่สูงขึ้นนี้จะส่งผลโดยตรงต่อการลดลงของความต้องการจากสหรัฐฯต่อสินค้าส่งออกของเอเชีย

นอกจากผลกระทบโดยตรงแล้ว เศรษฐกิจเอเชียยังเผชิญแรงกดดันจากผลกระทบทางอ้อม จากภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยุโรป และประเทศเศรษฐกิจหลักอื่นๆ ที่เป็นผลจากสงครามการค้า ซึ่งก็จะยิ่งทำให้อุปสงค์ต่อสินค้าส่งออกของเอเชียลดลงไปอีก ขณะที่ผลกระทบของแต่ละประเทศจะไม่เท่าเทียมกัน เนื่องจากระดับการพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ที่แตกต่างกัน ดังที่แสดงในรูปที่ 3 ซึ่งชี้ให้เห็นว่าประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสุดคือ อย่างเวียดนาม, ไทยและมาเลเซีย ขณะที่ประเทศอย่าง อินเดีย และอินโดนิเซียจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค

ยิ่งไปกว่านั้น การที่สหรัฐฯ ไม่ได้ใช้มาตรการภาษีตอบโต้ในระดับที่รุนแรงเท่ากันกับประเทศในละตินอเมริกาและแอฟริกา (ซึ่งส่วนใหญ่มีอัตราภาษีที่แท้จริงเพียง 10% หรือต่ำกว่า) อาจสร้างแรงจูงใจให้บริษัทต่างๆ พิจารณาย้ายฐานการผลิตออกจากเอเชียไปยังภูมิภาคเหล่านี้ เพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนภาษีที่สูงขึ้น


ในด้านผลกระทบต่อเงินเฟ้อและการดำเนินนโยบายการเงิน คาดว่าผลกระทบที่เป็นรูปธรรมจากการขึ้นภาษีที่จะมีต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เช่น ยอดค้าปลีก การจ้างงาน และอัตราเงินเฟ้อ น่าจะใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะปรากฏให้เห็น โดยผลกระทบอาจเริ่มชัดเจนขึ้นในข้อมูลของเดือนพฤษภาคมที่จะประกาศในเดือนมิถุนายน ทำให้ในระหว่างนี้ ตลาดมีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ดัชนี ISM และตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก


สำหรับธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) แม้อาจแสดงความกังวลเกี่ยวกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ แต่เราคาดว่าเฟดน่าจะให้ความสำคัญกับเสถียรภาพของตลาดแรงงานมากกว่า โดยมีแนวโน้มที่จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายหากอัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้นถึงระดับ 4.5% หรือมากกว่านั้นอย่างต่อเนื่อง และตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกทะลุระดับ 350,000 ราย โดยไม่จำเป็นต้องรอให้อัตราเงินเฟ้อปรับลดลงสู่เป้าหมาย


สำหรับแนวโน้มการลงทุนในระยะถัดไป ความผันผวนที่เพิ่มสูงขึ้นจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษี อาจเปิดโอกาสสำหรับนักลงทุนเชิงรุก (active investors) ที่สามารถปรับตัวและแสวงหาผลตอบแทนได้ ปัจจัยหนึ่งที่อาจช่วยบรรเทาผลกระทบเชิงลบได้คือ แนวโน้มการปรับลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งหากมีปรับตัวลดลงมากพอ อาจช่วยดึงอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้ต่ำลง และกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ได้ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงยังคงมีอยู่จากการขึ้นภาษีสินค้ากลุ่มไม้และวัสดุก่อสร้างอื่นๆ ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนการสร้างบ้านสูงขึ้น และจะหักล้างประโยชน์ที่ได้จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ความสามารถในการดำเนินนโยบายภายในประเทศเพื่อชดเชยผลกระทบเชิงลบจะมีความสำคัญอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น จีน ซึ่งแม้มาตรการกระตุ้นทางการคลังที่ประกาศไปแล้วอาจไม่เพียงพอ แต่เราคาดว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายเพิ่มเติมในแนวทาง "ทำทุกวิถีทาง" (whatever it takes) เพื่อพยุงการเติบโตให้อยู่เหนือระดับ 4.5% โดยมุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศเป็นหลัก


ในขณะที่อินเดีย ซึ่งมีการพึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่ต่ำ (เพียง 2.2% ของ GDP) และมีอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงต่ำกว่าเป้าหมายของธนาคารกลาง ทำให้มีช่องว่างในการดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลาย เช่น การลดอัตราดอกเบี้ย และการผ่อนคลายข้อจำกัดสินเชื่อภาคครัวเรือน นอกจากนี้ รัฐบาลอินเดียยังส่งสัญญาณอีกว่า พร้อมที่จะเจรจาลดอัตราภาษีของตนเองเพื่อแลกกับข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ


โดยสรุป การปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลก เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะถดถอยในสหรัฐฯ และสร้างแรงกดดันอย่างหนักต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในเอเชีย ขณะที่แนวโน้มเงินเฟ้อและการดำเนินนโยบายการเงินยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ส่งผลให้ภาพรวมการลงทุนจะต้องขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับมือ การเจรจาต่อรอง และนโยบายภายในของแต่ละประเทศ ท่ามกลางความผันผวนที่เพิ่มสูงขึ้น


ในช่วงสถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอน แนะนำกระจายการลงทุนไปยังกลุ่ม Defensive เพื่อลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน เช่น ES-HEALTHCARE ,ES-GINFRA ขณะที่ในฝั่งของตราสารหนี้ยังเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยกระจายการลงทุนเช่นกัน อย่างไรก็ตามหลัง bond yield ปรับตัวลงมาค่อนข้างเร็ว เราจึงแนะนำกองทุนที่มีกลยุทธ์ยืดหยุ่นและมี Credit Rating สูงอย่าง ES-GINCOME และ ES-ALPHABONDS รวมถึงแนะนำกระจายการลงทุนในทองคำที่อาจได้รับประโยชน์จากความผันผวนที่เกิดขึ้นอย่าง ES-GOLD

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้