Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี : KSS Daily Strategy

277

 

 


"Electricity Cost Savings Play"

 

KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "Sideways/Up" ต้าน 1177/1185จุด รับ 1161/1155จุด ประเด็นสำคัญวันนี้ 1.) ตลาดรอภาษีเท่าเทียม (Reciprocal Tax) เวลาไทยคืนนี้ แม้ไทยอยู่ในกลุ่มเสี่ยง แต่ระดับภาษี (รวม VAT) ที่ > สหรัฐฯ ใกล้ประเทศอาเซียนอื่น แต่ความเสี่ยงน่าจะสะท้อนในตลาดและหุ้นกลุ่มเสี่ยง (กลุ่มเกษตร, อาหาร, ชิ้นส่วนและยานยนต์) มากแล้ว อิง YTD ปรับลง -16.6% และ เฉลี่ย -22.3% ขณะที่น่าจะเป็นมาตรการกีดกันชุดท้ายๆแล้ว ทำให้ความผันผวนคาดอยู่ในช่วงปลาย 2.) PMI ภาคผลิตสหรัฐฯ (ISM) ต่ำกว่าคาด คาดหนุนเม็ดเงินลงทุนยังไหลสู่ประเทศที่ยัง Laggard โดยฝั่ง SET วานนี้ต่างชาติซื้อหุ้น 1.45 พันล้านบาท สูงสุดใน 1 เดือน 3.) ภายใน รัฐบาลเริ่มเดินหน้าแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอีกด้าน คือ การลดค่าไฟฟ้า โดยไม่ใช้เงินอุดหนุน จะบวกต่อต้นทุนผู้ประกอบการ อาทิ ค้าปลีก สื่อสาร ภาคผลิต และศักยภาพดึงเม็ดเงินลงทุนธุรกิจใหม่ๆจากต่างประเทศระยะกลาง และ 4.) ความคืบหน้า New S Curve ฝั่งภาคบริการการนำร่าง พ.ร.บ. สถานบันเทิงครบวงจร 3 เม.ย. คาด SET วันนี้ Sideways/Up หุ้นนำ คือ หุ้นที่ Deep Value/Upcycle + ได้ประโยชน์ค่าไฟฟ้า(ค้าปลีก สื่อสาร ภาคผลิต) ผสาน กลุ่มที่ได้ประโยชน์ New S Curve ภาคบริการวันนี้แนะนำ BJC, CPALL, PTT

 

 

 

 

 

 

Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1177/1185 จุด รับ 1161/1155 จุด

What happened around the world?

(*)US Stocks :ตลาดหุ้นสหรัฐพลิกแกว่งตัวรอรายละเอียดภาษีเท่าเทียม Reciprocal tariff วันที่ 2 เม.ย. Dow jones -0.03%, ดัชนี Nasdaq +0.87%d-d, S&P500 +0.38% โดยดัชนี S&P 500 Sector ที่ปรับขึ้นเกือบทุกกลุ่มมีเพียง Healthcare, Financials ที่ปรับลง โดยกลุ่มที่ปรับขึ้นโดดเด่นหลักๆคือ Consumer discretionary , ICT, IT, Industrials, Energy, Material ฯลฯ หุ้นรายตัวที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ กลุ่ม Tech ฟื้นในทางเดียวกัน Tesla 3.6% Microsoft +1.8% NVIDIA +1.62%, Amazon +0.97% กลุ่มที่อิง Crypto Currency อาทิ Microstrategy +6.1% หนุนจากราคาเหรียญ bitcoin ปรับขึ้นแตะเหนือ 8.5 หมื่น $

(-)US Econ : ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาผสมผสาน แต่ส่วนใหญ่ออกไปทางอ่อนแอ หนุนการลดดอกเบี้ยของ Fed 1.) GDP : Fed Atlanta คาดการณ์ GDP สหรัฐงวด 1Q25 -3.7%q-q จาก -2.8% มองผลจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค Michigan ที่ออกมาปลายสัปดาห์ ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค.2022 2)ฝั่งการลงทุน คือ รายงาน.การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือน ก.พ. +2.9%y-y, 0.7%m-m มากกว่าที่ตลาดคาด 0.3%m-m prev. 0.5%m-m ในเดือนม.ค. แรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองกปรับตัวลง 3..) PMI ภาคผลิต (ISM) มี.ค. ลดลงอยู่ที่ 49.0 จุด ต่ำตลาดคาด 49.8 จุด prev. 50.3 จุด สอดคล้องกับสถาบัน S&P เดือนเดียวกันปรับลงที่ 50.2 จุด prev 52.7 จุด 4.)ตัวเลขแรงงานการเปิดรับตำแหน่งงานสหรัฐ (Job Opening) เดือน ก.พ. พลิกลดลงมาที่ 7.56 ล้านราย แย่กว่าตลาดคาด 7.69 ล้านราย Prev. 7.76 ล้านราย อย่างไรก็ตามตัวเลขดังกล่าวเป็น Lagging indicator เนื่องจากเป็นตัวเลขเดือน ก.พ.และยังไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์ ซึ่งมีการลดการจ้างงานในหน่วยงานของรัฐ ประเมินมีแนวโน้มตัวเลขเดือน มี.ค.เป็นต้นไป มีโอกาสอ่อนตัวลงต่อ

(-)S. Korea Politic: ศาลรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้เผยว่า ศาลจะมีคำพิพากษาคดีถอดถอนประธานาธิบดียุน ซอกยอล ในวันศุกร์นี้ (4 เม.ย.) หากศาลมีคำพิพากษาถอดถอน ยุนจะถูกปลดจากตำแหน่งจะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ภายใน 60 วัน มองเป็นจิตวิทยาลบต่อตลาดหุ้นเกาหลีใต้

(-) S. Korea Export ยอดส่งออกของเกาหลีใต้เดือนมี.ค. 3.1%y-y สู่ระดับ 5.83 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการเพิ่มขึ้นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน แรงหนุนจากยอดส่งออก Semiconductor 11.9%y-y สู่ระดับ 1.31 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยได้รับอานิสงส์จาก Demand ที่แข็งแกร่ง ยอดส่งออกของเกาหลีใต้ที่ขยายตัว โดยเฉพาะหมวด Semiconductor สะท้อนภาพมุมมองเชิงบวกคาดจะเห็นการเร่งขึ้นของยอดการส่งออกกลุ่มชิ้นส่วน มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มชิ้นส่วน เน้น Trading

(+) China PMI : 1. จีนรายงาน Caixin PMI ภาคการผลิต เดือนมี.ค. ปรับตัวขึ้นแตะ 51.2 จุด (สูงที่สุดในรอบ 4 เดือน) ดีกว่าคาด 51.1 จุด โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งขึ้น และคำสั่งซื้อเพื่อการส่งออกที่ปรับตัวสูงขึ้น 2. ระทรวงการคลังจีนเตรียมอัดฉีดเงิน 6.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2 ล้านล้านบาท) ให้กับ 4 ธนาคารรัฐที่ใหญ่ที่สุด ของประเทศ ผ่านการเสนอขายหุ้น โดยรวมบวกต่อหุ้น China play

(*) To Monitors : ฝั่งสหรัฐ 3 เม.ย. PMI ภาคบริการ (ISM) มี.ค. ตลาดคาด 53.2 จุด prev. 53.5 จุด 4 เม.ย. ยอดจ้างงานนอกภาคเกษตร มี.ค. คาด 1.35 แสนราย prev. 1.51 แสนราย อัตราการว่างงานมี.ค. ทรงตัวที่ 4.1% ค่าจ้างรายชั่วโมง คาด 0.3%m-m, 3.9%y-y และวันศุกร์ที่ 4 เม.ย. เวลา 22.25 น.ตามเวลาไทย การกล่าวสุนทรพจน์ของ ประธาน Fed Powell ในการประชุมประจำปีของ Society for Advancing Business Editing and Writing (SABEW) ที่ รัฐเวอร์จิเนีย โดยเรื่องหลักคือ แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฝั่งจีน 3 เม.ย. Caixin PMI ภาคบริการคาด 51.5 จุด prev. 51.4 2 เม.ย. การประกาศใช้ภาษีเท่าเทียมของคุณ Trump คาดอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยง (ไทยเก็บภาษีสูงกว่าสหรัฐฯเก็บไทย) อาทิ ยานยนต์+ชิ้นส่วนยานยนต์ ,สินค้าเกษตร, ชิ้นส่วนฯ ซึ่งระยะสั้นกรณีดังกล่าวอาจสร้างแรงกดดันก่อนที่จะมีความชัดเจนเพิ่มขึ้น

(*) US Bond Yields & Dollar : US Bond Yields อายุ 2 ปี แนวโน้ใหลักยังเป็นขาลง ล่าสุดแกว่งตัวลง - 1 bps อยู่ที่ 3.87% เช่นเดียวกับอายุ 10 ปี -3 bps 4.19% หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางเดียวกัน) ยังคงมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบีเยขาลง อาทิ กลุ่มการเงิน MTC กลุ่มโรงไฟฟ้า GPSC กลุ่มหนี้สูง CPAXT CPALL ส่วน Dollar Index แกว่งตัวที่ 103.9 จุด

(*/--)Oil : ราคาน้ำมันดิบชะลอการขึ้นอิง น้ำมันดิบ น้ำมันดิบ Brent -0.37%d-d ปิดที่ USD 74.49/barrel น้ำมันดิบ West Texas -0.39%d-d ปิดที่ USD 71.2/barrel รอรายละเอียด ภาษีเท่าเทียมของคุณ Trump 2 เม.ย. และประชุม OPEC+ 5 เม.ย. คาดเพิ่มกำลังการผลิต

 

What happened in Thailand?

(*/+) SET: SET Index ฟื้นตัว +9.93 จุด (+0.86%) ปิดที่ระดับ 1168 จุด มูลค่าการซื้อขายเบาบาง 2.63 หมื่นล้านบาท ดัชนีปรับขึ้นสอดคล้องกับตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในเอเซียที่ปรับขึ้นในทางเดียวกัน ฯ โดยหุ้นกลุ่มที่หนุนดัชนีและแข็งกว่าตลาดคือ กลุ่ม ICT (ADVANC, TRUE) เก็งภาพบวกร่างรับฟังความเห็นประมูลคลื่น มีแนวโน้มเป็นบวก i.) ราคาตั้งต้นคลื่นส่วนใหญ่ที่ลดลง ii.) ปริมาณคลื่นประมูลยังมีจำนวนมาก > ความต้องการ iii.) กรอบเวลาประมูลเลื่อนไม่เกิน 2 สัปดาห์ กลุ่มพลังงาน(PTTEP) ราคาน้ำมันดิบทำจุดสูงสุดในรอบ 5 สัปดาห์ ธนาคาร (KBANK SCB) ผลกระทบแผ่นดินไหวจำกัด ขณะที่ใกล้เข้าสู่ช่วงขึ้นเครื่องหมาย XD เงินปันผล ส่วนกลุ่มที่กดดัชนีคือ กลุ่ม Packaging (SCGP) ขึ้น XD เงินปันผล กลุ่มวัสดุก่อสร้าง (SCC) และ กลุ่มค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง (DOHOME GLOBAL) ประเมินแรงขายทำกำไรหลังถูกเก็งกำไรในฐานะหุ้นได้ประโยชน์แผ่นดินไหว

(*/+) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติเป็นภาพไหลเข้า ซื้อหุ้น +42.5 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +36.9ล้านเหรียญฯ Net Long TFEX ที่ 20,672 สัญญา เงินบาทอ่อนค่าสู่ 34.2 +/- บาท

(*/+) Telcos: การรับฟังความเห็นสาธารณะประมูลคลื่นกลุ่มสื่อสารรอบที่ 2 มีประเด็นน่าสนใจ ดังนี้ 1.) มีความเห็นต้องการให้ราคาประมูลคลื่นเหมาะสม เพราะถ้าประมูลแพงท้ายที่สุดจะกระทบค่าบริการ 2.) การประมูลคลื่นไม่ควรจัดแยก เพราะมีต้นทุนสูง 3.) คลื่นความถี่ 3500 MHz ยังรอความชัดเจน หลังผู้ประกอบการบันเทิงไม่เห็นด้วย โดยรวมเราคาดการประมูลจะสร้าง Upside กำไรให้ผู้ประกอบการทั้ง 2 ราย เชิงกลยุทธ์ เราแนะนำทั้ง ADVANC และ TRUE

(*/+) Government Measure & Sign of Fundflows: นายกรัฐมนตรีสั่งการในที่ประชุม ครม. วานนี้ ทุกกระทรวงให้ไปดูในส่วนที่รับผิดช่วยเหลือเหตุการณ์แผ่นดินไหว กระทรวงการคลังนั้น อยู่ในการดูแลเยียวยา กระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจ นำโดย

i.) สถาบันการเงินของรัฐทั้ง 8 แห่ง ได้ออกมาตรการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบแล้ว

ii.) กรมธนารักษ์ เร็วๆ นี้จะออกมาตรการยกเว้นค่าเช่าที่ราชพัสดุ สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว

iii.) จะมีมาตรการภาคอสังหาริมทรัพย์ออกมา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน เราประเมินอาจจะเห็นในส่วนมาตรการการต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมการโอนและจดจำนอง 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาทเป็นแรงหนุนเพิ่มเติมจากมาตรการ LTV นอกจากนี้ รมว. คลังยังมีความเห็นว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่น่าทำให้ความต้องการซื้อลดลง แต่อาจจะเปลี่ยนจากคอนโดไปสู่แนวราบ และการปรับตัวผู้ประกอบการที่ต้องเน้นคุณภาพมากขึ้น เราประเมินบวกต่อหุ้นอสังหาฯ ที่โครงการต่างๆ ได้รับความเสียหายน้อย อาทิ SIRI, LH, SC นอกจากนี้

iv.) โอกาสที่ กนง. มีท่าที Slightly Dovish ในรอบประชุม 30 เม.ย. โดยฝั่งตลาดพันธบัตรเก็งภาพโอกาสใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายต่อเนื่อง ต่างชาติเร่งซื้อพันธบัตรอีก +1.26 พันล้านบาท ถ่วง TH Bond Yield ลงมาอยู่ในระดับ 1.97% ต่ำสุดในรอบ 39 เดือน ซึ่งอีกด้านถือเป็นจิตวิทยาบวกต่อ SET ที่เชิงเปรียบเทียบ ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น (Earning Yield) จะถ่างกว้างขึ้น

(*/+) Entertainment Complex: ประธานสภาฯ บรรจุร่างพ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร เข้าสภา 3 เม.ย.นี้ โดยกระทรวงการคลังคาดกฎหมายจะแล้วเสร็จใน 1ปี และเริ่มลงทุนได้ภายใน 3 ปีประเมินกรอบเวลาที่มีความคืบหน้าเร็วดังกล่าว เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นในธีมดังกล่าว อาทิ BTS, VGI, BA, STECON, MBK, BJC ธนาคาร BBL, KBANK, SCB หุ้นท่องเที่ยว MINT, ERW

(*) TH Tourism: นักท่องเที่ยวต่างชาติ 24-30 มี.ค. 25 อยู่ที่ 5.84 แสนคน -0.77%w-w ทำให้ 3M25 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยราว 9.54 ล้านคน ขณะที่ในระยะสั้นนักท่องเที่ยวยังมีความเสี่ยงกระทบจากสถานการณ์แผ่นดินไหว ทำให้กรอบนักท่องเที่ยว Krungsri Research ประเมินทั้งปีที่ 38 ล้านคน เริ่มมีความเสี่ยงต่ำกว่าเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม เราประเมินความเสี่ยงข้างต้นสะท้อนหุ้นท่องเที่ยว การบินไปแล้ว เชิงกลยุทธ์ แนะนำทยอยสะสมหุ้นแข็งแกร่งในกลุ่ม MINT AOT สำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว และ ERW รอลุ้นปัจจัยเร่งระยะสั้นจากการออกมาตรการฟื้นฟู กระตุ้นท่องเที่ยวจากผลกระทบแผ่นดินไหวของรัฐฯ โดยความคืบหน้าเริ่มเห็นแผนการเดินทางไปโรดโชว์ในประเทศจีนที่นักท่องเที่ยวลดลงระยะหลัง

(*/+) Cabinet: มติ ครม. วานนี้

1.) เห็นชอบลดค่าไฟฟ้าเพื่อลดค่าครองชีพของประชาชน โดยให้ลดค่าไฟฟ้างวดเดือน พ.ค. - มิ.ย. 25 เหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย โดยไม่ต้องใช้งบประมาณของรัฐบาลในการอุดหนุน โดยแนวทางดังนี้

i.) ปรับ Adder/ FIT ของโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน

ii.) ปรับค่า Availability (AP) และ Energy Payment (EP) ของโรงไฟฟ้า IPP

เราประเมินเป็นลบต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า จากแรงกดดันความเสี่ยงกฎระเบียบที่กลับมา อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวจะเป็นบวกต่อกลุ่มที่มีต้นทุนค่าไฟฟ้าสูงๆ อาทิ ค้าปลีก CPALL CPAXT BJC HMPRO ซึ่งจะได้ผลบวกกำลังซื้ออีกด้าน กลุ่มสื่อสาร ADVANC TRUE กลุ่มอิงภาคผลิต SCC

2.) รับทราบแนวทางดำเนินการโครงการ "บ้านเพื่อคนไทย" ตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอใช้พื้นที่ รฟท. 4 โครงการ คือ พื้นที่โครงการ กม.11 ระยะ 1.1 กรุงเทพมหานคร, พื้นที่รอบสถานีรถไฟธนบุรี (ศิริราช) กรุงเทพมหานคร, พื้นที่รอบสถานีรถไฟจังหวัดเชียงใหม่ และ พื้นที่รอบสถานีรถไฟเชียงราก จังหวัดปทุมธานี ประเมินจิตวิทยาบวกต่อกลุ่มรับเหมา อาทิ STECON PYLON แต่เป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นอสังหาฯ ที่เน้นลูกค้าระดับกลาง อาทิ PSH LPN

(*) To monitor: ปัจจัยภายในสัปดาห์นี้ ติดตาม

2 เม.ย. ติดตามการประกาศใช้ภาษีเท่าเทียมของคุณ Trump คาดอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยง (ไทยเก็บภาษีสูงกว่าสหรัฐฯเก็บไทย) อาทิ ยานยนต์+ชิ้นส่วนยานยนต์ สินค้าเกษตร ชิ้นส่วนฯ ซึ่งระยะสั้นกรณีดังกล่าวอาจสร้างแรงกดดันก่อนที่จะมีความชัดเจนเพิ่มขึ้น (ไทยทราบความชัดเจน 02:00 วันที่ 3 เม.ย.)

3 เม.ย. GULF (หลังควบรวม INTUCH) กลับมาซื้อขายในตลาดวันแรก คาดหุ้นที่หายไปจากดัชนี SET50/100 จากการควบรวมดังกล่าว 1 บริษัท หุ้นที่จะเข้ามาแทน SET50/100 คือ VGI และ THCOM ตามลำดับ

4 เม.ย. เงินเฟ้อ CPI มี.ค. 25 ไม่มีคาด vs prev. +1.08%y-y , เงินเฟ้อพื้นฐาน CPI ไม่มีคาด vs prev. +0.99%y-y

 

Daily Strategy : BJC, CPALL, PTT

ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "Sideways/Up" ฝั่งต่างประเทศยังต้องรอนโยบายภาษีเท่าเทียมสหรัฐฯ แต่สัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐฯที่เริ่มอ่อนลงต่อเนื่อง เราคาดเม็ดเงินยังหมุนออกไปตลาดหุ้นอื่นที่ Laggard + มีปัจจัยเร่ง ภายในเราประเมินนโยบายรัฐฯ มีแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจทางบวกมากขึ้น ทั้งแนวทางลดค่าไฟฟ้า 3.99 บาท (เดิม 4.15 บาท) โดยไม่ใช้เงินอุดหนุน ประเมินบวกทั้งระยะสั้น + ระยะกลาง-ยาวต่อประเทศ ขณะที่การเดินหน้าร่าง พ.ร.บ. Entertainment Complex บรรจุเข้าพิจารณาสภา 3 เม.ย. ประเมินหุ้นนำ คือ หุ้นที่ Deep Value/Upcycle + ได้ประโยชน์ค่าไฟฟ้า(ค้าปลีก สื่อสาร ภาคผลิต) ผสาน กลุ่มที่ได้ประโยชน์ New S Curve ภาคบริการ

 

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, BJC, HMPRO, ADVANC, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (BTS, VGI, BJC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงต่อในปี 2025 (BA, AAV, GULF, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
10 หุ้น Deep Value ที่มีความมั่นคงระยะ 2-3ปีข้างหน้า และอยู่ในโซนลงทุนกลาง-ยาว (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO, KBANK, BBL, AOT)

• APR25F Stock Picks: AOT, BA, BJC, HMPRO, MTC, PTT, SCC

• 2Q25F Stock Picks : BDMS, CPALL, MINT, KBANK, MTC, LH, ADVANC Mid-Small Cap Play : BCH, BTS, JMT, ERW, AMATA

 

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

 

 

Strategy Update: Myanmar Earthquake Impact

วันศุกร์ที่ 31 มี.ค. 25 เวลา 13.20น. เกิดเหตุแผ่นดินไหวที่ขนาด 8.2 ริกเตอร์ที่ประเทศเมียนมาร์ สร้างความเสียหายรุนแรงในเมียนมาร์ และเกิดแรงสั่นสะเทือนมาที่ประเทศไทยแบบไม่คาดคิด ซึ่งเป็นแผ่นดินไหวในเขตเศรษฐกิจ กทม ครั้งที่รุนแรงที่สุด ส่งผลอาคารสำนักงานใหม่ของ สตง. ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างถล่ม และความเสียหายบางส่วนต่ออาคารสูง ในเขต กทม.

เราประเมินผลกระทบต่อ SET จำกัด เนื่องจากผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจและหุ้นในตลาดค่อนข้างจำกัด โดยกลุ่มอสังหาฯระยะสั้น จะมีความกังวลต่อโครงการแนวดิ่ง โดยเฉพาะกลุ่มที่มีดส่วนยอดขายสินค้าดังกล่าวสูง อิงปี 2024 ANAN LPN ORI สัดส่วน 84%, 82% และ 76% ของยอดโอนรวมปี 2024 และในส่วนที่มีความเสียหายออกสื่อมากกว่าบริษัทอื่นๆ AP และ ORI แต่สัดส่วนอสังหาฯในไทย คิดเป็นเพียง 2.5% ของ GDP ปี 2024 ขณะที่กลุ่มประกันมูลค่าความเสียหายราว 2.2-2.5 พันล้านบาท คิดเป็น Market EPS เพียง -0.05 บาทต่อหุ้น โดยยังไม่รวมถึงผลกระทบจำกัดขึ้นหากมีการประกันภัยต่อ ส่วนหุ้นที่มีธุรกิจในเมียนมาร์ เป็นหุ้นขนาดกลางเครื่องดื่ม และอาหารเป็นส่วนใหญ่ (MEGA 30%, OSP 10% CBG 7% และ ICHI 7%ของยอดขาย) และสุดท้ายกลุ่มท่องเที่ยว บริษัทส่วนใหญ่ แจ้งว่ายังไม่มีการยกเลิก Booking แบบมีนัยฯ และโรงแรมยังสามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดภาพ SET ผันผวนระยะสั้นก่อนฟื้นตัวได้เร็วเหมือนในเหตุการณ์ภัยพิบัติในอดีต

กลยุทธ์หลัก สำหรับนักลงทุนระยะสั้น-กลาง เน้นหุ้นกลุ่มที่เม็ดเงินมีโอกาสสลับเข้าลงทุนระยะสั้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ Deep Value ที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นฟูโครงสร้างและที่อยู่อาศัยฯ คือ SCC, HMPRO, GLOBAL และกลุ่ม Deep Value หมวดสินค้าจำเป็น CPALL, CPAXT, BJC รวมถึงกลุ่มที่อุตสาหกรรมเป็น Upcycle อาทิ ADVANC, TRUE

ส่วนการเก็งกำไรเน้นไปที่กลุ่มวัสดุก่อสร้างขนาดเล็ก-กลาง SCGD, DCC กลุ่มเสาเข็ม PYLON และเก็งกำไรกลุ่มที่ปรึกษางานอาคาร/โครงสร้าง STI, TEAMG, PPS

Strategy Update :SET 50/100 interim Rebalance

การเปลี่ยนแปลง SET50/SET100 ระหว่างกาล Update สืบเนื่องจากกรณี GULF, INTUCH จะมีการควบรวมเป็นบริษัทใหม่ คือ GULF Development ซึ่งจะเข้าตลาดวันที่ 3 เม.ย. ทำให้มีการนำหุ้นเข้า SET50/SET100 ใหม่ในระหว่างกาล ดัชนีละ 1บริษัท KSS ได้ประเมินหุ้นที่มีโอกาสเข้า SET50 และ SET100 ใหม่ผลจากประเด็นนี้

SET50 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่ระหว่างกาล Rebalance สิ้นวันที่ 2 เมย คือ VGI (โอกาสเข้า 95%)

SET100 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่จะแข่งกันระหว่าง MOSHI (โอกาส 50%), THCOM (โอกาส 30%), KAMART (โอกาส 20%)

กลยุทธ์ : เราคาดหุ้นที่ถูกนำเข้า SET50/100 จะถูกเพิ่มน้ำหนักจาก Passive Fund เป็นบวกต่อราคาหุ้น โดยในส่วน SET 50 เราแนะนำเก็งกำไร VGI และ BTS บ.แม่ (ถือหุ้น 57.1%) ส่วน SET100 แนะนำเก็งกำไร MOSHI

Strategy Update : ThaiESG Plays

กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการจัดตั้ง กองทุน ThaiESG กองที่ 2 คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในเดือนมีนาคม 2568 โดยมีวงเงินประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับกองทุน LTF ที่ครบอายุไปแล้ว ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนและสิทธิประโยชน์ยังอยู่ระหว่างการหารือ ซึ่งอาจแตกต่างจากกองทุน ThaiESG เดิม แต่ยังคงเน้นลงทุนในประเทศ โดยเราประเมินว่าการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากจะช่วยชะลอแรงขายจาก LTF เดิมและเสริมสภาพคล่องใหม่เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนที่ถือ LTF ระยะยาว ซึ่งมีต้นทุนเฉลี่ยที่ 1,620-1,640 จุด

เรามองปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามซึ่งอาจส่งผลบวกต่อตลาดในระยะกลางถึงยาว ได้แก่ การขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากมีการเพิ่มเพดานลดหย่อนของ ThaiESG จาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท เท่ากับ LTF เดิม จะช่วยกระตุ้นการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นในตลาดมากขึ้น อีกทั้งยังมีการหารือเรื่อง การลงทุนในหุ้นไทย 100% และ การขยายขอบเขตของหุ้น ESG เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนและกระจายความเสี่ยง KSS มองว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการขาดเงินทุนระยะยาวจาก LTF ที่หมดสิทธิประโยชน์ หากภาครัฐมีมาตรการชัดเจนเกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศ จะช่วยให้ SET ค่อย ๆ ฟื้นตัว

KSS ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการสะสมหุ้น เนื่องจาก SET ยังอยู่ใน Deep Value Zone โดยมีค่า PER ปี 2568 อยู่ที่ 13.5 เท่า และหากไม่นับรวมหุ้น DELTA ค่า PER จะอยู่ที่เพียง 11.5 เท่า ปัจจุบันมีหุ้นที่เข้าข่ายการลงทุนระยะยาว ได้แก่ 300 บริษัทที่มี PER ต่ำกว่า 12 เท่า, 435 บริษัทที่ให้ผลตอบแทนปันผลสูงกว่า 3%, 548 บริษัทที่มี PBV ต่ำกว่า 1 เท่า และ 145 บริษัทที่มีคุณสมบัติครบทั้งสามข้อ KSS แนะนำ 7 หุ้น Deep Value ที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว ได้แก่ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP และ HMPRO พร้อมกันนี้ยังแนะนำอีก 5 บริษัท ที่เข้าเงื่อนไข PER < 12X, PBV < 1X และ Dividend Yield > 3% ในกลุ่มธนาคาร KBANK, KTB, BBL ผสาน อสังหาริมทรัพย์ ที่เริ่มมีปัจจัยหนุนเชิงบวก เช่น AP และ SIRI

Strategy Update: ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน SET UPDATE: เข้าสู่จุด Deep Value เชิงพื้นฐาน แนะนำ 7 หุ้นมูลค่าเพื่อการลงทุนระยะยาว แนะนำ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO

Key Ideas: SET ปรับตัวลงแรง -9.86%ytd และอยู่ใน "Value Zone" ดังที่เคยกล่าวในช่วงก่อนหน้า ว่า SET มี Current Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.56% สูงกว่า AVG + 1.5 S.D. (4.53%) ที่เป็นจุดกลับตัวตลาดในรอบ 10ปีที่ผ่านมา แต่เพื่อความเด่นชัด ในมิติอื่นๆ ทีมกลยุทธ์ KSS จึงตรวจสอบค่าที่สะท้อนภาวะ "Value Market" ในมิติอื่นๆ อีก 4มิติ พบว่า ตลาดหุ้นไทย ควรค่าแก่การลงทุนระยะยาว และเป็น Deep Value Zone อย่างแท้จริง

1.) Trailing PER หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.42 vs ปัจจุบัน -0.37 "สะท้อนว่าค่อนข้าง Value"

 

2.) PBV หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.86 vs ปัจจุบัน -1.97 "Deep Value" มาก

 

3.) Invert Dividend Yield หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -1.01 vs ปัจจุบัน -1.58 "Deep Value" มาก

 

4.) GDP ที่ตลาดคาดการณ์ ในปีนั้นๆ ณ จุดกลับตัวหลังปี 2011 Ex Crisis เฉลี่ย 2.36% vs ปัจจุบัน 3% สะท้อนภาพตลาดยังมองการเติบโต ขณะที่ Outlook ปัจจุบันไทย เราเริ่มเห็นแนวทางการสร้าง S Curve ใหม่ๆ

เราประเมินผลกระทบรอบนี้ เกิดจาก แรงขาย Panic Sell จากการปรับลดน้ำหนัก DELTA และแรงขายกองทุน LTF ขณะที่ระดับ SET ตั้งแต่ต่ำกว่า 1300 จุด เริ่มเห็นเม็ดเงินใหม่ที่มีโอกาสเข้ามา เรามองแนวโน้มตลาด: ช่วงสร้างฐาน (Consolidation Phase) : ระดับแนวรับเชิงพื้นฐานที่กรอบ 1270-1250จุด ขณะที่แนวรับเชิงโครงสร้างเทคนิคระยะยาวของรายเดือนจากฐานปี 2008 สู่ปัจจุบัน อยู่ใกล้เคียงกันที่ 1225 จุด ซึ่งเป็นโซนเหมาะสม สำหรับ Domestic Long Term Fund ที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย หรือ นักลงทุนที่ต้องการการออมในระยะยาว

Strategy : KSS คัดเลือกหุ้นพื้นฐานดีที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Value ด้วยเงื่อนไขใกล้เคียง SET และธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งภายในภายนอก และพร้อมเติบโตในอีก 3ปีข้างหน้า ใน "Theme 7 Value Stocks" ดังนี้ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO

 

• GULF (TP25F-56.5): เราเริ่มต้นคำแนะนำ Buy GULF (NewCo) ที่ TP25F 56.5 บาท/หุ้น อิง SOTP โดย GULF ยังเป็นผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าที่มีความ Secured บนสัญญารูปแบบ IPP และ Renewables, มี MW growth ต่อเนื่อง, รวมถึงมีการเติบโตทั้งในแง่ของกำไรและ Operating Cashflow จากการควบรวมธุรกิจ Telecom เราคาดกำไรปกติปี 25-27F ของ GULF (NewCo) ทำจุดสูงสุดต่อเนื่องบนการเติบโตเฉลี่ย 18% CAGR จาก i) Equity MW ของโรงไฟฟ้าใหม่ที่กำลังทยอย COD ในปี 25-27F รวม 2,535 MW ii) การเติบโตของส่วนแบ่งกำไรจาก ADVANC ราว 5% ต่อปี iii) คาดอัตรากำไรขั้นต้นเริ่มปรับตัวดีขึ้นจากต้นทุนเชื้อเพลิงก๊าซลดลงในปี 26-27F ไปอยู่ที่บริเวณ 302 และ 281 เหรียญต่อ MMBTU โดยประมาณการปัจจุบันเรายังไม่รวม Upside จาก Potential project บนพลังงานหมุนเวียนหลังควบรวม ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะคิดเป็นกำไรส่วนเพิ่มราว 34-64% ของประมาณการปี 26F

• Utilities (U/R): เรามองเป็นจิตวิทยาลบต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า IPP และ Renewables จากมติ "ลดค่าไฟรอบเดือนพ.ค.-ส.ค. ลงเหลือ 3.99 บาท/หน่วย" โดยเราให้น้ำหนักต่อการลดค่าไฟผ่านการลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของ EGAT หรือการให้ EGAT รับภาระหนี้เพิ่มเติมบนหนี้ปัจจุบัน 8-9 หมื่นลบ. ซึ่งเทียบกับจุดสูงสุดที่ EGAT เคยรับภาระ 1.1 แสนลบ. ยังมีช่องว่างเล็กน้อย นอกจากนี้การปรับสัญญา IPP และ Renewables ยังติดสัญญา PPA และเป็นแนวทางที่ถูกหยิบยกและตีตกหลายครั้งเราจึงมองความเป็นไปได้ไม่สูงนัก เราจึงเลือก GULF เป็น Top pick ของกลุ่มแนะนำ Buy ที่ TP25F 56.5 บาท

• Hotel (Neutral): We downgrade the hotel sector to 'Neutral' from 'Bullish' due to concerns over slower-than-expected growth in international tourist arrivals this year from ongoing safety concerns in Thailand. This could lead hotels to lower room rates (+20-40% higher than pre-COVID-19 levels) to keep occupancy and revenue up. Our analysis shows that if hotels reduce rates to pre-COVID-19 levels within the next 3-5 years, it would pose a downside risk to our earnings estimates by 7-40% and our target prices by 15-50%. This could slow the sector's earnings growth from the 13% yoy (Bt14bn) to just 2-5% yoy (Bt13bn). Additionally, the low season in the second and third quarters, coupled with high room rate bases from the previous year, will further pressure growth, particularly in the 2H25. MINT and SHR remain our top picks due to their portfolio diversification and attractive valuations.

• SIRI (Buy, TP25F-2.34): มุมมอง slightly positive ต่อยอดขาย 100% sold out ของ condo เปิดใหม่; PTY Residence Sai 1 มูลค่า 3.6 พันลบ. ซึ่งดีกว่าเป้าที่ SIRI ตั้งไว้ ในขณะที่ feedback การขาย condo ใหม่ โครงการอื่นทำได้ค่อนข้างดีเช่นกัน โดยคาด average take-up rate สูง 52% ของ 8 โครงการ condo ใหม่มูลค่ารวม 11.4 พันลบ. ที่เปิดใน 1Q25 ทั้งนี้ condo presale ที่สูง เป็นส่วนสนับสนุน 1Q25F presale คาดสูง 13.0 พันลบ. โต y-y, q-q สวนทางกลุ่มฯ สำหรับ 1Q25F transfer คาดที่ 7.0 พันลบ. อาจยังไม่ดีนัก เพราะ backlog รอโอนไม่มาก และการระบาย stock ค่อนข้างช้าใน 1Q25F แต่คาดทยอยดีขึ้นใน 2Q25F เราคง Norm. profit 2025F ที่ 5.25 พันลบ. (+6% y-y) ซึ่งมีโอกาสทำ record high คง TP25F ที่ 2.34 บาท คง BUY และเป็น top pick จากจุดเด่นเรื่องการเป็น first mover ด้าน product design, จับ trend ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไวได้ดี และกลยุทธ์สร้าง value-added ในทำเลที่มีการโตสูง ซึ่งเป็นส่วนผลักดันให้ 2025F Norm. profit มีโอกาสทำ record high ได้

 

 

 

2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility

Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE

Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้