Market Wrap-Up
- SET วันที่ 31 มี.ค.68 ปิด -17.36 จุด อยู่ที่ 1,158.09 จุด มูลค่าการซื้อขาย 40,261 ลบ. ต่างชาติขาย 1,487 ลบ. พอร์ตโบรกขาย 1,275 ลบ. สถาบันขาย 1,436 ลบ. และรายย่อยซื้อ 4,199 ลบ. NVDR มียอดขายสุทธิ 2,313 ลบ.โดยมียอดซื้อในหุ้น ADVANC,TRUE,MTC,KTB,PTTEP และยอดขายหุ้น BCP,SCB,BDMS,PTT,AOT มูลค่า Short Sales อยู่ที่ 2,090 ลบ. หุ้นที่มี%ปริมาณ Short สูงคือ TAIWANAI13,SISB,ITC โดยนักลงทุนต่างประเทศมีสถานะ Long ใน Index Futures จำนวน 24,910 สัญญา ยอดสะสมตั้งแต่ต้นปีต่างชาติ Long สุทธิรวม 53,745 สัญญา ต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตรไทย 5,195 ลบ.
- ตลาดหุ้นสหรัฐ DJIA +1.0%, S&P500 +0.55%, Nasdaq -0.14% ได้แรงหนุนจากกลุ่มสินค้าอุปโภค +1.63%, การเงิน +1.25% ขณะที่กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย -0.18% โดยรอประเมินผลกระทบจาก ม.ปรับขึ้นภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ในวันที่ 2 เม.ย. ตลาดหุ้นยุโรป Stoxx600 -1.51% จากแรงขายกลุ่มทรัพยากรพื้นฐาน -3.3%, สายการบินปรับลดลงนำโดย IAG -6.6% รอประเมินผลกระทบจาก ม.ปรับขึ้นภาษีของ ปธน.ทรัมป์
Market View
- ตลาดหุ้นสหรัฐวานนี้ฟื้นตัว โดย DJIA -4.2%,S&P500 -5.8%,Nasdaq -8.2% MoM จากความกังวล ม.ปรับขึ้นภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ จะส่งผลให้เงินเฟ้อสหรัฐสูงขึ้น และเศรษฐกิจสหรัฐอาจชะลอตัว โดย Goldman Sachs ชี้มีโอกาส 35% & เดิมคาด 20% ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย และคาดเฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจสัปดาห์นี้ติดตาม PMI ภาคการผลิต & บริการสหรัฐ มี.ค., JOLTs ตัวเลขเปิดรับสมัครงานสหรัฐ ก.พ., ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐ มี.ค., ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐ มี.ค. และวันศุกร์ติดตามถ้อยแถลงของ ปธ.เฟดในงานประจำปีของ SABEW เพื่อจับสัญญาณทางเศรษฐกิจสหรัฐ
- Stoxx600 วานนี้ -1.5% โดย มี.ค. ดัชนีหุ้นยุโรป -2.7% MoM ลดลงรายเดือนมากสุดนับตั้งแต่ ต.ค. 2566 ถูกกดดันจาก ม.ปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐที่อัตรา 25% จะเริ่มมีผลในวันที่ 2 เม.ย. ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ ปธน.ทรัมป์เผยจะเรียกเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบโต้กับสหภาพยุโรปในอัตราที่สูงกว่าคาด ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจวานนี้ CPI เยอรมัน มี.ค. ลดลงอยู่ที่ 3% & ก.พ. 2.4% YoY และค่ำวันนี้ติดตาม CPI ยูโรโซน มี.ค. คาด 2.2% & ก.พ. 2.3% YoY ส่งผลให้เทรดเดอร์คาด ECB มีโอกาสลดดอกเบี้ย 0.58% ในปีนี้
- ตลาดหุ้นเอเขียวานนี้ ดัชนีนิเกอิ -4.05%, เซี่ยงไฮ้ -0.46%, ฮั่งเส็ง -1.31% จากความกังวลต่อ ม.ปรับขึ้นภาษีแบบตอบโต้ของสหรัฐ ที่ ปธน.ทรัมป์ขู่จะปรับขึ้นกับทุกประเทศที่เอาเปรียบสหรัฐ ที่ใช้ ม.กีดกันสินค้าสหรัฐ ขณะที่ ดัชนี Kospi เกาหลีใต้ -3.0% หลังประกาศยกเลิก ม.ห้ามข็อตเซลหุ้นทุกตัว ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจเข้านี้ ดัชนีทันกันอุตสาหกรรมรายใหญ่ของญี่ปุ่น Q1/68 อยู่ที่ระดับ 12 & Q4/67 ที่ 14 และรอรายงาน Caixin PMI ภาคการผลิตจีน มี.ค. คาด 6 & ก.พ. 50.8 รวมถึงการประชุม ธ.กลางออสเตรเลียคาดคงดอกเบี้ยที่ 4.1%
- SET วานนี้ -1.48% ปริมาณการซื้อขาย 0 หมื่น ลบ. ต่างชาติขาย 1,487 ลบ. สถาบันขาย 1,436 ลบ. พอร์ตโบรกขาย 1,275 ลบ. และรายย่อยซื้อ 4,199 ลบ. โดยดัชนีปรับลดลงจากแรงชายกลุ่มอิเล็ก ฯ -4.5% จากความกังวลภาวะอุปทานล้นตลาดในอุตาหกรรมชิป AI ที่ใช้ระบบ Data Center ในสหรัฐ & ยุโรป กอปร DELTA -4.7% จากคาดกาณ์กำไรปีนี้อาจลดลง เป็นผลจากการถูกเรียกเก็บภาษี GMT ที่ 15% ส่วนกลุ่มอสังหา ฯ, ไฟแนนท์, ประกัน, ขนส่ง และรับเหมาก่อสร้างปรับลดลง เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ปรับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว แม้ว่าโครงสร้างพื้นสำคัญของไทยจะไม่รับผลเสียหาย แต่มีประเด็นคำถามเกี่ยวกับ ม.ด้านความปลอดภัยในการก่อสร้างของบริษัท JV ไทย & จีน ซึ่งอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของต่างชาติที่จะลงทุน FDI ในไทย ส่วนประเด็นสำคัญวันพรุ่งนี้ติดตามสหรัฐจะประกาศ ม.ภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ ซึ่งประเทศไทยมีโอกาสเข้าข่ายถูกเก็บภาษีเพิ่ม โดยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจในประเทศคาดอาจส่งลบต่อ GDP ไทยปีนี้ราว -0.3 ถึง -0.5% ต่อ GDP
Daily Strategy
- ประเมินแนวรับดัชนี SET ที่ 1,140 – 1,150 แนวต้าน 1,170 คาดการฟื้นตัวของ SET ยังจำกัด ระหว่างรอประเมินผลกระทบจาก ม.ขึ้นภาษีของสหรัฐ และติดตามผลการประชุม ครม.ในการออก ม.เยียวยาภัยแผ่นดินไหว แนะนำซื้อเก็งกำไร SCC,SCGD,HMPRO,DOHOME,GLOBAL,TOA,TEAMG,PPS ได้ประโยชน์จากการซ่อมแซมบ้าน, อาคาร และการตรวจสอบความปลอดภัยด้านโครงสร้าง
- BCPG* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 8.35 บาท) แนวโน้มปี 68 คาดกำไรปกติจะเติบโตด้วยผลของปรากฏการณ์ลานีญาที่เป็นบวกต่อ Hydro power plant ประกอบกับการทยอย COD โครงการพลังงานลม Monsoon (290Mwe ถือหุ้น 48%) ในลาวที่จะเริ่มช่วง 2H68 ปัจจัยบวกที่เหลือมาจาก BCPG มีสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าในไทยน้อย ทำให้ได้รับผลกระทบอย่างจำกัดจากการแทรกแซงโดยภาครัฐ ขณะที่โรงไฟฟ้าในสหรัฐได้รับประโยชน์จากการเติบโตของธุรกิจ Data center ส่งให้ราคาขายไฟฟ้า (ค่าความพร้อมจ่าย) ในตลาดเสรีของสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง มองว่าปี 68 ไม่มีตั้งสำรองเพิ่มกรณีลูกหนี้ในลาว ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรปี 68 ที่ 5 พันล้านบาท และปี 69 ที่ 1.8 พันล้านบาท +19%YoY
- BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย00 บาท) กำไรสุทธิ 4Q67 อยู่ที่ 4,333ลบ. (+9.64%YoY, +2.04%QoQ) หนุนจากรายได้ผู้ป่วยต่างชาติ(รวม +10% นำโดยการ์ตา +56%YoY/ จีน +34%YoY/USA +29%YoY) ด้านU-rate IPD ของ4Q67แม้ปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ62% แต่ยังคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ดี ประจวบกับรายได้อื่นที่สูงขึ้นจาก Mövenpick BDMS Wellness Resort และมี Tax Credit ส่งผลให้ GPM และNPM สูงขึ้น YoY QoQ ส่วน 1Q68 แม้มีปัจจัยกดดันจาก 1.ประกันรูปแบบ Co-pay ตั้งแต่ 20 มี.ค.68 และ 2.รอมฎอนในช่วง 28ก.พ.-29มี.ค.68 อย่างไรก็ตาม คาดว่าการดำเนินงานจะยังสามารถอยู่ในเกณฑ์ดีได้จากร.พ.ในต่างจังหวัดที่ทำได้ดีในช่วงปี67 ที่ผ่านมา ส่วนภาพรวมรายได้ ม.ค.-ก.พ.68 ยังเห็นการบวกต่อเนื่องได้ดี YoY โดย ผู้บริหารวางเป้าการเติบโตของรายได้ในช่วง 1H68 ราว +7 ถึง 8%YoY
Daily Key Factors
Oil Update(+) WTI พ.ค. +$2.12 อยู่ที่ $71.48 / บาร์เรล, Brent พ.ค. +$1.11 อยู่ที่ $74.74/บาร์เรล หลังสหรัฐอาจเรียกเก็บภาษีในอัตรา 25 – 50% กับประเทศที่ซื้อน้ำมันจากรัสเซีย หากรัสเซียมีความพยายามจะขัดขวางข้อตกลงยุติสงครามในยูเครน กอปรสหรัฐเตือนจะใช้ปฏิบัตการทางทหารกับอิหร่าน ส่งผลให้อุปทานน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มตึงตัว
Gold Update(+) Comex Gold มิ.ย.+$36.0 อยู่ที่ $3,150.30 /ออนซ์ โดยทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนต่อนโยบายการค้าของสหรัฐ และสหรัฐยังอาจมีความขัดแย้งกับรัสเซีย & อิหร่าน
Fund Flow(-) Fund Flow ต่างชาติในตลาด TIP วานนี้ ขายสุทธิ -39.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขายหุ้นไทย -43.83 ล.ดอลลาร์สหรัฐ และซื้อหุ้นฟิลิปปินส์ +4.35 ล.ดอลลาร์สหรัฐ
(0) ค่าเงินบาทเช้านีอ่อนค่าอยู่ที่ 33.93 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(0) ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ทรงตัวอยู่ที่ 4.209 %
(-) ดัชนี BDI วานนี้ -4 จุด อยู่ที่ 1,598
(+) BitCoinเช้านี้ +0.85% อยู่ที่ 82,661 ดอลลาร์สหรัฐ
Economic Calendar
ในประเทศ
31 มี.ค. ธปท. รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงินไทย
สัปดาห์ที1 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค
(เม.ย.)
ต่างประเทศ
31 มี.ค. CN ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีน (มี.ค.)
01 เม.ย. EU ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) (ปีต่อปี) (มี.ค.)
US ตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่จาก JOLTS (ก.พ.)
US ดัชนี PMI ภาคการผลิตจากสถาบันไอเอสเอ็ม (ISM) (มี.ค.)
02 เม.ย. US การเปลี่ยนแปลงการจ้างงานภาคนอกภาคเกษตรกรรม(ADP)(มี.ค.)
03 เม.ย. US สินค้าคงคลังน้ำมันดิบ
US จำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก
US ดัชนี PMI ภาคการบริการจากสถาบันไอเอสเอ็ม (ISM) (มี.ค.)
04 เม.ย. CN เทศกาลเช็งเม้ง
US อัตราการว่างงาน (มี.ค.)
US รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมง (เดือนต่อเดือน) (มี.ค.)
Theme Strategy
Theme หุ้นเด่น 1H68 เน้น หุ้นในธุรกิจใหม่ที่เป็น Trend ในอนาคต อย่าง Data Center รวมถึงหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรปกติ 4Q67-1Q68 คาดออกมาดี และ หุ้นที่รับความผันผวนได้ดีจากความเสี่ยง Trade War/ธนาคารกลางหลักมีแนวโน้มชะลอการลดดอกเบี้ย
(1) กลุ่มธนาคารที่มี Sentiment บวกจากธนาคารกลางหลักมีแนวโน้มชะลอการลดดอกเบี้ย/มี Yield สูง BBL, KTB, KBANK, TISCO*, TTB*
(2) กลุ่มการอุปโภคบริโภค ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ CPALL, CPAXT*, CRC, NSL*, TNP*, OSP*
(3) กลุ่มโรงพยาบาล BDMS, BH, PR9*, SKR
(4) กลุ่มมีโอกาสเกี่ยวข้องกับการลงทุน Data Center/ธุรกิจ Trend อนาคต ADVANC,INTUCH*,TRUE,GULF*,AMATA
(5) กลุ่มสินค้า IT ที่ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยี(เช่น AI function/ 4G to 5G) SYNEX*, ADVICE*, SIS*
(6) กลุ่มที่มี Sentiment บวกจาก Entertainment Complex BTS*, VGI*, MBK*, BA
**หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ที่ยังไม่อยู่ใน Coverage ของฝ่ายวิจัย
Asset Allocation: Equity 55% Fixed Income 30% Alternative Investment etc. Gold 10% Cash 5%
Today Fundamental Research: -
Monthly Portfolio February 2025: CPALL, SYNEX*, KLINIQ, DOHOME*, TEGH*
Analysts
Apichai Raomanachai
Fundamental and Technical Investment Analysis ID No. 002939
Tel 02-829-6999 Ext 2200
Email : apichai.ra@kfsec.co.th
Nopporn Chaykaew
Fundamental Analysis ID No. 043964
Tel 02-829-6999 Ext 2203
Email : noppoen.ch@kfsec.co.th
Nattawat Poosunthornsri
Fundamental Analysis ID No. 087077
Tel 02-829-6999 Ext 2204
Email : nattawat.po@kfsec.co.th