สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(29 มีนาคม 2568)-------นางสาวจิตอาภา อัมราลิขิต Group Chief Financial Officer บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน)TWPC เปิดเผยว่า จากหนังสือที่อ้างถึง บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ขอเรียนแจ้งให้ทราบว่าบริษัทฯ ได้ดำเนินการจัดตั้ง บริษัทย่อยแห่งใหม่ในประเทศไทย โดยใช้ชื่อว่า “บริษัท ไทยวา ฟูจิ นิฮอน จำกัด” (“TWFN”) เสร็จสิ้น ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2568 เพื่อประกอบกิจการค้า ผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ทำจากมันสำปะหลัง และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยตั้งแต่วันที่ จัดตั้งบริษัทจนถึงวันที่ 27 มีนาคม 2568 บริษัทถือหุ้นร้อยละ 100 ของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดใน TWFN

บริษัทฯ ขอแจ้งให้ทราบว่า ในวันที่ 28 มีนาคม 2568 บริษัทฯ ได้จำหน่ายหุ้นในอัตราร้อยละ 49 ของจำนวนหุ้นที่มี สิทธิออกเสียงทั้งหมดใน TWFN ให้แก่ บริษัท ฟูจิ นิฮอน (ไทยแลนด์) จำกัด (“FNT”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในประเทศไทยของ Fuji Nihon Corporation (“FNC”) โดย FNC เป็นบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งภายใต้กฎหมายญี่ปุ่นและมีหุ้นจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Stock Exchange (TSE)) ทั้งนี้ ราคาขายหุ้นดังกล่าวให้แก่ FNT คิดเป็นจำนวนตามมูลค่ายุติธรรม ประมาณ 490 ล้านบาท

ในการนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2568 บริษัทฯ และ FNT จะถือหุ้นใน TWFN เป็นจำนวนร้อยละ 51 และร้อยละ 49 ของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดใน TWFN ตามลำดับ ซึ่ง TWFN ยังคงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ อยู่เช่นเดิม

พันธมิตรทางธุรกิจครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของบริษัทฯ และ FNC ในการขยายตลาดในระดับโลก และสร้างนวัตกรรมในการผลิตส่วนผสมอาหารจากแป้งมันสำปะหลัง พันธมิตรนี้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ร่วมในการขับเคลื่อนการ เติบโตและสร้างคุณค่าในภาคธุรกิจเกษตรอาหารผ่านความร่วมมือ ถือเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงของทั้งสองบริษัท โดยการใช้ประโยชน์จากศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ความร่วมมือนี้มีเป้าหมายในการพัฒนาผลิตภัณฑ์แป้งมัน สำปะหลังที่มีคุณภาพสูง พร้อมด้วยคุณสมบัติและการใช้งานรูปแบบใหม่ ความร่วมมือนี้ยังช่วยเสริมสร้างห่วงโซ่คุณค่าระดับ โลกให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพิ่มความยืดหยุ่นและความเชื่อถือได้ในการตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า ด้วย ค่านิยมร่วมกันและความมุ่งมั่นในการสร้างส่วนผสมอาหารที่ยั่งยืนและดีต่อสุขภาพ พันธมิตรนี้จึงมุ่งมั่นที่จะส่งมอบคุณค่าที่ โดดเด่นให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลก พร้อมทั้งส่งเสริมอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร