AT THE OPEN (#ATO)
SET Index แกว่งออกข้าง
กลยุทธ์เลือกหุ้นได้แรงหนุนมาตรการกระตุ้นรัฐ
Market Strategy
SET Index แกว่งออกข้าง 1180-1200 จุด แรงกดดันจากประกาศขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐฯ 25% ที่จะเริ่มเก็บ 3 เม.ย. 68 แต่ปัจจัยในประเทศอาจมีกระแสบวกจากความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นรัฐบาล ในเชิงกลยุทธ์มองกลุ่ม Global/Export จะ Underperform เมื่อเทียบกับ Domestic จนกว่าจะเห็นความชัดเจนมาตรการภาษีสหรัฐฯ หุ้นเด่นวันนี้เลือก MINT และ HMPRO
ตลาดหุ้นสหรัฐฯวานนี้ปรับลง -0.3% ถึง -2% แรงกดดันจากคุณทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% มีผลวันที่ 2 เม.ย. และเริ่มเก็บภาษี 3 เม.ย. 68 เรามองเป็นความเสี่ยงต่อภาคส่งออกของบ้านเราปี 68 โดยอิงข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ปี 2567 ยอดส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบไปสหรัฐฯ อยู่ที่ 1,893 ล้านเหรียญฯ คิดเป็นสัดส่วน 3% ของมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ และ 0.6% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทยปี 67
ผลต่อตลาดหุ้น มองเป็นลบต่อกลุ่มยานยนต์ AH SAT STANLY กลุ่มอิเล็คทรอนิกต์ที่สัดส่วนรายได้เกี่ยวกับภาคยานยนต์สูง KCE (ราว 70% ของรายได้รวม) DELTA (ราว 25-30%ของรายได้รวม) HANA (ราว 15-25% ของรายได้รวม) CCET (ราว 1-3% ของรายได้รวม) ระยะถัดไปยังต้องติดตามการประกาศขึ้นภาษีเซมิคอนดักเตอร์ และภาษีตอบโต้อื่นๆ ในวันที่ 2 เม.ย. 68
สำหรับประเด็นในประเทศ วันนี้ติดตามการประชุม ครม. คาดพิจารณารายละเอียดงบประมาณปี 69 วงเงิน3.78 ล้านล้านบาท ร่าง พ.ร.บ. เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ (ดีต่อ BTS VGI BA) รวมถึงลุ้นความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ Digital Wallet เฟส 3 (ดีต่อ CPALL CPAXT BJC) และเราเที่ยวด้วยกัน (ดีต่อ ERW CENTEL AWC MINT)
Market Summary
SET Index ปรับขึ้น 5.4 จุดหรือ 0.5% กลุ่มที่ Outperform กลุ่มอิเล็คทรอนิกส์จากความหวังกำแพงภาษีสหรัฐฯที่อาจไม่แรงอย่างที่คาดหนุน DELTA +5% CCET +5% กลุ่มค้าปลีก +1.8% โดย HMPRO +9% จากการซื้อหุ้นคืน กลุ่มโรงไฟฟ้าจาก กกพ.ประกาศค่าไฟเดือน พ.ค.-ส.ค.68 คงที่ 4.15 บาท/หน่วย หนุนต่อ GPSC +3.6% BGRIM +3% กลุ่ม Underperform กลุ่มยานยนต์ -1.1% ตามยอดส่งออกเดือน ก.พ. ติดลบ หุ้นที่มีปัจจัยลบเฉพาะตัว TOP -5.6%
DAILY Stock Pick
MINT
ออกจาก low season ไทย
เข้า high season ที่ ยุโรป
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 36.00 บาท
เราคาด MINT มีกำไรเติบโตเฉลี่ย (CAGR) +10% ใน 3 ปีข้างหน้า หนุนจาก ดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง (-9% CAGR) และ RevPAR ของไทยและยุโรปยังคงอยู่ในระดับสูง ณ ราคาปัจจุบัน ถูกซื้อขายที่ PE68 ที่ 19 เท่า (-1SD ของ 5 ปีเฉลี่ยย้อนหลัง) โดย MINT ประกาศจ่ายปันผล 0.35 บาทต่อหุ้น (คิดเป็นอัตราเงินปันผลที่ 1.3%) ขึ้น XD วันที่ 7 พ.ค. 68
โดยไตรมาส 1 เป็น low season ของยุโรป ส่งผลให้เราคาด MINT รายงานกำไรงวด 1Q68 ที่ 268 ล้านบาท พลิกจากขาดทุนช่วงเดียวกันกับปีก่อนที่ 352 ล้านบาท และปรับตัวลงเทียบกับไตรมาสก่อนที่ 2.9 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่ 2-3 เข้าสู่ช่วง high season ของยุโรป (59% ของจำนวนห้องอยู่ที่ยุโรป) หนุนผลประกอบการในไตรมาสถัดไป
KEY FACTOR
ตลาดการเงินโลกยังคงผันผวนตามสถานการณ์สงครามการค้า 1) ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับฐานแรงปรับตัวลดลงในช่วง -0.31% ถึง -2.04% 2) ดัชนี VIX ดีดตัว +6.88% 3) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี เร่งตัวแตะระดับ 4.35% ซึ่งล่าสุดทรัมป์ประกาศยืนยันการเก็บภาษีนำเข้ากลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ 25% โดยคาดว่าจะพุ่งเป้าไปที่บริษัทรถยนต์รายใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อไทยในฐานะเป็นหนึ่งในฐานผลิตชิ้นส่วนฯ ในห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้สำหรับสินค้าอื่นๆ ยังมีความเสี่ยงในฐานะที่ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯมากที่สุดติดในกลุ่ม Dirty 15 ที่จะเป็นเป้าหมายหลักของสหรัฐฯ
ส่วนตัวเลขที่จะรายงานคืนนี้ ประกอบด้วย GDP และ PCE 4Q67 ของสหรัฐฯ (รายงานครั้งที่ 3) คาดขยายตัว +2.3% QoQ และ +2.7% QoQ
EYES ON
ในสัปดาห์ : สถานการณ์สงครามการค้าก่อนสหรัฐฯ ขึ้นภาษีตอบโต้
27 มี.ค. : ประชุม ครม.
28 มี.ค. : ดัชนี PCE เดือน ก.พ. ของสหรัฐฯ
นักกลยุทธ์ : ธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์, ชาญชัย พันทาธนากิจ, ออมทรัพย์ โง้วศิริ