ปัจจัยต่างประเทศผ่อนคลาย หนุนเงินเข้าตลาดหุ้น
TOP PICK SCGP / CPN / PTTEP
EXTERNAL FACTOR
• วานนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นแรงราว 1.4% - 2.6% คาดตลาดฯ ให้น้ำหนักกับนโยบายกีดกันภาษีของสหรัฐฯ อาจผ่อนคลายขึ้น โดย ปธน. TRUMP บอกเป็นนัยว่าบางประเทศมีโอกาสได้รับการยกเว้นหรือลดภาษีตอบโต้ที่จะประกาศในวันที่ 2 เม.ย. นี้
• ขณะที่กลุ่มประเทศที่อาจถูกตกเป็นเป้าหมายลำดับต้นๆ ของสหรัฐฯ อาจอยู่ในกลุ่มประเทศ "DIRTY 15" ซึ่งไม่มีประเทศไทยรวมอยู่ด้วย
• อย่างไรก็ตาม รายละเอียดนโยบายการค้าสหรัฐฯ ยังต้องรอดูความชัดเจน และต้องติดตามผลลัพธ์อย่างใกล้ชิด
INTERNAL FACTOR
• หลัง TRUMP มาเป็น ปธน.คนที่ 47(5 เดือนที่ผ่านมา) ตลาดหุ้นในภูมิภาคถูก FLOWต่างชาติขายหนักกว่าปีอื่นๆ มาก แต่ประเด็นดังกล่าวเริ่มผ่อนคลายลง หลังคืนที่ผ่านมา TRUMP ส่งสัญญาณยืดหยุ่นมาตรการภาษีมากขึ้น ซึ่งน่าจะหนุนให้ FLOWต่างชาติมีโอกาสชะลอการไหลออกจากตลาดหุ้นได้
• กลยุทธ์เน้นหุ้นที่มีโอกาสถูกซื้อหุ้นคืน คือ หุ้นที่ VALUATION ถูก, มีเงินสดในมือสูง,พร้อมกับมีเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวก อาทิ BANPU, EGCO, BGRIM, BCP,RCL, IRPC, TOP, HANA, PTT, CK, CKP, PTTGC, BCPG, GPSC, STGT, SCC
INVESTMENT STRATEGY
• ราคาน้ำมันดิบ BRENT / WTI มีโอกาสเป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 3 ปัจจัย 1.TRUMP ประกาศว่าประเทศที่ซื้อน้ำมันจากเวเนซุเอลาจะถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากร 25% 2. ประเด็น TRADE WAR ผ่อนคลายลงมาบ้าง 3.แนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของสหรัฐฯ และจีน
• ภาพรวม SET INDEX ในช่วงสั้นคาดได้รับ SENTIMENT เชิงบวกจากประเด็นดังกล่าว โดยมีหุ้นกลุ่มพลังงานโรงกลั่นเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ซึ่งมีน้ำหนัก(MARKET CAP) สูงถึง 1 ใน 3 ของน้ำหนักทั้งหมด ส่วนหุ้นที่คาดได้ประโยชน์ คือหุ้นกลุ่มน้ำมัน-โรงกลั่น อาทิ TOP, PTT, PTTGC, PTTEP, SCGP
รอความชัดเจน “นโยบายกีดกันภาษีสหรัฐฯ”
วานนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นแรงราว 1.4% - 2.6% สะท้อนภาพเข้าสู่โหมด RISK ON คาดตลาดฯ ให้น้ำหนักกับนโยบายกีดกันภาษีของสหรัฐฯ อาจผ่อนคลายขึ้น โดย ปธน. TRUMP จะประกาศภาษีนำเข้ารถยนต์ ไม้ และเศษไม้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า พร้อมกับบอกเป็นนัยว่าบางประเทศมีโอกาสได้รับการยกเว้นหรือลดภาษีตอบโต้ที่จะประกาศในวันที่ 2 เม.ย. นี้อีกทั้งการเรียกเก็บภาษีในบางประเทศ อาจไม่ได้มีผลบังคับใช้ทันทั (มีเวลาให้ต่อรอง)ขณะที่กลุ่มประเทศที่อาจถูกตกเป็นเป้าหมายลำดับต้นๆ ของสหรัฐฯ อาจอยู่ในกลุ่ม "DIRTY 15" หรือ 15 ประเทศที่มีการค้าขายกับสหรัฐฯ แบบไม่สมดุล โดยมีอัตราภาษีและอุปสรรคทางการค้าที่สูง อาทิ เม็กซิโก, แคนนาดา, จีน,เยอรมัน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ไต้หวัน, เวียดนาม เป็นต้น ซึ่งไม่มีประเทศไทยรวมอยู่ด้วย
การให้น้ำหนักกับ TRADE WAR ที่ดูผ่อนคลายขึ้น อาจเป็นแรงหนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังดีอยู่ ลดความเสี่ยงต่อการเกิด RECESSION และอาจนำไปสู่การไม่รับลดดอกเบี้ยของ FED ขณะที่ความเห็นของเจ้าหน้าที่ FED ล่าสุดเจ้าหน้าที่ FED RAPHAEL BOSTIC เห็นว่าตอนนี้ การปรับลดดอกเบี้ยของ FED ในปีนี้ 1 ครั้ง น่าจะเป็นไปได้(แทนที่จะเป็น 2 ครั้ง) เนื่องจากความ่แน่นอนนโยบายการค้าของ TRUMP จะเป็นปัจจัยขัดขวางเงินเฟ้อชะลอตัว ซึ่งปัจจัยข้างต้นคาดว่าเป็นแรงผลักให้ BOND YIELD สหรัฐฯ ดีดตัวขึ้นมาแรงมากกว่า 2%
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดนโยบายการค้าสหรัฐฯ ยังต้องรอดูความชัดเจน และต้องติดตามผลลัพธ์อย่างใกล้ชิดเพราะหากพิจารณาข้อมูลในอดีต FED ปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรก หลังจากเริ่ม TRADE WAR 1.0 ราว 13 เดือนพร้อมกับเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงสู่กรอบเป้าหมาย 2%
FLOW ต่างชาติออกจากตลาดหุ้นในภูมิภาคตั้งแต่ TRUMP เข้ามา เฟ้นหาหุ้นถูกจนอาจเห็นบริษัทประกาศซื้อหุ้นคืนได้
หลังTRUMP มาเป็น ปธน.คนที่47 ตลาดหุ้นในภูมิภาคถูก FLOW ต่างชาติขายหนักกว่าปีอื่นๆ มาก ดังรูปด้านล่างเกิดจากความกังวลการเก็บภาษีที่มีโอกาสรุนแรงและขยายวงกว้างในหลายประเทศ อย่างไรก็ตามประเด็นดังกล่าวเริ่มผ่อนคลายลง หลังคืนที่ผ่านมา TRUMP ส่งสัญญาณยืดหยุ่นมาตรการภาษีมากขึ้น ทั้งในส่วนของจำนวนประเทศ และ เวลาต่อรอง ซึ่งประเทศไทยไม่โดนผลกระทบดังกล่าวในขณะนี้ ซึ่งน่าจะหนุนให้ FLOW ต่างชาติมีโอกาสชะลอการไหลออกจากตลาดหุ้นได้
ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนในช่วงเวลาแบบนี้ ยังคงเน้นหุ้นที่มีโอกาสถูกซื้อหุ้นคืน ด้วยเงื่อนไขต่างๆ ดังนี้
1. หุ้นที่ VALUATION ถูก (PBV < 1)
2. มีเงินสดในมือสูง (CASH ON HAND > 15% ของ MARKET CAP)
3. พร้อมกับสามารถสร้างเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกได้(CFO 2024 > 0)
ได้ผลลัพธ์ 20 บริษัท คือ BANPU, EGCO, BGRIM, BCP, RCL, IRPC, TOP, HANA, PTT, CK, CKP, PTTGC,BCPG, GPSC, STGT, SCC, SIRI, SJWD, TU, SCGP
ราคาน้ำมันดิบมีโอกาสเป็นขาขึ้น หนุนหุ้นกลุ่มโรงกลั่นในไทยที่ LAGGARD
วานนี้ราคาน้ำมันดิบ BRENT / WTI บวก 1.16% และ 1.22% จากหลายปัจจัยหนุน และมีโอกาสเป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. TRUMP ประกาศว่าประเทศที่ซื้อน้ำมันและก๊าซจากเวเนซุเอลา จะถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากร 25% จากสินค้าทุกรายการที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ เริ่มตั้งแต่ 2 เม.ย.68 ซึ่งอาจกดดันอุปทานน้ำมันดิบโลกในอนาคตเนื่องจากเวเนซุเอลาเป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันมากเป็นอันดับ 9 ของกลุ่ม OPEC
2. สงครามทางการค้าที่ผ่อนคลายลงมาบ้าง (รายละเอียดตามหัวข้อด้านบน)
3. แนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของ 2 ประเทศยักใหญ่สุดของโลก ทั้งสหรัฐฯที่ตัวเลข PMI ภาคบริการยังออกมาดีกว่าคาด หนุน FED ส่งสัญญาณ HAWKISH มากขึ้น ส่วนจีนเตรียมเดินหน้าเบิกงบประมาณปี68เร็วขึ้นหลังเกิดการเบิกจ่ายที่ล่าช้าไปกว่า 11 เดือนในปี 67
ซึ่งภาพรวม SET INDEX ในช่วงสั้นคาดได้รับ SENTIMENT เชิงบวกจากประเด็นดังกล่าว โดยมีหุ้นกลุ่มพลังงาน-โรงกลั่นเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ซึ่งมีน้ำหนัก(MARKET CAP) สูงถึง 1 ใน 3 ของน้ำหนักทั้งหมด ส่วนหุ้นที่ได้ประโยชน์ในยามราคาน้ำมันดิบขาขึ้น ได้แก่กลุ่มผู้ประกอบการผลิตและสำรวจน้ำมันที่มีรายได้อิงกับราคาขายน้ำมัน คือ PTTEPส่วนของธุรกิจโรงกลั่น คือ TOP, PTT, PTTGC ที่ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปียัง LAGGARD ราคาน้ำมันดิบ BRENTและWTI
Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์