สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ ( 24 มีนาคม 2568 )–----- นายโอภาส เฉิดพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็ม วิชั่น จำกัด (มหาชน)MVP เปิดเผยว่า “บริษัทฯ”ขอรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีความหรือข้อพิพาทระหว่างบริษัทฯ กับบริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด (“โจทก์”) โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ข้อมูลคกู่ รณี
ชื่อบริษัท: บริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด สถานะนิติบุคคล: ได้จดทะเบียนเลิกกิจการแล้ว ณ วันที่ 17 กันยายน 2567
ความคืบหน้าคดีฟ้องร้อง
เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2561 บริษัทฯถูกฟ้องร้องเรียกทรัพย์คืนและเรียกค่าเสียหายฐานไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงร่วมกันทุนทรัพย์ จำนวนเงิน 9.2 ล้านบาท เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้
1) บริษัทฯรับมอบสินค้ากลับคืน และบริษัทฯจ่ายชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์ จำนวนเงิน 6.2 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้อง และ
2) โจทก์จ่ายชำระเงินค่าขายสินค้าแก่บริษัทฯจำนวนเงิน 0.3 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่ฟ้องแย้ง ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 บริษัทฯตั้งประมาณการหนี้สินจากผลเสียหายของคดีความฟ้องร้องจำนวนเงิน 7.5ล้านบาท (แสดงภายใต้หนี้สินหมุนเวียน) ซึ่งผู้บริหารเชื่อว่าเพียงพอสำหรับผลเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2565 ศาลอุทธรณ์ได้อ่านคำพิพากษา โดยพิพากษาแก้เป็นให้โจทก์ชำระเงินให้แก่บริษัทฯจำนวน 97.9 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องแย้ง (วันที่ 13ธันวาคม 2561)เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 10เมษายน 2564และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11เมษายน 2564เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่บริษัทฯ
เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2565 กรมบังคับคดีพิจารณาแล้วให้อายัด เงินในบัญชีเงินฝาก ประเภทออมทรัพย์ เลขที่4085540388 ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเสโก้โลตัสฟอร์จูนทาวน์ จำนวน 126,186,989.36 ตามที่บริษัทฯยื่นค าร้องในวันที่ 19ตุลาคม 2565
เมื่อวันที่25 ตุลาคม 2565 โจทก์ได้ยื่นฎีกาและคำขออนุญาตฎีกาต่อศาล ซึ่งทางบริษัทฯได้ยื่นคำคัดค้านคำร้องขออนุญาตฎีกาไว้แล้วเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2565 ตามความเห็นของฝ่ายบริหารและทีมที่ปรึกษากฎหมายมีความเห็นว่าการวินิจฉัยข้อเท็จจริงยังมีความคลาดเคลื่อนในประเด็นระหว่างสัญญาซื้อขายสินค้ากับสัญญาฝากขายสินค้า และประเมินว่าบริษัทฯ มิได้เป็นฝ่ายผิดข้อตกลงร่วมกันและบริษัทฯจะเป็นฝ่ายชนะคดีความฟ้องร้องและบริษัทฯ จะได้รับเงินค่าสินค้าและค่าเสียหายตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2566 บริษัทฯยื่นคำแก้ฎีกาและคำคัดค้านคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีเป็นที่เรียบร้อย
เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 บริษัทฯได้รับจดหมายนัดฟังคำพิพากษา/หรือคำสั่งศาลฎีกาและคำสั่งศาลแพ่งกรุงเทพฯใต้ ในวันที่ 24 มีนาคม 2568
ความคืบหน้าคดีฟ้องร้อง คำพิพากษาศาลฎีกา (วนัที่24 มีนาคม 2568)
ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินแก่บริษัทฯ ดังนี้
• เงินต้น 48,994,565 บาท
• ดอกเบี้ย
o ช่วงที่ 1: ร้อยละ 7.5 ต่อปี (13 ธ.ค. 2561 –10 เม.ย. 2564) จ านวน 8,547,202.53 บาท
o ช่วงที่ 2: ร้อยละ 5 ต่อปี (11 เม.ย. 2564 –24 ม.ค.2568) จ านวน 9,288,832.59 บาท
• ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายชั้นอุทธรณ์ 479,888 บาท
ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้บริษัทฯ เป็นฝ่ายชนะคดี โดยโจทก์ต้องชำระเงินแก่บริษัทฯ รวมทั้งสิ้น 67,310,488.12 บาทซึ่งรวมถึงเงินต้นและดอกเบี้ยตามกฎหมาย
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2565 กรมบังคับคดีได้พิจารณาอนุมัติให้ทำการอายัดเงินในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ เลขที่4085540388 ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเทสโก้โลตัสฟอร์จูนทาวน์ จำนวน 126,186,989.36 บาท ตามคำร้องที่บริษัทฯ ได้ยื่นต่อศาลเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2565
ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณาของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์ การชนะคดีในครั้งนี้ไม่เพียงยืนยันถึงความถูกต้องของบริษัทฯ เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงและการวางแผนเชิงกลยุทธ์อย่างมืออาชีพของฝ่ายบริหาร ซึ่งคาดว่าจะส่งผลเชิงบวกต่อฐานะทางการเงินและศักยภาพในการเติบโตของบริษัทฯ ในระยะยาว
บริษัทฯ จะรายงานความคืบหน้าต่อไป หากมีเหตุการณ์ที่มีนัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ หรือสิทธิของผู้ถือหุ้น และจะดำเนินการแจ้งให้ทราบตามหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง