"Selective Play"
KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "Rebound" ต้าน 1195/1202จุด รับ 1175/1165 จุด ประเด็นสำคัญวันนี้ค่อนทางบวกต่อ SET 1.) ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นเฉลี่ย +1.7% หลังสหรัฐฯประกาศคว่ำบาตรอิหร่านเพิ่ม เป็นบวกต่อ SET ที่มีหุ้นพลังงานราว 10-11% ของมูลค่าตลาด ผสาน 2.) ภายใน การประกาศซื้อหุ้นคืน PTT จำนวนไม่เกิน 470 ล้านหุ้น (1.65% ของหุ้นทั้งหมด) วงเงิน 1.6 หมื่นล้านบาท น่าจะทำให้ตลาดเก็งภาพอาจจะเห็นหุ้นอื่นในกลุ่มดำเนินการคล้ายกัน อาทิ BCP, PTTGC, TOP ดังที่เกิดขึ้นภาพทยอยปรับเพิ่ม Payout Ratio ในกลุ่มธนาคาร 3.) กลุ่มธนาคาร+เช่าซื้อ มีภาพบวกแนวทางกระทรวงการคลังซื้อหนี้คืนที่ชัดเจนขึ้น เน้นหนี้ไม่มีหลักประกัน ยอดค้าง < 1 แสนบาทต่อคน (35% ของหนี้ NPLs ทั้งระบบ 1.2 ล้านล้านบาท) ประเมินเงินที่ใช้ 2.1-4.2 หมื่นล้านบาท อยู่ในกรอบที่ระดมทุนเอกชนได้ 4.) BOT กลับมาผ่อนคลายมาตรการ LTV อีกครั้งบวกต่อหุ้นอสังหา+ธนาคาร 5.) วันนี้ FTSE Rebalance ราคาปิดเป็น Net inflows +40 ล้านเหรียญฯ ประเมินหนุน SET Rebound หุ้นนำ คือ หุ้นกลุ่มพลังงาน ธนาคาร เช่าซื้อ และอสังหา ผสาน 10 หุ้น Deep Value วันนี้แนะนำ PTT, PTTEP, KTB
Daily outlook: "Rebound" ต้าน 1195/1202 จุด รับ 1175/1165 จุด
(*/-) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงเล็กน้อย อิง Dow jones -0.03%d-d, ดัชนี Nasdaq -0.33%d-d, S&P500 -0.22% โดยดัชนี S&P 500 Sector ปรับขึ้น หลักๆ คือ Energy, Utilities, Financials, Health care ฯลฯ หุ้นรายตัวที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ Accenture บริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีและธุรกิจระดับโลก - 7.26% หลังจากบริษัทเผยรัฐบาลทรัมป์มีนโยบายปรับลดการใช้จ่ายในหน่วยงานของรัฐบาลกลางนั้น ส่งผลให้มีการเลื่อนและยกเลิกการทำสัญญาใหม่ PDD Holding +3.98%, NVDIA +0.8% ฯลฯ
(*) US Econ : ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาในทิศทางที่ดีและ1ตอกย้ำความเชื่อว่ายังไม่เกิด Recession 1.)ยอดขายบ้านมือ 2 ในเดือน ก.พ. +4.2%m-m สวนทาง ตลาดคาดจะ-3% สู่ระดับ 4.26 ล้านยูนิต 2.)Fed สาขา Atlanta เปิดเผยแบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุด คาด US GDP 1Q25 -1.8%q-q 3.)ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ +2 พันรายจากสัปดาห์ก่อน ที่ 2.23 แสนราย ดีกว่าตลาดคาดที่ 2.24 แสนราย แย่กว่าค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ที่ 2.27 แสนราย prev. 2.21 แสนราย ตัวเลขแรงงานที่ออกมายังสะท้อนภาพภาคแรงงานสหรัฐฯประคองในลักษณะ Soft Landing (ความเสี่ยง Hard Landing จะเกิดขึ้นผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกเฉลี่ยจะสูงกว่าระดับ 4.0 แสนตำแหน่ง)
(*) Central Bank : เมื่อวานมีการประชุมหลายธนาคารกลางซึ่งส่วนใหญ่ยังคงอัตราดอกเบี้ยหรือปรับลดดอกเบี้ยตอกย้ำมุมมองวัฎจักรดอกเบี้ยขาลงมองบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง คือ 1.)ธนาคารกลางจีน(PBOC) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปี เอาไว้ที่ระดับ 3.1% และคงอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปี ที่ระดับ 3.6% 2.)ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) คงอัตราดอกเบี้ยที่ 4.5%ตามคาด 3.) ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ (SNB) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 0.25% (เป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2023) ยกเว้นธนาคารกลางบราซิลปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Selic) 1.00% สู่ 14.25% (สูงสุดในรอบ 8 ปี) เป็นการปรับขึ้นในอัตรา 1% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3
(*/+)War : ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ยูเครนและสหรัฐจะพบปะกันในวันที่ 24 มี.ค.ที่ซาอุดีอาระเบีย โดยทั้งสองฝ่ายจะหารือกันเกี่ยวกับการระงับการโจมตีระบบพลังงานของรัสเซียและยูเครน หลังจากต้นสัปดาห์ รัสเซียเห็นพ้องต้องกันที่จะทำหารหยุดยิงโครงสร้างด้านพลังงาน 30 วัน KSS มองเป็นพัฒนาการบวก มองเป็นจิตวิทยาลบต่อราคาพลังงาน และราคาทองคำ
(*) US Bond Yields & Dollar : US Bond Yields ปรับลงหลังประชุม Fed อายุ 2 ปี - 3 bps อยู่ที่ 3.97% เช่นเดียวกับอายุ 10 ปี ปรับลง -3 bps อยู่ที่ 4.23% ส่วน Dollar Index แกว่งตัวแข็งค่ามาที่ 103.2 จุด (มองเป็นปัจจัยหนุนค่าเงินในสกุลเอเซียอ่อนค่าวันนี้)
(+)Oil : ราคาน้ำมันดิบฟื้น อิง น้ำมันดิบ Brent +1.72%d-d ปิดที่ USD 72/barrelน้ำมันดิบ West Texas +1.73%d-d ปิดที่ USD 68.07/barrel แรงหนุนจากฝั่ง Supply คือ EIA เผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ลดลงมากว่าที่ตลาดคาดจะเพิ่มขึ้นเพียง 512,000 บาร์เรล มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTTEP, PT
(-) World Container Index (WCI) : WCI ปรับลงติดต่อกัน 10 สัปดาห์ ล่าสุด -4%w-w อยู่ที่ 2264 เหรียญต่อ 40 ft และปรับลงทุกเส้นทางเรือ ประเมินจิตวิทยาลบต่อหุ้นเรือ Container อาทิ RCL และบวกต่อกลุ่มให้บริการโลจิสติกส์ในลักษณะ Freight Forwarder ที่มีสัดส่วน Sea Freight สูง อาทิ SINO (90% ของรายได้), SONIC (62% ของรายได้) LEO (75% ของรายได้) และ WICE (34% ของรายได้)
(*) Natural Gas : ก๊าซธรรมชาติ NYMEX -6.40%d-d ปิดที่ USD3.975/MMBtu ปรับลงแรงรับข่าวทรัมป์ลงนามคำสั่งเพิ่มการผลิตทรัพยากร มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่มีต้นทุนในฝั่งก๊าซ คือ กลุ่มโรงไฟฟ้า เน้น GPSC (หุ้น Deep Value)
What happened in Thailand?
(-) SET: SET Index ปรับลง -7.95 จุด (-0.67%) ปิดที่ระดับ 1181.7 จุด มูลค่าการซื้อขาย 4.44 หมื่นล้านบาท หนุนจากหลังประชุม Fed โทน Neutral to Slightly Dovish" แม้คงดอกเบี้ย และคง Dot plot แต่ประกาศชะลอ Qualitative Tightening (QT) หุ้นกลุ่มที่หนุนดัชนีหลักๆคือ กลุ่มพลังงาน (PTT,PTTEP) กลุ่มธนาคาร (KBANK, KTB,BBL, TTB) ประเด็นบวกหนุนต่อเนื่องตั้งแต่ต้นสัปดาห์ตั้งแต่แนวคิดรัฐฯเสนอแผนซื้อหนี้ธนาคาร ตามด้วยวันนี้ BOT ผ่อนคลายกฎเกณฑ์ LTV ชั่วคราว กลุ่มที่กดดัชนีคือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA) คาดตลาดให้น้ำหนักใกล้ถึงช่วงคุณ Trump เริ่มใช้มาตรการกีดกันการค้าท้ายๆในส่วนภาษีเท่าเทียม (Reciprocal Tax) ต้น เม.ย. กลุ่มขนส่ง (AOT) ปรับลงหลังรีบาวน์แรงวานนี้ กลุ่ม ICT (ADVANC, TRUE)
(*/-) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติเป็นภาพไหลเข้า ขายหุ้น -84.1 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +86.3 ล้านเหรียญฯ Net Short TFEX ที่ -3,453 สัญญา เงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าเล็กๆสู่ 33.7 +/- บาท
(*/+) LTV: ธปท. ผ่อนคลาย LTV (loan to value) เป็น 100% สำหรับสินเชื่อปล่อยใหม่ ในช่วง 1 พค. 25 ถึง 30 มิ.ย. 26 คาดบวกต่อ
1.) กลุ่มอสังหา ฯ จากผลบวก i.) กลุ่มที่มี backlog รอโอนช่วง 2Q25-2Q26 ที่มาก เพราะจะได้ประโยชน์ทันทีจากนโยบาย LTV ใหม่ เพราะลูกค้ามีโอกาสกู้ผ่านง่ายขึ้น คือ AP, ORI และ SIRI ii.) กลุ่มที่มีสินค้า ready to move พร้อมโอนในช่วง 5 ไตรมาสข้างหน้า ทั้ง low-rise และ condo และโดยเฉพาะในกลุ่มกลาง-กลางบน เพราะมีโอกาสของ demand ส่วนเพิ่ม คือ AP และ SPALI เชิงกลยุทธ์ เน้น AP และ SPALI
2.) กลุ่มธนาคาร เราคาดว่าเป็นโอกาสในการเพิ่มลูกค้าสินเชื่อบ้านที่มีศักยภาพในการขอสินเชื่อให้กับทางธนาคารมากขึ้น โดยเรามองว่าธนาคารที่มีสินเชื่อบ้านมากจะได้ประโยชน์มากสุด ดังนี้ SCB (32%) > TTB (26%) > KTB (19%) > KBANK (17%) > KKP (16%) > TISCO (3%) เชิงกลยุทธ์ เน้น ธนาคารที่มีโอกาสเห็น Upside คุณภาพหนี้จากมาตรการรัฐฯสูงๆ อาทิ SCB, KTB, KBANK
(*/+) Household Debt: รมว. คลัง คาดแนวทางการพิจารณาซื้อหนี้คืนจากธนาคารน่าจะเน้นไปที่ลูกหนี้กลุ่มที่มีมูลหนี้ไม่เกิน 1 แสนบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และเป็นหนี้จากบัตรเครดิต และหนี้จากการบริโภค โดยกลุ่มนี้คิดเป็น 35% ของหนี้เสีย (NPL) ที่ 1.2 ล้านล้านบาทเราประเมิน
• อิงยอดหนี้กลุ่มคนที่มีหนี้ไม่มีหลักประกันต่อคน < 1 แสนบาท 35%ของหนี้ Npls ราว 1.2 ล้านล้านบาท คิดเป็นมูลค่า 4.2 แสนล้านบาท หากตั้งสมมติฐานเงินลงทุนซื้อหนี้ไม่มีหลักประกันโดยเฉลี่ย AMC ราว 5-10% ของมูลค่าหนี้ คิดเป็น 2.1-4.2 หมื่นล้านบาท (1.2 ล้าน * 35% * 5-10%) คาดการระดมทุนเม็ดเงินดังกล่าวจากเอกชนพอเป็นไปได้
• เราประเมินบวกต่อกลุ่มธนาคาร จาก Upside คุณภาพหนี้จากการดำเนินนโยบายดังกล่าว เนื่องจากหนี้ดังกล่าวส่วนใหญ่น่าจะตั้งสำรองครบแล้ว
• ส่วนกลุ่มอื่นที่มีโอกาสได้ประโยชน์ คือ กลุ่มติดตามหนี้ โดยเฉพาะ JMT CHAYO ที่มีความเชี่ยวชาญตามหนี้ไม่มีหลักประกัน ซึ่งคาดมีโอกาสมาจ้างสูง เนื่องจาก AMC รัฐส่วนใหญ่เน้นเชี่ยวชาญการตามหนี้ที่มีหลักประกัน และหุ้น Domestic อื่นๆ อาทิ กลุ่มเช่าซื้อลุ้นมาตรการที่มีโอกาสครอบคลุมชุดถัดไป และกลุ่มค้าปลีก เป็นต้น
เชิงกลยุทธ์ กลุ่มธนาคาร เน้นกลุ่มที่คาดหวัง Upside คุณภาพสินทรัพย์จากมาตรการดังกล่าวได้สูง คือ ธนาคารที่มีสินเชื่อไม่มีหลักประกันสูง อาทิ KTB (26% ของสินเชื่อ) KBANK (6%) TTB (6%) SCB (6%) กลุ่มติดตามหนี้+เช่าซื้อ เน้น JMT, MTC และ THANI กลุ่มค้าปลีก เน้น CPALL, CPAXT
(*/+) Treasury Stock: กระแสการซื้อหุ้นซื้อคืนกลับมาคึกคักขึ้น หลัง PTT ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) วงเงินสูงสุดไม่เกิน 16,000 ลบ. และจำนวนหุ้นซื้อคืนไม่เกิน 470 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 1.65% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด (implied ราคาหุ้นซื้อคืนราว 34 บาท/หุ้น) หลังจากนี้ คาดตลาดมีโอกาสเก็งกำไรหุ้น Big Cap ที่มีศักยภาพดำเนินการได้ อิงรายงานกลยุทธ์ "โอกาสลงทุนจากกระแสหุ้นทุนซื้อคืน" ที่เราออกวันที่ 29 ม.ค. 25 ซึ่งเราพบว่า มีหุ้น Big Cap หลักๆในกลุ่มพลังงาน ธนาคาร ปิโตรเคมีที่มีโอกาสเห็นการซื้อคืนระยะถัดไป อาทิ PTT, SCB, KBANK, KTB , BBL, PTTGC, TOP, BCP นอกจาก PTT, TTB ที่ประกาศโครงการดังกล่าว รวมถึงหุ้นธนาคารส่วนใหญ่ที่ปรับเพิ่มอัตราจ่ายเงินปันผลไปแล้ว รอติดตามหุ้นที่ยังประกาศในส่วน BCP, PTTGC, TOP
(*/+) Thai Export : วันนี้ 10:00 ติดตามตัวเลขยอดส่งออก เดือน ก.พ. คาด +8.0%y-y vs prev. 13.6% และนำเข้าในเดือนเดียวกัน คาด +5.4%y-y vs prev. 7.9% KSS ประเมินมีโอกาสที่ตัวเลขจะออกมาดีกว่าคาด เนื่องจาก 1.)ยอดคำสั่งส่งออกไต้หวัน ในเดือน ก.พ. +31.1% ขยายตัวดีกว่าคาดที่ 24.3% โดยเฉพาะสินค้าหมวดอิเล็กทรอกนิกส์ +48.5% ฯลฯ 2.) ยอดส่งออก (Non oil export) สิงคโปร์ +7.6%y-y โดยยอดส่งออกสิงคโปร มีความสัมพันธ์ไปในทางเดียวกันกับยอดส่งออกไทยจากสถิติในอดีต โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกหนุนหุ้นกลุ่มส่งออก Top pick ของกลุ่ม คือ CPF (TP25F 27.40) ส่วนหุ้นที่อยู่โซนล่าง ที่น่าสนใจ อาทิ GFPT, AAI, ITC แนะนำ Trading
(*) FTSE Rebalance: วันนี้ (21 มี.ค.) FTSE Rebalance มีผล ราคาปิด คาด Net inflow ราว +40 ล้านเหรียญฯ
Standard index (Large-Mid cap)
เข้า : - ออก : EA, IRPC
Small cap
เข้า : CCET, EA, IRPC, SKY, WHART คาดเม็ดเงินเข้าไหลฉลี่ยหุ้น WHART, SKY, TOA, CCET และหากรวมกับหุ้นที่บางส่วน 2-3 บริษัท ที่น่าจะมีการเพิ่มน้ำหนักหุ้นละ +8 ถึง +3 ล้านเหรียญฯ
ออก : BYD, LPN คาดลดน้ำหนักราว -1.5 ถึง -0.5 ล้านเหรียญฯ
Micro cap
เข้า : ADVICE, BYD, KBS, LHSC, LPN, MONO, PCE, SPA, SISB, VIBHA
ออก : FTREIT, JR, LALIN, NTV, NRF, KISS, SMIT, SENA, SGP, SKY, SVOA, TAN, TMT, TTCL, UNIQ, WHART
(*) To monitor: ปัจจัยภายในช่วงที่เหลือสัปดาห์นี้ - สัปดาห์หน้า ติดตาม
24-25 มี.ค. ติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
25 มี.ค. ประชุม ครม. ติดตามมาตรการ "บ้านหลังแรก" + ร่างกฎหมาย อาทิ ร่าง พ.ร.บ. หวยเกษียณ , ร่าง พ.ร.บ. ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC) , รายงานนักท่องเที่ยวต่างชาติประจำสัปดาห์
27 มี.ค. ติดตามงานสัมมนา AI Revolution "a New Paradigm of New World Economy"
Daily Strategy : PTT, PTTEP, KTB
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "Rebound" ฝั่งต่างประเทศตลาดยังรอประเด็นใหม่ โดยเฉพาะรายงานเกี่ยวข้องเศรษฐกิจสหรัฐฯ สัปดาห์หน้า คือ PMI และเงินเฟ้อ PCE ขณะที่วันนี้แรงขับเคลื่อนหุ้น Big Cap ชัดเจน 1.) กลุ่มพลังงาน ราคาน้ำมันดีดตัวตอบรับสหรัฐฯคว่ำบาตรอิหร่าน ผสาน จิตวิทยาบวก PTT ประกาศซื้อหุ้นคืน 2.) กลุ่มธนาคาร เช่าซื้อ หนุนจากมาตรการซื้อหนี้คืนที่แนวทางดูชัดเจนขึ้น และ BOT ออกผ่อนคลายมาตรการ LTV 3.) กลุ่มอสังหาฯ จากแรงหนุนมาตาการ LTV และ 4.) ตลาดหุ้นยังอยู่ในโซน Deep Value ทำให้หุ้น 10 Deep Value ที่เราแนะนำยังคาดเป็นเป้าหมายหลักตลาดต่อเนื่อง
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, BJC, HMPRO, ADVANC, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (BTS, VGI, BJC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงต่อในปี 2025 (BA, AAV, GULF, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
10 หุ้น Deep Value ที่มีความมั่นคงระยะ 2-3ปีข้างหน้า และอยู่ในโซนลงทุนกลาง-ยาว (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO, KBANK, BBL, AOT)
• MAR25 Stock Picks: AMATA, AP, BA, BH, BTS, CPALL, MTC
• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
Strategy Update :SET 50/100 interim Rebalance
การเปลี่ยนแปลง SET50/SET100 ระหว่างกาล Update สืบเนื่องจากกรณี GULF, INTUCH จะมีการควบรวมเป็นบริษัทใหม่ คือ GULF Development ซึ่งจะเข้าตลาดวันที่ 3 เม.ย. ทำให้มีการนำหุ้นเข้า SET50/SET100 ใหม่ในระหว่างกาล ดัชนีละ 1บริษัท KSS ได้ประเมินหุ้นที่มีโอกาสเข้า SET50 และ SET100 ใหม่ผลจากประเด็นนี้
SET50 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่ระหว่างกาล Rebalance สิ้นวันที่ 2 เมย คือ VGI (โอกาสเข้า 95%)
SET100 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่จะแข่งกันระหว่าง MOSHI (โอกาส 50%), THCOM (โอกาส 30%), KAMART (โอกาส 20%)
กลยุทธ์ : เราคาดหุ้นที่ถูกนำเข้า SET50/100 จะถูกเพิ่มน้ำหนักจาก Passive Fund เป็นบวกต่อราคาหุ้น โดยในส่วน SET 50 เราแนะนำเก็งกำไร VGI และ BTS บ.แม่ (ถือหุ้น 57.1%) ส่วน SET100 แนะนำเก็งกำไร MOSHI
Strategy Update : ThaiESG Plays
กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการจัดตั้ง กองทุน ThaiESG กองที่ 2 คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในเดือนมีนาคม 2568 โดยมีวงเงินประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับกองทุน LTF ที่ครบอายุไปแล้ว ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนและสิทธิประโยชน์ยังอยู่ระหว่างการหารือ ซึ่งอาจแตกต่างจากกองทุน ThaiESG เดิม แต่ยังคงเน้นลงทุนในประเทศ โดยเราประเมินว่าการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากจะช่วยชะลอแรงขายจาก LTF เดิมและเสริมสภาพคล่องใหม่เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนที่ถือ LTF ระยะยาว ซึ่งมีต้นทุนเฉลี่ยที่ 1,620-1,640 จุด
เรามองปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามซึ่งอาจส่งผลบวกต่อตลาดในระยะกลางถึงยาว ได้แก่ การขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากมีการเพิ่มเพดานลดหย่อนของ ThaiESG จาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท เท่ากับ LTF เดิม จะช่วยกระตุ้นการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นในตลาดมากขึ้น อีกทั้งยังมีการหารือเรื่อง การลงทุนในหุ้นไทย 100% และ การขยายขอบเขตของหุ้น ESG เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนและกระจายความเสี่ยง KSS มองว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการขาดเงินทุนระยะยาวจาก LTF ที่หมดสิทธิประโยชน์ หากภาครัฐมีมาตรการชัดเจนเกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศ จะช่วยให้ SET ค่อย ๆ ฟื้นตัว
KSS ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการสะสมหุ้น เนื่องจาก SET ยังอยู่ใน Deep Value Zone โดยมีค่า PER ปี 2568 อยู่ที่ 13.5 เท่า และหากไม่นับรวมหุ้น DELTA ค่า PER จะอยู่ที่เพียง 11.5 เท่า ปัจจุบันมีหุ้นที่เข้าข่ายการลงทุนระยะยาว ได้แก่ 300 บริษัทที่มี PER ต่ำกว่า 12 เท่า, 435 บริษัทที่ให้ผลตอบแทนปันผลสูงกว่า 3%, 548 บริษัทที่มี PBV ต่ำกว่า 1 เท่า และ 145 บริษัทที่มีคุณสมบัติครบทั้งสามข้อ KSS แนะนำ 7 หุ้น Deep Value ที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว ได้แก่ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP และ HMPRO พร้อมกันนี้ยังแนะนำอีก 5 บริษัท ที่เข้าเงื่อนไข PER < 12X, PBV < 1X และ Dividend Yield > 3% ในกลุ่มธนาคาร KBANK, KTB, BBL ผสาน อสังหาริมทรัพย์ ที่เริ่มมีปัจจัยหนุนเชิงบวก เช่น AP และ SIRI
Strategy Update : Summer Plays
กระแสการเก็งกำไรในหุ้นธีม "หน้าร้อน" กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง ล่าสุดกรมอุตุนิยมวิทยาเผยว่าในปีนี้ จะเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนในไทยสัปดาห์ที่ 4 ของเดือน ก.พ. 25 - กลางเดือน พ.ค. 25 ภายใต้คาดการณ์กรมอุตุนิยมวิทยาปี 2025F คาดอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยบริเวณประเทศไทยตอนบน 35 – 36 องศาเซลเซียส แม้จะต่ำกว่าฤดูร้อนปี 2024 อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 37.5 องศาเซลเซียส แต่ยังใกล้เคียงค่าเฉลี่ยฤดูร้อนปกติที่ 35.4 องศาเซลเซียส แต่จุดที่น่าสนใจคือ ราคาหุ้นหลายตัวมี Deep Discounts จากภาวะตลาดที่ผันผวน สร้างโอกาสระยะยาวด้วยอีกทางหนึ่ง ทีมกลยุทธ์คาด KSS อากาศที่ร้อนสูงขึ้น จะหนุน
1.) การบริโภคเครื่องดื่มที่มีความคึกคักขึ้น
2.) ประชาชนจะมีความต้องการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งพัดลม, แอร์ เพื่อบรรเทาผลกระทบอากาศร้อน
3.) การทำงานก่อสร้างจะเร่งส่งมอบได้มากกว่าช่วงหน้าฝน
4.) การท่องเที่ยวทะเลที่เป็นจุดเด่นของไทยมักคึกคัก
ภาพรวมดังกล่าวที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี มักหนุนกระแสหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์อาทิ กลุ่ม มีภาพถูกเก็งกำไรในช่วงฤดูร้อน อาทิ กลุ่มเครื่องดื่ม กลุ่มค้าปลีกที่เน้นขายเครื่องใช้ไฟฟ้าบรรเทาอากาศร้อน กลุ่มรับเหมา และกลุ่มโรงแรม อิงผลการศึกษาผลตอบแทนย้อนหลัง 9 ปี (ไม่รวมปีที่เผชิญ Covid ในปี 2020 ที่ผลตอบแทนรายกลุ่มกระทบความเสี่ยงตลาด) ช่วงเวลาที่ดีสุดในการลงทุน คือ การลงทุนในช่วงเข้าสู่ฤดูร้อน และขายทำกำไรหลังจากนั้น 1 เดือน โดยช่วงปัจจุบัน คือ ควรเริ่มสะสมหุ้นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของ ก.พ. 25 และขายทำกำไรช่วงปลาย มี.ค. 25 - ต้น เม.ย. 25 โดยกลุ่มโรงแรม (ความน่าจะเป็นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 87.5% ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.7%) ตามด้วยกลุ่มรับเหมา (62.5%, 1.6%) กลุ่มค้าปลีก (50%, 1.2%) สูงกว่า SET (50%, 1.1%) ขณะที่ภาพรายบริษัท คือ CRC(100%, 5.3%) ICHI (87.5%, 3.7%) SAPPE (75%, 7.2%) CENTEL (75%, 4.4%) MINT (62.5%, 3.3%) GLOBAL (62.5%, 2.3%) HMPRO (50%, 4.9%) DOHOME (50%, 2.3%)
ในเชิงกลยุทธ์ Summer Plays ปี 2025F KSS แนะนำลงทุนเน้นไปที่กลุ่มที่มีหุ้นอยู่ในโซนฐาน Valuation ไม่แพง ได้แก่ CRC(TP Con-40.6) ICHI (TP25F-17) SAPPE (TP25F-70) CENTEL (TP25F-40) MINT(TP25F-38) HMPRO (TP25F-13.5) และหุ้น Turn around ที่คาดได้ประโยชน์จากหน้าร้อน คือ หุ้นเครื่องดื่ม คือ MALEE(TP25F – 17.7)
Strategy Update: ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน SET UPDATE: เข้าสู่จุด Deep Value เชิงพื้นฐาน แนะนำ 7 หุ้นมูลค่าเพื่อการลงทุนระยะยาว แนะนำ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO
Key Ideas: SET ปรับตัวลงแรง -9.86%ytd และอยู่ใน "Value Zone" ดังที่เคยกล่าวในช่วงก่อนหน้า ว่า SET มี Current Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.56% สูงกว่า AVG + 1.5 S.D. (4.53%) ที่เป็นจุดกลับตัวตลาดในรอบ 10ปีที่ผ่านมา แต่เพื่อความเด่นชัด ในมิติอื่นๆ ทีมกลยุทธ์ KSS จึงตรวจสอบค่าที่สะท้อนภาวะ "Value Market" ในมิติอื่นๆ อีก 4มิติ พบว่า ตลาดหุ้นไทย ควรค่าแก่การลงทุนระยะยาว และเป็น Deep Value Zone อย่างแท้จริง
1.) Trailing PER หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.42 vs ปัจจุบัน -0.37 "สะท้อนว่าค่อนข้าง Value"
2.) PBV หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.86 vs ปัจจุบัน -1.97 "Deep Value" มาก
3.) Invert Dividend Yield หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -1.01 vs ปัจจุบัน -1.58 "Deep Value" มาก
4.) GDP ที่ตลาดคาดการณ์ ในปีนั้นๆ ณ จุดกลับตัวหลังปี 2011 Ex Crisis เฉลี่ย 2.36% vs ปัจจุบัน 3% สะท้อนภาพตลาดยังมองการเติบโต ขณะที่ Outlook ปัจจุบันไทย เราเริ่มเห็นแนวทางการสร้าง S Curve ใหม่ๆ
เราประเมินผลกระทบรอบนี้ เกิดจาก แรงขาย Panic Sell จากการปรับลดน้ำหนัก DELTA และแรงขายกองทุน LTF ขณะที่ระดับ SET ตั้งแต่ต่ำกว่า 1300 จุด เริ่มเห็นเม็ดเงินใหม่ที่มีโอกาสเข้ามา เรามองแนวโน้มตลาด: ช่วงสร้างฐาน (Consolidation Phase) : ระดับแนวรับเชิงพื้นฐานที่กรอบ 1270-1250จุด ขณะที่แนวรับเชิงโครงสร้างเทคนิคระยะยาวของรายเดือนจากฐานปี 2008 สู่ปัจจุบัน อยู่ใกล้เคียงกันที่ 1225 จุด ซึ่งเป็นโซนเหมาะสม สำหรับ Domestic Long Term Fund ที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย หรือ นักลงทุนที่ต้องการการออมในระยะยาว
Strategy : KSS คัดเลือกหุ้นพื้นฐานดีที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Value ด้วยเงื่อนไขใกล้เคียง SET และธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งภายในภายนอก และพร้อมเติบโตในอีก 3ปีข้างหน้า ใน "Theme 7 Value Stocks" ดังนี้ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO
Strategy Update: FTSE Rebalance
FTSE GEIS Semi-Annual Review Update มีผลราคาปิด 21 มี.ค. มีหุ้นไทย เข้า/ออก ดังนี้
Standard index (Large-Mid cap)
เข้า : - ออก : EA, IRPC
Small cap
เข้า : CCET, EA, IRPC, SKY, WHART
ออก : BYD, LPN
Micro cap
เข้า : ADVICE, BYD, KBS, LHSC, LPN, MONO, PCE, SPA, SISB, VIBHA
ออก : FTREIT, JR, LALIN, NTV, NRF, KISS, SMIT, SENA, SGP, SKY, SVOA, TAN, TMT, TTCL, UNIQ, WHART
• PTT (Neutral, TP25F-32.5): เราคงคำแนะนำ Neutral ต่อ PTT ที่ TP25F = 32.50 บาท/หุ้น มองโครงการซื้อหุ้นคืนจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นในระยะสั้น แต่ไม่ได้สร้าง upside ต่อ EPS และ ROE รวมถึงเปลี่ยนภาพรวมธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยแนวโน้มกำไร 2025-27F เฉลี่ยทรงตัว จากการฟื้นตัวของธุรกิจก๊าซฯ และปิโตรเคมี เพียงชดเชยธุรกิจ E&P ที่อัตรากำไรลดลงตามราคาน้ำมันดิบที่ supply ตึงตัวน้อยลง ทำให้ขาด catalyst ไม่เด่นเท่าบริษัทลูกอย่างโรงกลั่นและปิโตรเคมีที่อยู่ในช่วงฟื้นตัว
• Residential Property (Neutral) : มีมุมมอง positive ต่อการที่ ธปท. ผ่อนคลาย LTV (loan to value) เป็น 100% สำหรับสินเชื่อปล่อยใหม่ ในช่วง 1 พค. 2025 ถึง 30 มิ.ย. 2026 เพราะ "เป็น positive surprise ตลาด และน่าจะมีผลต่อการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้กลุ่มที่ได้ประโยชน์คือ i) กลุ่มที่มี backlog รอโอนช่วง 2Q25-2Q26 ที่มาก เพราะจะได้ประโยชน์ทันทีจากนโยบาย LTV ใหม่ เพราะลูกค้ามีโอกาสกู้ผ่านง่ายขึ้น คือ AP, ORI และ SIRI และ ii) กลุ่มที่มีสินค้า ready to move พร้อมโอนในช่วง 5 ไตรมาสข้างหน้า ทั้ง low-rise และ condo และโดยเฉพาะในกลุ่มกลาง-กลางบน เพราะมีโอกาสของ demand ส่วนเพิ่ม คือ AP และ SPALI เราคง Neutral sector rating มองการผ่อนคลาย LTV ชั่วคราวจะช่วยจำกัด downside กำไรสุทธิกลุ่มฯ ปี 2025F ของเราที่ 29.2 พันลบ. (+5% y-y) ส่วนโอกาสของ upside ต้องดูแนวโน้ม presale ในช่วง 2Q-4Q25F ประกอบ ซึ่งหากกลับมาโตสูงถึงจะมองโอกาสของ upside โดย "คาด AP, SIRI และ SPALI ได้ประโยชน์จากมาตรการผ่อนเกณฑ์ LTV มากกว่าบริษัทอื่นในกลุ่มฯ" เราคง SIRI (TP = 2.34) เป็น top pick และปรับ AP (TP = 10.40) ขึ้นมาเป็นอีกหนึ่ง top pick ในปี 2025F
• Bank & Finance (Neutral & Bullish) : เรามีมุมมอง slightly positive sentiment ต่อกลุ่ม Bank และ Consumer Finance ต่อข่าวซื้อหนี้ประชาชนกลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันและบัตรเครดิตที่มีมูลหนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาท เพราะเป็นการเพิ่มทางเลือกในการจัดการหนี้เสีย (NPL) ให้กับสถาบันการเงิน โดยสถาบันการเงินที่มีสินเชื่อประเภทดังกล่าวมากจะได้ประโยชน์มากสุด กลุ่มธนาคารคือ KTB (26%) และกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์คือ AEONTS (92%) สำหรับประเด็นเรื่องการให้ลูกหนี้ NPL กลุ่มนี้หลุดจากการติดแบล็คลิสต์เครดิตบูโร เรามองว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย เพราะจะทำให้เกิด Moral Hazard และประโยชน์ของข้อมูลเครดิตบูโรลดลง เรามองว่าโอกาสที่เป็นไปได้คือ การติดรหัสพิเศษให้กับลูกหนี้กลุ่มนี้ เหมือนกับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19
2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility
Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE
Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI