Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี : KSS Daily Strategy

508

 

 

"Domestic Play"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "สร้างฐาน" ต้าน 1189/1195จุด รับ 1165/1156 จุด ปัจจัยกำหนดทิศทางตลาดวันนี้ 1) สงครามการค้าสหรัฐฯ มีสัญญาณผ่อนคลายเช้าวันนี้ หลัง รมว. พาณิชย์สหรัฐฯส่งสัญญาณเจรจาแบบประนีประนอม หนุน Dow Jones Futures ฟื้นราวๆ +0.7% 2) ติดตามการแถลงสุนทรพจน์คุณ Trump คืนวันนี้ และรายงานเศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่าฐานปัจจุบันที่หลายจุดเริ่มอ่อนลงจะรองรับความเสี่ยงนโยบาย Trump ได้ระดับใด วันนีจับตา PMI ภาคบริการ (ISM) ตลาดคาด 53 จุด vs prev. 52.8 จุด vs Flash PMI บริการ (S&P) ออกมา 49.7 จุด vs prev. 52.9 จุด ทำให้เราประเมินยังมีความเสี่ยง 3) ภายในติดตามเงินเฟ้อ ก.พ. 25 ตลาดคาด +1.1%y-y vs prev. 1.32% เราประเมินเป็นไปได้จากทิศทางราคาน้ำมัน ก.พ. ลดลง y-y แต่มีข้อดีที่เปิดช่องให้ กนง.มีช่องว่างลดดอกเบี้ยได้ 4) SET อยู่ในโซน Deep Value มี ERP ที่ ใน AVG > + 1S.D. ผสาน จิตวิทยาลงทุนมาตการกีดกันการค้าดีขึ้นบ้าง คาดตลาดเริ่มสร้างฐานได้ หุ้นนำวันนี้ กลุ่มที่ยังแนะนำสะสมระยะกลาง-ยาว คือ 7 Deep Value, หุ้นที่มีประเด็นหนุนเฉพาะตัว วันนี้แนะนำ BH, BTS , ERW

 


Daily outlook: "สร้างฐาน" ต้าน 1189/1195 จุด รับ 1178/1173 จุด

What happened around the world?

(-)US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐปรับต่อจากประเด็นสหรัฐเริ่มเก็บภาษีนำเข้า แคนาดา เม็กซิโก 25% จีน + 10% เมื่อวานวันนี้ Dow jones -1.55%d-d, ดัชนี Nasdaq -0.35%d-d, S&P500 -1.22% โดยดัชนี S&P 500 Sector ปรับลงทุก Sector ยกเว้นเพียงกลุ่ม IT ส่วนกลุ่มที่ปรับลงแรงคือ Financials, Industrials, Consumer staples, Utilities ฯลฯ โดยหุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าเม็กซิโก แคนาดา คือ ผู้ผลิตรถยนต์ คือ GM -4.6%, Ford Motor -2.9% Target บริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐฯ -3% หลังจากบริษัทคาดการณ์ว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเพียง 1% ในงวด 1Q25 ต่ำกว่าตลาดคาด +2.6% และได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษทำให้มีโอกาสต้องปรับขึ้นราคาสินค้า แต่หุ้นที่ปรับขึ้นคือ Microstrategy +9.66% หนุนจากราคาเหรียญ Crypto ปรับขึ้น อิง Bitcoin + 1.7% แตะ 8.7 หมื่น$, Super micro computer +8.5% NVDIA +1.7% , Alphabet +2.34% ฯลฯ

(*/+) US Stocks Futures : เช้านี้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐล่วงหน้า (Futures) ทั้ง S&P500 Futures และ Dow jones Futures ปรับขึ้นเฉลี่ย +0.7% รับข่าวรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ Howard Lutnick ให้สัมภาษณ์กับ Fox Business เผย การประนีประนอมประเด็น Tariff มีโอกาสเป็นไปได้ โดยสหรัฐ มีโอกาสที่จะพบแคนาดาและเม็กซิโก เพื่อหารือ และหาจุดตรงกลาง ประเด็น Tariff (Krungsri research ประเมินผลกระทบการขึ้นภาษีเมื่อวาน ผลกระทบต่อการส่งออกสูงสุดจะเกิดขึ้นในเม็กซิโก (การส่งออกไปยังสหรัฐฯ คิดเป็น 79.6% ของการส่งออกทั้งหมด) และแคนาดา (77.6%) เช่นเดียวกับสหรัฐเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยรวม KSS ประเมินปัจจัยดังกล่าวเป็นจิตวิทยาบวกต่อตลาดหุ้นเอเชีย และ SET Index เช้านี้

(*/+) China Meeting : สรุปประเด็นสำคัญการประชุม "Two Sessions 2025" เมื่อวาน 1.) จีนชูภาพลักษณ์เป็นเสาหลักของเศรษฐกิจโลก 2.)การตอบโต้ภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าเกษตรและอาหารจากสหรัฐฯ 10-15% และขึ้นบัญชีควบคุมการส่งออกของ 25 บริษัทสหรัฐฯ 3.) จีนเตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจ สนับสนุนธุรกิจ และรับมือกับมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ 4.)ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะบริษัท DeepSeek 5.) จีนพยายามสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับยุโรป โดยรวมแนะนำให้ต้องติดตามการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ต่อวันนี้ และจะมีการประชุมต่อเนื่องไปถึง 11 มี.ค. โดยรวมมองเป็นบวกต่อทิศทางเศรษฐกิจจีน และบวกต่อหุ้นกลุ่ม China play อาทิ SCGP,SCC, PTTGC

(*/+) US Econ : 1.) ยอดขายรถยนต์รวมในประเทศ เดือน ก.พ. เร่งขึ้นมาที่ 2.95 ล้านคัน prev. 2.83 ล้านคัน 2.) ยอดขายรถบรรทุกรวม ในเดือนเดียวกัน เร่งขึ้น มาที่ 13.05 ล้านคัน prev. 12.67 ล้านคัน โดยยอดขายรถยนต์สหรัฐที่เร่งขึ้น สะท้อนถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐที่แข็งแกร่งและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

(*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ 5 มี.ค. ISM PMI ภาคบริการ ก.พ. คาด 53.0 จุด vs prev. 52.8 จุด. 7 มี.ค. การจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐ เดือน ก.พ. คาด 1.55 แสนราย vs prev. 1.43 แสนราย, อัตราการว่างงาน ก.พ. คาด 4.0% เท่า prev. ฝั่งยุโรป 6 มี.ค. การประชุม ECB คาดปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย -25 bps สู่ 2.5% ฝั่งจีน 5 มี.ค. Caixin PMI ภาคบริการ คาด 51.0 จุด เท่า prev.

(*) US Bond Yields & Dollar : US Bond Yields ฟื้นตัวในทิศทางขาลง อายุ 2 ปี +3 bps มาที่ 3.98% และอายุ 10 ปีขึ้น +10 bps อยู่ที่ 4.15% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางเดียวกัน) ระยะสั้นมองเป็นจิตวิทยบวกต่อหุ้นธนาคาร กลุ่มประกันชีวิต TLI, BLA แต่ในระยะกลาง KSS ยังคงมองทิศทาง Bond yields เป็นทิศทางขาลง ทำให้มองบวกระยะยาวต่อหุ้นกลุ่มกลุ่มการเงิน MTC กลุ่มโรงไฟฟ้า GPSC กลุ่มหนี้สูง MINT ,CPAXT ส่วน Dollar Index อ่อนค่าลงต่อมาบริเวณ 105.5 จุด

(+) Refinery: ค่าการกลั่นปรับขึ้นต่อ ค่าการกลั่น ณ โรงกลั่นสิงคโปร์ ปิดล่าสุด 4มี.ค. พลิกเพิ่มขึ้น (+11%d-d หรือ +0.6$ จากวันก่อน) ปิดที่ระดับ 5.98$/bbl prev. 5.39$/bbl เป็นสัญญาณบวกหุ้นกลุ่มโรงกลั่น เน้น SPRC BCP

(-)Oil : ราคาน้ำมันดิบปรับลงต่อ อิง Brent -0.81%d-d ปิดที่ USD 71.04/barrel, น้ำมันดิบ West Texas -0.60%d-d ปิดที่ USD 67.85/barrel แรงกดดันหลักมาจากประเด็นเดิมที่เกิดขึ้นช่วงต้นสัปดาห์คือ ความกังวล Supply น้ำมันจะเพิ่มขึ้น หลัง OPEC+ จะเพิ่มการผลิตน้ำมันตามแผนในเดือน เม.ย. ราว 1.38 แสนบาร์เรลต่อวัน โดยรวมยังคงมองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP กลุ่มโรงกลั่น ในทางตรงข้ามเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่ม Anticommodity อาทิ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ฯลฯ และกลุ่มสายการบินที่มีต้นทุนมาจากน้ำมัน อาทิ AAV, BA

 

What happened in Thailand?

(-) SET: SET Index ปรับลงต่อ -10.77 จุด -0.91% ปิด 1177.64 จุด มูลค่าการซื้อ-ขายที่ 4.18 หมื่นล้านบาท แรงกดดันหลักมาจาก ความกังวลสงครามการค้า ระหว่างสหรัฐ กับ จีน และสหรัฐแคนาดา เม็กซิโก สอดคล้องกับตลาดหุ้นในฝั่งเอเชีย โดย Sector กลุ่มที่ปรับลงและกดดัชนีคือ กลุ่มพลังงาน (GULF, PTTEP) กังวลผลกระทบสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจ ลดความต้องการใช้น้ำมัน ส่วน GULF น่าจะเป็นภาพการขาดปัจจัยหนุน ทำให้ตลาดเลือกลดสถานะก่อนควบรวม กลุ่มขนส่ง (AOT) แรงกดดันเพิ่มเติมจากการขยายเวลาชำระหนี้ให้กับ King Power ทำให้ตลาดกังวลประเด็นดังกล่าวเพิ่มขึ้น กลุ่ม ICT ( ADVANC, TRUE) จิตวิทยาลบกรณีที่มีนักวิชาการเปิดเวทีสัมนากล่าวถึง การกำกับดูแล กสทช. หลังผู้ประกอบการหลักกลุ่มควบรวมกัน กลุ่ม BANK (KBANK) ประเมินจิตวิทยาลบโยงมาจากกรณี King Power ในทางตรงข้ามกลุ่มหนุนดัชนีนำโดย กลุ่มประกันชีวิต (TLI) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (STECON) คาดตลาดเก็งภาพผ่านจุดต่ำสุด กลุ่มปิโตรเคมี (PTTGC) Spread ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเริ่มฟื้นตัว

(-) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติเป็นภาพไหลออก ขายหุ้น -26.2 ล้านเหรียญฯ ขายพันธบัตร -68.8 ล้านเหรียญฯ Net Long TFEX ที่ 9,866 สัญญา เงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่าระดับ 33.7 +/- บาท

(*/+) Alocohol Drinks: บอร์ดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ อนุมัติการขายเหล้า-เบียร์ ในวันสำคัญศาสนาได้บางพื้นที่ อาทิ โรงแรม สถานที่บริการต่างๆ ไม่ให้กระทบการท่องเที่ยว มองบวกต่อหุ้นท่องเที่ยว ERW, MINT หุ้นที่มีธุรกิจเชื่อมโยง อาทิ แพ็คเกจจิ้ง BJC และรับจ้างขนส่งสินค้า CBG

(-) TH Tourism: จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติวันที่ 24 ก.พ. – 2 มี.ค. ลดลง -12.4%w-w เป็นภาพลดลง w-w ตลอดทั้งเดือน ก.พ. 25 ประเมินจิตวิทยาลบระยะสั้นต่อหุ้นภาคบริการ ท่องเที่ยว อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจำนวนนักท่อเที่ยวเฉลี่ยต่อวัน YTD ที่สูงราว 1.15 แสนคน แม้ช่วงที่เหลือของปีจะคาบเกี่ยวช่วงนอกฤดูกาลระหว่าง เม.ย. - ก.ย. แต่หากอิงมาตรการรัฐฯที่เร่งสร้างจุดเด่นดึงนักท่อเที่ยวแต่ละเดือน เราประเมินยังมีโอกาสที่นักท่องเที่ยวทั้งปียังใกล้เคียงตลาดประเมิน 38 ล้านคน หากหุ้นอ่อนลงยังแนะนำทยอยสะสม หุ้นในกลุ่มดังกล่าว อาทิ ERW MINT CPALL CPAXT

(*) Easy E-Receipt: บริษัท เดอะวันเซ็นทรัล จำกัด ได้เปิดเผยเทรนด์การใช้จ่ายจากมาตรการ Easy E-Receipt ปี 2025 สินค้าที่ได้รับความนิยมสูง คือ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน อาทิ เครื่องฟอกอากาศ เครื่องทำน้ำอุน และเครื่องซักผ้า กลุ่มถัดมา คือ สินค้าแฟชั่น ตามด้วยสินค้าความงาม เราประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นค้าปลีกที่จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าสูงๆ อาทิ HMPRO

(*) To monitor: ปัจจัยภายในสัปดาห์นี้ ได้แก่

1.) 5 มี.ค. รายงานเงินเฟ้อ CPI ก.พ. 25 เงินเฟ้อทั่วไป ไม่มีคาด vs prev. +1.32%y-y, 0.1%m-m ส่วนเงินเฟ้อ CPI พื้นฐาน ไม่มีคาด vs prev. 0.83%y-y

2.) 7-13 มี.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.พ. 25 ไม่มีคาด vs prev. 59.0 จุด

 

Daily Strategy : BH, ERW, BTS

ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "สร้างฐาน" ประเมินตลาดวันนี้น่าจะยังอยู่ในช่วงการสร้างฐาน โดยปัจจัยบวก คือ สัญญาณมาตรการกีดกันการค้าสหรัฐฯที่บวกขึ้นบ้างจากท่าที รมว. พาณิชย์ แต่จุดหักล้างอาจอยู่ที่ภาพภายใน ทั้งประเด็นเฉพาตัว AOT ที่อาจนำมาความกังวลมาที่กลุ่มธนาคาร และฝั่งภาคท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวไม่แรงเท่าที่ตลาดคาดหวัง ประเมินหุ้นนำวันนี้ คือ หุ้นนำวันนี้ยังอยู่ในธีม Domestic กลุ่มที่ยังแนะนำสะสมระยะกลาง-ยาว คือ 7 Deep Value(CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO), หุ้นที่มีประเด็นหนุนเฉพาะตัว

 

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, BJC, HMPRO, ADVANC, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (BTS, VGI, BJC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงต่อในปี 2025 (BA, AAV, GULF, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
กลุ่ม Value ที่คาดมีโอกาสซื้อหุ้นคืน (PTT , SCB , KBANK , KTB , BBL , BCP)
7 หุ้นที่อยู่ในโซนลงทุนกลาง-ยาว (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO)

• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

 

 

Strategy Update :SET 50/100 interim Rebalance

การเปลี่ยนแปลง SET50/SET100 ระหว่างกาล Update สืบเนื่องจากกรณี GULF, INTUCH จะมีการควบรวมเป็นบริษัทใหม่ คือ GULF Development ซึ่งจะเข้าตลาดวันที่ 3 เม.ย. ทำให้มีการนำหุ้นเข้า SET50/SET100 ใหม่ในระหว่างกาล ดัชนีละ 1บริษัท KSS ได้ประเมินหุ้นที่มีโอกาสเข้า SET50 และ SET100 ใหม่ผลจากประเด็นนี้

SET50 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่ระหว่างกาล Rebalance สิ้นวันที่ 2 เมย คือ VGI (โอกาสเข้า 95%)

SET100 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่จะแข่งกันระหว่าง MOSHI (โอกาส 50%), THCOM (โอกาส 30%), KAMART (โอกาส 20%)

กลยุทธ์ : เราคาดหุ้นที่ถูกนำเข้า SET50/100 จะถูกเพิ่มน้ำหนักจาก Passive Fund เป็นบวกต่อราคาหุ้น โดยในส่วน SET 50 เราแนะนำเก็งกำไร VGI และ BTS บ.แม่ (ถือหุ้น 57.1%) ส่วน SET100 แนะนำเก็งกำไร MOSHI

Strategy Update : ThaiESG Plays

กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการจัดตั้ง กองทุน ThaiESG กองที่ 2 คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในเดือนมีนาคม 2568 โดยมีวงเงินประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับกองทุน LTF ที่ครบอายุไปแล้ว ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนและสิทธิประโยชน์ยังอยู่ระหว่างการหารือ ซึ่งอาจแตกต่างจากกองทุน ThaiESG เดิม แต่ยังคงเน้นลงทุนในประเทศ โดยเราประเมินว่าการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากจะช่วยชะลอแรงขายจาก LTF เดิมและเสริมสภาพคล่องใหม่เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนที่ถือ LTF ระยะยาว ซึ่งมีต้นทุนเฉลี่ยที่ 1,620-1,640 จุด

เรามองปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามซึ่งอาจส่งผลบวกต่อตลาดในระยะกลางถึงยาว ได้แก่ การขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากมีการเพิ่มเพดานลดหย่อนของ ThaiESG จาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท เท่ากับ LTF เดิม จะช่วยกระตุ้นการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นในตลาดมากขึ้น อีกทั้งยังมีการหารือเรื่อง การลงทุนในหุ้นไทย 100% และ การขยายขอบเขตของหุ้น ESG เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนและกระจายความเสี่ยง KSS มองว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการขาดเงินทุนระยะยาวจาก LTF ที่หมดสิทธิประโยชน์ หากภาครัฐมีมาตรการชัดเจนเกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศ จะช่วยให้ SET ค่อย ๆ ฟื้นตัว

KSS ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการสะสมหุ้น เนื่องจาก SET ยังอยู่ใน Deep Value Zone โดยมีค่า PER ปี 2568 อยู่ที่ 13.5 เท่า และหากไม่นับรวมหุ้น DELTA ค่า PER จะอยู่ที่เพียง 11.5 เท่า ปัจจุบันมีหุ้นที่เข้าข่ายการลงทุนระยะยาว ได้แก่ 300 บริษัทที่มี PER ต่ำกว่า 12 เท่า, 435 บริษัทที่ให้ผลตอบแทนปันผลสูงกว่า 3%, 548 บริษัทที่มี PBV ต่ำกว่า 1 เท่า และ 145 บริษัทที่มีคุณสมบัติครบทั้งสามข้อ KSS แนะนำ 7 หุ้น Deep Value ที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว ได้แก่ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP และ HMPRO พร้อมกันนี้ยังแนะนำอีก 5 บริษัท ที่เข้าเงื่อนไข PER < 12X, PBV < 1X และ Dividend Yield > 3% ในกลุ่มธนาคาร KBANK, KTB, BBL ผสาน อสังหาริมทรัพย์ ที่เริ่มมีปัจจัยหนุนเชิงบวก เช่น AP และ SIRI

Strategy Update : Summer Plays

กระแสการเก็งกำไรในหุ้นธีม "หน้าร้อน" กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง ล่าสุดกรมอุตุนิยมวิทยาเผยว่าในปีนี้ จะเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนในไทยสัปดาห์ที่ 4 ของเดือน ก.พ. 25 - กลางเดือน พ.ค. 25 ภายใต้คาดการณ์กรมอุตุนิยมวิทยาปี 2025F คาดอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยบริเวณประเทศไทยตอนบน 35 – 36 องศาเซลเซียส แม้จะต่ำกว่าฤดูร้อนปี 2024 อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 37.5 องศาเซลเซียส แต่ยังใกล้เคียงค่าเฉลี่ยฤดูร้อนปกติที่ 35.4 องศาเซลเซียส แต่จุดที่น่าสนใจคือ ราคาหุ้นหลายตัวมี Deep Discounts จากภาวะตลาดที่ผันผวน สร้างโอกาสระยะยาวด้วยอีกทางหนึ่ง ทีมกลยุทธ์คาด KSS อากาศที่ร้อนสูงขึ้น จะหนุน

1.) การบริโภคเครื่องดื่มที่มีความคึกคักขึ้น

2.) ประชาชนจะมีความต้องการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งพัดลม, แอร์ เพื่อบรรเทาผลกระทบอากาศร้อน

3.) การทำงานก่อสร้างจะเร่งส่งมอบได้มากกว่าช่วงหน้าฝน

4.) การท่องเที่ยวทะเลที่เป็นจุดเด่นของไทยมักคึกคัก

ภาพรวมดังกล่าวที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี มักหนุนกระแสหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์อาทิ กลุ่ม มีภาพถูกเก็งกำไรในช่วงฤดูร้อน อาทิ กลุ่มเครื่องดื่ม กลุ่มค้าปลีกที่เน้นขายเครื่องใช้ไฟฟ้าบรรเทาอากาศร้อน กลุ่มรับเหมา และกลุ่มโรงแรม อิงผลการศึกษาผลตอบแทนย้อนหลัง 9 ปี (ไม่รวมปีที่เผชิญ Covid ในปี 2020 ที่ผลตอบแทนรายกลุ่มกระทบความเสี่ยงตลาด) ช่วงเวลาที่ดีสุดในการลงทุน คือ การลงทุนในช่วงเข้าสู่ฤดูร้อน และขายทำกำไรหลังจากนั้น 1 เดือน โดยช่วงปัจจุบัน คือ ควรเริ่มสะสมหุ้นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของ ก.พ. 25 และขายทำกำไรช่วงปลาย มี.ค. 25 - ต้น เม.ย. 25 โดยกลุ่มโรงแรม (ความน่าจะเป็นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 87.5% ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.7%) ตามด้วยกลุ่มรับเหมา (62.5%, 1.6%) กลุ่มค้าปลีก (50%, 1.2%) สูงกว่า SET (50%, 1.1%) ขณะที่ภาพรายบริษัท คือ CRC(100%, 5.3%) ICHI (87.5%, 3.7%) SAPPE (75%, 7.2%) CENTEL (75%, 4.4%) MINT (62.5%, 3.3%) GLOBAL (62.5%, 2.3%) HMPRO (50%, 4.9%) DOHOME (50%, 2.3%)

ในเชิงกลยุทธ์ Summer Plays ปี 2025F KSS แนะนำลงทุนเน้นไปที่กลุ่มที่มีหุ้นอยู่ในโซนฐาน Valuation ไม่แพง ได้แก่ CRC(TP Con-40.6) ICHI (TP25F-17) SAPPE (TP25F-70) CENTEL (TP25F-40) MINT(TP25F-38) HMPRO (TP25F-13.5) และหุ้น Turn around ที่คาดได้ประโยชน์จากหน้าร้อน คือ หุ้นเครื่องดื่ม คือ MALEE(TP25F – 17.7)

Strategy Update: ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน SET UPDATE: เข้าสู่จุด Deep Value เชิงพื้นฐาน แนะนำ 7 หุ้นมูลค่าเพื่อการลงทุนระยะยาว แนะนำ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO

Key Ideas: SET ปรับตัวลงแรง -9.86%ytd และอยู่ใน "Value Zone" ดังที่เคยกล่าวในช่วงก่อนหน้า ว่า SET มี Current Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.56% สูงกว่า AVG + 1.5 S.D. (4.53%) ที่เป็นจุดกลับตัวตลาดในรอบ 10ปีที่ผ่านมา แต่เพื่อความเด่นชัด ในมิติอื่นๆ ทีมกลยุทธ์ KSS จึงตรวจสอบค่าที่สะท้อนภาวะ "Value Market" ในมิติอื่นๆ อีก 4มิติ พบว่า ตลาดหุ้นไทย ควรค่าแก่การลงทุนระยะยาว และเป็น Deep Value Zone อย่างแท้จริง

1.) Trailing PER หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.42 vs ปัจจุบัน -0.37 "สะท้อนว่าค่อนข้าง Value"

 

2.) PBV หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.86 vs ปัจจุบัน -1.97 "Deep Value" มาก

 

3.) Invert Dividend Yield หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -1.01 vs ปัจจุบัน -1.58 "Deep Value" มาก

 

4.) GDP ที่ตลาดคาดการณ์ ในปีนั้นๆ ณ จุดกลับตัวหลังปี 2011 Ex Crisis เฉลี่ย 2.36% vs ปัจจุบัน 3% สะท้อนภาพตลาดยังมองการเติบโต ขณะที่ Outlook ปัจจุบันไทย เราเริ่มเห็นแนวทางการสร้าง S Curve ใหม่ๆ

เราประเมินผลกระทบรอบนี้ เกิดจาก แรงขาย Panic Sell จากการปรับลดน้ำหนัก DELTA และแรงขายกองทุน LTF ขณะที่ระดับ SET ตั้งแต่ต่ำกว่า 1300 จุด เริ่มเห็นเม็ดเงินใหม่ที่มีโอกาสเข้ามา เรามองแนวโน้มตลาด: ช่วงสร้างฐาน (Consolidation Phase) : ระดับแนวรับเชิงพื้นฐานที่กรอบ 1270-1250จุด ขณะที่แนวรับเชิงโครงสร้างเทคนิคระยะยาวของรายเดือนจากฐานปี 2008 สู่ปัจจุบัน อยู่ใกล้เคียงกันที่ 1225 จุด ซึ่งเป็นโซนเหมาะสม สำหรับ Domestic Long Term Fund ที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย หรือ นักลงทุนที่ต้องการการออมในระยะยาว

Strategy : KSS คัดเลือกหุ้นพื้นฐานดีที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Value ด้วยเงื่อนไขใกล้เคียง SET และธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งภายในภายนอก และพร้อมเติบโตในอีก 3ปีข้างหน้า ใน "Theme 7 Value Stocks" ดังนี้ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO

Strategy Update: MSCI Rebalance

MSCI ประกาศรายชื่อหุ้นที่ใช้ในดัชนีรอบใหม่แล้ว ซึ่งจะปรับน้ำหนักราคาปิด 28 กพ 2025 มีประเด็นสำคัญของไทยดังนี้

 

MSCI Thailand ถูกลดน้ำหนักจาก 1.3% เหลือ 1.28% คิดเป็น Net Outflows ราวๆ -100ล้านเหรียญฯ

 

โดยดัชนี MSCI Global Standard Index หุ้นไทยเข้า/ออก ได้แก่

หุ้นเข้า : ไม่มี

หุ้นออก : PTTGC(-60ล้านเหรียญฯ), TOP(-50ล้านเหรียญฯ)

 

ส่วน MSCI Global Small cap Index หุ้นไทยเข้า/ออก ได้แก่

หุ้นเข้า 4 หุ้น : GPSC, PTTGC, SCGP, TOP

หุ้นออก 11 หุ้น : BSRC, TIPH, DCC, ERW, GFPT, KAMART, PSH, PSG, SAPPE, STECON, THG

 

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะมีผลที่ราคาปิดวันที่ 28 ก.พ. นี้

 

กลยุทธ์ : ระยะสั้นให้ระวังความผันผวนของ PTTGC, TOP ที่ถูกถอดออกจาก MSCI Global Standard Index กลยุทธ์ ระยะสั้นเลี่ยงลงทุนหุ้นที่ถูกถอดออกจากดัชนี

 

• AOT (Buy, TP25F-64.5): บ่ายวานนี้ ราคาหุ้น AOT ปรับลงแรงอีกครั้งจากที่ AOT มีการแจ้งแก้ไขระยะเวลาช่วยเหลือ KPD เพิ่มอีก 2 เดือน ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับฐานะการเงินของ KingPower จะส่งผลต่อ AOT กลับมาอีกครั้ง โดยปืดตลาดที่ 39.75 บาท (-6%dd) ใกล้เคียงกรณี Worst case (ประมูลใหม่ทุกสัญญา KingPower) ซึ่งเรามองว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้ไม่มาก

• AMATA (Buy, TP25F-33.5): AMATAV, 73% owned by AMATA, has announced a business plan targeting significant growth in land sales by 30-40% yoy, reaching 100-110 ha this year. Halong is expected to contribute 60-70% of land sales volume, but Long Thanh is expected to generate >50% of sales value, driven by doubling in selling prices. We maintain our forecast of 2,562 rai land sales for AMATA and an 18% earnings growth this year. The stock is undervalued, trading at -1SD for PER (8.1x) and PBV (1x) for FY25F. We maintain our BUY rating.

• MOSHI (Buy, TP25F-54): มอง Positive จากประชุมนักวิเคราะห์ ยังเป็นบริษัทในกลุ่มที่เห็นการเติบโตได้ชัด โดยระยะสั้น SSSG Qtd ยังสูง 7-8% y-y สูงสุดในกลุ่มฯ และระยะยาว แผนเปิดสาขายังเป็นเชิงรุกระยะ 2-3 ปีนี้ และทดลองสาขา Standalone สาขาใหญ่ โอกาสต่อการขยายฐานลูกค้ากลุ่ม Massและต่อการเปิดสาขาได้มากขึ้น บนความเสี่ยงที่จำกัด ขณะที่ การแข่งขันจากคู่แข่งรายใหม่ ยังอยู่ในระดับจำกัด โดยรวมแนะนำ Buy จาก TP65F 54.0 บาท อิง DCF เป็นบริษัทที่ยังเห็นการเติบโตดีระยะยาวและปรับตัวไว

 

2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility

Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE

Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ประคับประคอง By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ บ่ายวันนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทย คงประคับ ประคอง แกว่งตัวไปมา ท่ามกลาง บริษัทจดทะเบียนไทย...

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้