"Fund Switching + Declining Yield Play"
KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "ย่อสร้างฐาน" ต้าน 1280/1287 จุด รับ 1252/1240 จุด ประเด็นกำหนดทิศทางตลาดวันนี้อยู่ในทางลบ 1.) กำไรตลาด ระยะสั้นอาจมีความเสี่ยงด้าน Downside ของหุ้น Big Cap นำโดย AOT ที่ส่วนแบ่งผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ไม่แน่นอนหลังลูกค้าบางรายมีปัญหาสภาพคล่อง รวมถึง SCB ที่เป็นธนาคารหลักที่มีความเชื่อมโยงกับลูกค้าดังกล่าว และ DELTA ที่กำไร 4Q24 ต่ำคาดจากมาร์จิ้น ซึ่ง 3 บริษัทดังกล่าวมีน้ำหนักราว 15.3% ของ SET ส่วนฝั่งบวก คือ ปัจจัยต่างประเทศ 2.) ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ม.ค. 25 ที่ต่ำกว่าคาด -0.9%m-m แม้มีแนวโน้มเป็นปัจจัยชั่วคราว แต่ช่วยถ่วง Us Bond Yield 10 ปี -6 bps อย่างไรก็ดี อิงภาคบริการคิดเป็น 60-65% ของ GDP เชื่อว่ามีโอกาสทำให้ตลาดระวังหุ้นสหรัฐฯที่ Valuation แพงมากขึ้น และ 3.) GDP 4Q24F รายงานวันนี้คาดน่าจะใกล้เคียงตลาดประเมิน +3.8%y-y สูงสุดของปี และขยายตัวอีก 2.9% ในปี 2025F ประเมิน SET วันนี้สร้างฐาน กลยุทธ์เน้นหุ้น Big Cap ที่คาดว่าจะเป็นเป้าหมายการย้ายเม็ดเงินออกจาก AOT DELTA โดยเฉพาะในกลุ่มได้ประโยชน์ Yield อ่อนลงหนุน (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ High Yield หนี้สูง) วันนี้แนะนำ ADVANC, GULF, MINT
Daily outlook: "ย่อสร้างฐาน" ต้าน 1280/1287 จุด รับ 1252/1240 จุด
What happened around the world?
(*/+) US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐพลิกลง ดัชนี Dow jones พลิกลง -0.37%d-d ยกเว้นหุ้น Tech นำโดย NVIDIA เป็นกลุ่มหนุน หลังตลาดคลายความกังวลมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ สหรัฐยังไม่มีผลบังคับใช้ในทันที สะท้อนจาก ดัชนี Nasdaq +0.41%d-d S&P500 -0.01% โดยดัชนี S&P 500 Sector ที่ปรับขึ้นหลักๆ คือ IT, ICT, Financials, Energy กลุ่มที่ Underperform คือ Consumer staples, Health Care, Utilities, Real estate ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวเด่นคือ Super Micro Computer +13.3%, NVDIA+2.6% ,Alibaba + 4.3%, Airbnb บริษัทให้เช่าที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว +14% รับรายงานงบดีกว่าคาด, Applied Materials -8% รับคาดการณ์รายได้ในไตรมาส 2 ต่ำกว่าคาดการณ์ฯลฯ
(*) US Econ : ตัวเลขเศรษฐกิจฝั่งการบริโภคซึ่งเป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ คือ ยอดค้าปลีกออกติดลบ แต่มองเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว ไม่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญในพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภค กล่าวคือ Retail Sales เดือน ม.ค. พลิกจากบวก +0.7%ในเดือนก่อนเป็นติดลบมากที่สุดในรอบ 2 ปี -0.9%m-m ต่ำตลาดคาด -0.2% แต่หากพิจารณาช่วงเดียวกันของปีก่อนยังขยายตัว +4.2%y-y. ส่วน Core retail Sales พลิกจากบวกในเดือนก่อนเป็นติดลบ -0.4%m-m ต่ำตลาดคาด +0.3% โดยรวมในเดือนนี้มีสาเหตุหลักมาจากสภาพอากาศหนาวเย็นจัด ไฟป่าในลอสแอนเจลิส และปัญหาการขาดแคลนยานยนต์ โดยหมวดสินค้าที่มียอดขายลดลงอย่างมีนัยสำคัญคือ ยานยนต์ที่ลดลง 2.8% สินค้าฝกีฬา งานอดิเรก เครื่องดนตรี และหนังสือลดลง 4.6% และยอดขายออนไลน์ลดลง 1.9% อย่างไรก็ตาม ร้านอาหารและบาร์มียอดขายเพิ่มขึ้น 0.9%
(*/+) Apple : Bloomberg เผย Tim cook โพสข้อความลงใน X จะเป็นการเปิดตัว IPhone SE รุ่นใหม่ คือ SE 4 (หรือ iPhone 16E หรือ iPhone รุ่นประหยัดที่สุดของ Apple 19 ก.พ.2025 ดีไซน์เหมือน iPhone 14 หน้าจอ LTPS OLED ขนาด 6.06 นิ้ว ความละเอียด FHD+ ที่มีรีเฟรชเรต 60Hz และมีรอยบากสำหรับ Face ID กับกล้องหน้า ส่วนด้านหลังจะมีกล้องเพียงตัวเดียว ซึ่งอาจเป็นกล้องตัวเดียวกับที่ใช้ใน iPhone 16 รองรับฟีเจอร์ AI KSS มองการเปิดตัวสินค้าใหม่ IPhone SE จะเป็นบวกต่อหุ้นที่เน้นขาย Iphone อาทิ COM7, CPW, JMART
(*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ 19 ก.พ. ยอดบ้านเริ่มสร้าง ม.ค. 25 ตลาดคาด 1.39 ล้านหลัง -7.0%m-m 21 ก.พ. ยอดขายบ้านมือ 2 ตลาดคาด 4.1 ล้านหลัง -3.3%m-m 21 ก.พ. ติดตาม Flash PMI ภาคผลิตและบริการ ก.พ. 25 ไม่มีคาด vs prev. 51.2 และ 52.9 จุด 20 ก.พ. รายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ รอบ ม.ค. 25 ฝั่งยุโรป 21 ก.พ. ติดตาม Flash PMI ภาคผลิตและบริการ ก.พ. 25 ไม่มีคาด vs prev. 46.6 และ 51.3 จุด ฝั่งญี่ปุ่น 21 ก.พ. ติดตามเงินเฟ้อ CPI ก.พ. 25 ตลาดคาด 4%y-y vs prev. 3.6%
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ ปรับลงแรงรับความตึงเครียดทางการค้าไม่ร้อนแรง อายุ 2 ปี ปรับลง -4 bps อยู่ที่ 4.26% และอายุ 10 ปี ปรับลงแรง -6 bps อยู่ที่ 4.477% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางเดียวกัน) ระยะสั้นมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มการเงิน MTC กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF กลุ่มชิ้นส่วน DELTA, KCE กลุ่ม ICT TRUE ADVANC ส่วน Dollar Index แกว่งตัวอ่อนค่าแรงหลุดลงมาที่ 106.5 จุด
(*)Oil & Russia – Ukrain War : น้ำมันดิบ Brent -0.37%d-d ปิดที่ USD 74.74/barrel, น้ำมันดิบ WTI -0.77%ปิดที่ USD 70.74 /barrel แรงกดดันจาก 1.)มุมมองสงครามรัสเซีย-ยูเครนมีแนวโน้มยุติลง หลังสหรัฐเป็นคนกลาง 2. Supply น้ำมันในสหรัฐเพิ่มขึ้นหลัง บริษัทพลังงานของสหรัฐฯ เพิ่มจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน โดยรวมระยะสั้นเป้นจิตวิทยาลบต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP
(+) Rubber Price : ยาง TOCOM +2.7%d-d ปิดที่ 376.6JPY/kg คาดราคายางพาราจะทรงตัวถึงเพิ่มขึ้นในเดือน ก.พ. ปัจจัยบวก ความกังวลด้านอุปทาน เริ่มเข้าฤดูกาลปิดกรีดในปลายเดือน ก.พ. ถึง พ.ค. เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มยาง อาทิ STA, NER
What happened in Thailand?
(*/-) SET Index : SET Index ปรับลง -12.01 จุด (-0.94%) ปิดที่ระดับ 1,272 จุด มูลค่าการซื้อขาย 5 หมื่นล้านบาท (จำนวนหุ้นปรับลง 229 บริษัท, หุ้นปรับขึ้น 247 บริษัท) ดัชนีปรับลงจากแรงขายหุ้น Big Cap ที่มีปัจจัยลบเฉพาะตัว โดยมี Sector ที่ปรับลงกดดัชนี คือ กลุ่มขนส่ง (AOT) ผิดหวังงบ 1Q25 ต่ำคาด โดยมีกำไรสุทธิ 5,344 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25%qoq และ 17%yoy แต่ต่ำกว่าที่เราและ Consensus คาดไว้ที่ 5,600 -6,000 ล้านบาท นอกจากนี้ในช่วงบ่ายมี Analyst meeting โทนเป็นลบ รายได้จากส่วนแบ่งผลประโยชน์มี downside เนื่องลูกค้าบางรายเริ่มมีปัญหาสภาพคล่อง กลุ่ม อิเล็กฯ (DELTA) ขายลดความเสี่ยงก่อนรายงานกำไร 4Q24 และ กลุ่มธนาคาร (SCB) กังวลผลกระทบเชื่อมโยงกับลูกค้าบางรายของ AOT ส่วน Sector ที่ปรับขึ้นพยุงดัชนี คือ กลุ่มพลังงาน+โรงกลั่น (PTT, TOP, BCP) ประเมินเม็ดเงินที่ย้ายออกจาก AOT DELTA มา PTT ผสานค่าการกลั่น +5.9%d-d และกลุ่มโรงไฟฟ้า (GPSC, BGRIM) จิตวิทยาบวก US Bond Yield ปรับตัวลดลง ผสาน เงินบาทแข็งค่า
(*) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุด เงินไหลออก ซื้อหุ้น +24.5 ล้านเหรียญฯ ขายพันธบัตร -19.3 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Short -4,411 สัญญา เงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อยมาที่ราว 33.7+/- บาท
(-) Big Cap Pressure: เราประเมินแรงกดดันต่อ SET จากหุ้น Big Cap ที่มีปัจจัยกดดันเฉพาะตัวระยะนี้ค่อนข้างสูง จาก 1.) AOT ที่มีความเสี่ยง Downside ที่มีนัยฯจากรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์พื้นที่เชิงพาณิชย์ หลังลูกค้าบางราย (รวมถึงรายหลัก King Power) เริ่มประสบปัญหาสภาพคล่อง คาดว่าประเด็นดังกล่าวน่าจะเป็น Overhang ต่อราคาหุ้นไปอีกระยะ รวมถึง 2.) SCB ที่เป็นผู้ให้สินเชื่อหลักกับลูกค้ารายหลักของ AOT ดังกล่าว และ 3.) DELTA รายงานกำไร 4Q24F ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด -62% จาก Margin ต่ำกว่าคาด ค่าธรรมเนียมลิขสิทธิ์สินค้า AI ให้ บ. แม่ รวมถึงต้นทุนค่า R&D รวมถึงค่าใช้จ่ายภาษีจากการปรับใช้กฎหมาย Global Minimum Tax ที่จะสร้าง Downside ต่อประมาณการ ทั้งนี้ ปัจจุบัน AOT SCB และ DELTA มี Market Cap คิดเป็น 15.4% ของ SET
(+) TH 4Q24 GDP: วันนี้ (17 ก.พ.) ติดตามรายงาน GDP ไทยงวด 3Q24 ตลาดคาด +3.8%y-y, +0.6%q-q vs prev. +3.0%y-y, +1.2%q-q ประเมินเป็นภาพบวกต่อ SET โดยเฉพาะองค์ประกอบส่วนอิงภายใน อาทิ การจับจ่าย ท่องเที่ยว และการเบิกจ่ายภาครัฐฯที่คาดเป็นภาพบวก หนุนหุ้น Domestic อาทิ CPALL CPAXT MINT ERW KTB KBANK ส่วนกลุ่มที่มีความเสี่ยง เราประเมินน่าจะอยู่ในกลุ่มอิงภาคผลิตยานยนต์ ที่หลายหน่วยงานมีการให้ความเห็นล่วงหน้าว่าเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงกดดัน GDP 4Q24 ต่ำกว่าเดิมที่ประเมินราว 4.0%
(+) TH Tourism: คาดกระแสท่องเที่ยวเกาะสมุยเด่นขึ้นระยะ 3-6 เดือนจากนี้ โดยวันนี้ (17 ก.พ.) ซีรีส์ดังเรื่อง "The White Lotus" ซีซันส์ 3 ที่ ลิซ่า ร่วมแสดงจะเริ่มออกอากาศ ทั้งนี้ กระแสเชิงบวกดังกล่าวบ่งชี้จากยอดค้นหาที่พักในเกาะสมุยเพิ่มขึ้นถึง 40% ตั้งแต่สัปดาห์ก่อนที่ซีรีส์จะออกฉาย ประเมินบวกต่อกลุ่มโรงแรมที่มีธุรกิจในสมุยสูงๆ อาทิ MINT (โรงแรมในสมุย 5 แห่ง และเป็นเจ้าของโรงแรม Four Season สมุยที่เป็นสถานที่ถ่ายทำ) AWC (โรงแรมในสมุย 4 แห่ง, CENTEL 3 แห่ง, SHR 2 แห่ง)และ BA ในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการสายการบินหลักที่เดินทางสู่สมุย
(*) To monitor: สัปดาห์นี้ปัจจัยภายในติดตาม
1.) 17 ก.พ. รายงาน GDP งวด 4Q24 ตลาดคาด +3.8%y-y, +0.6%q-q vs prev. +3.0%y-y, +1.2%q-q ส่วน GDP ทั้งปี 2024 ตลาดคาด +2.7% vs prev. +1.9%
2.) รายงานกำไร Real Sector 17 ก.พ. TU, STA 18 ก.พ. MTC* 19 ก.พ. SPRC, BBIK* 20 ก.พ. BCP, PTT, BCPG* 21 ก.พ. WHA (* = หุ้นที่คาดรายงานกำไรออกมาดี)
3.) 21-26 ก.พ. รายงานส่งออก - นำเข้า ม.ค. 25 ยังไม่มีคาด vs prev. +8.7%y-y, +14.9%y-y
Daily Strategy : ADVANC, GULF, MINT
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "ย่อสร้างฐาน" ทิศทางการลงทุนวันนี้ออกไปในทางลบ จากแรงกดดันเฉพาะตัว AOT และ DELTA อย่างไรก็ตาม ยังพอมีบางธีมที่รองรับเม็ดเงินที่ไหลออกจากหุ้นดังกล่าวได้ อาทิ หุ้นได้ประโยชน์ Yield สหรัฐฯอ่อนตัวลงต่อเนื่อง วันนี้ประเมินหุ้นเด่น หุ้น Big Cap ที่คาดว่าจะเป็นเป้าหมายการย้ายเม็ดเงินออกจาก AOT DELTA โดยเฉพาะในกลุ่มได้ประโยชน์ Yield อ่อนลงหนุน (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ High Yield (สื่อสาร) หนี้สูง)
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงต่อในปี 2025 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
กลุ่มที่คาดรายงานกำไร 4Q24F ออกมาดี ขยายตัว y-y q-q (ADVANC, AMATA, BTS, ERW, CRC, HMPRO , TRUE, OKJ)
กลุ่มที่คาดมีโอกาสซื้อหุ้นคืน (PTT , SCB , KBANK , KTB , BBL , PTTGC , TOP BCP)
• FEB25 Best Picks: ADVANC, AMATA, BA, BTS, ERW, KBANK, TTB
• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
Strategy Update: ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน SET UPDATE: เข้าสู่จุด Deep Value เชิงพื้นฐาน แนะนำ 7 หุ้นมูลค่าเพื่อการลงทุนระยะยาว แนะนำ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO
Key Ideas: SET ปรับตัวลงแรง -9.86%ytd และอยู่ใน "Value Zone" ดังที่เคยกล่าวในช่วงก่อนหน้า ว่า SET มี Current Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.56% สูงกว่า AVG + 1.5 S.D. (4.53%) ที่เป็นจุดกลับตัวตลาดในรอบ 10ปีที่ผ่านมา แต่เพื่อความเด่นชัด ในมิติอื่นๆ ทีมกลยุทธ์ KSS จึงตรวจสอบค่าที่สะท้อนภาวะ "Value Market" ในมิติอื่นๆ อีก 4มิติ พบว่า ตลาดหุ้นไทย ควรค่าแก่การลงทุนระยะยาว และเป็น Deep Value Zone อย่างแท้จริง
1.) Trailing PER หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.42 vs ปัจจุบัน -0.37 "สะท้อนว่าค่อนข้าง Value"
2.) PBV หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.86 vs ปัจจุบัน -1.97 "Deep Value" มาก
3.) Invert Dividend Yield หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -1.01 vs ปัจจุบัน -1.58 "Deep Value" มาก
4.) GDP ที่ตลาดคาดการณ์ ในปีนั้นๆ ณ จุดกลับตัวหลังปี 2011 Ex Crisis เฉลี่ย 2.36% vs ปัจจุบัน 3% สะท้อนภาพตลาดยังมองการเติบโต ขณะที่ Outlook ปัจจุบันไทย เราเริ่มเห็นแนวทางการสร้าง S Curve ใหม่ๆ
เราประเมินผลกระทบรอบนี้ เกิดจาก แรงขาย Panic Sell จากการปรับลดน้ำหนัก DELTA และแรงขายกองทุน LTF ขณะที่ระดับ SET ตั้งแต่ต่ำกว่า 1300 จุด เริ่มเห็นเม็ดเงินใหม่ที่มีโอกาสเข้ามา เรามองแนวโน้มตลาด: ช่วงสร้างฐาน (Consolidation Phase) : ระดับแนวรับเชิงพื้นฐานที่กรอบ 1270-1250จุด ขณะที่แนวรับเชิงโครงสร้างเทคนิคระยะยาวของรายเดือนจากฐานปี 2008 สู่ปัจจุบัน อยู่ใกล้เคียงกันที่ 1225 จุด ซึ่งเป็นโซนเหมาะสม สำหรับ Domestic Long Term Fund ที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย หรือ นักลงทุนที่ต้องการการออมในระยะยาว
Strategy : KSS คัดเลือกหุ้นพื้นฐานดีที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Value ด้วยเงื่อนไขใกล้เคียง SET และธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งภายในภายนอก และพร้อมเติบโตในอีก 3ปีข้างหน้า ใน "Theme 7 Value Stocks" ดังนี้ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO
Strategist Comment: Deepseek
กระแสข่าว AI Application จากประเทศจีน "Deepseek" ที่ทำงานได้ใกล้เคียงผู้นำตลาด โดยไม่จำเป็นต้องใช้ชิปประมวลผลสูง ทำให้ต้นทุนพัฒนาต่ำกว่า
โดยรวมประเมินนำมาสู่โอกาสเห็นภาพ AI Adoption ทั่วโลกเร่งขึ้น แต่สร้างความเสี่ยงหุ้น Semiconductor โลกที่จำหน่ายชิปประมวลผลระดับสูงที่อาจมีผลกระทบต่อยอดขาย จึงน่าจะเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นใน 1.) กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไทย ให้เกิดภาพชะลอลงทุนระยะสั้น อย่างไรก็ตาม KSS ประเมินผลกระทบจำกัด เพราะบริษัทชิ้นส่วนไทยไม่ได้มีสินค้าหรือรายได้ชิปประมวลผลสูง อาทิ กรณี DELTA เน้นจำหน่าย Power Supply ส่วนอีกกลุ่มที่อาจจะเห็นการชะลอลงทุน คือ 2.) กลุ่มโรงไฟฟ้า อาจจะมีความกังวลการใช้ไฟฟ้าต่ำลงตามรูปแบบชิปประมวลผลสูงลดลง อย่างไรก็ตาม ภาพบวกที่ AI Adoption จะเพิ่มขึ้นหนุนความต้องการโรงไฟฟ้ารวมถึงอุปกรณ์ Power Supply ในท้ายที่สุดอยู่ดี กลยุทธ์รอตั้งรับเมื่อหุ้นอ่อนตัวรับความกังวล
ขณะที่กลุ่มคาดได้ประโยชน์จากกรณีดังกล่าว คือ กลุ่มที่ผู้ใช้งาน AI ที่มีทางเลือกมากขึ้น ต้นทุนลดลง คาดนำมาสู่ปริมาณการใช้ข้อมูลในโครงข่ายโทรคมนาคมเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด ในส่วนกลุ่มสื่อสาร เน้น ADVANC และกลุ่ม Digital Tech Consult ที่ปริมาณงานที่ปรึกษาดิจิตอลจะเพิ่มขึ้นตาม AI Adoption เน้น BE8, BBIK
Strategy Update: MSCI Rebalance
MSCI ประกาศรายชื่อหุ้นที่ใช้ในดัชนีรอบใหม่แล้ว ซึ่งจะปรับน้ำหนักราคาปิด 28 กพ 2025 มีประเด็นสำคัญของไทยดังนี้
MSCI Thailand ถูกลดน้ำหนักจาก 1.3% เหลือ 1.28% คิดเป็น Net Outflows ราวๆ -100ล้านเหรียญฯ
โดยดัชนี MSCI Global Standard Index หุ้นไทยเข้า/ออก ได้แก่
หุ้นเข้า : ไม่มี
หุ้นออก : PTTGC(-60ล้านเหรียญฯ), TOP(-50ล้านเหรียญฯ)
ส่วน MSCI Global Small cap Index หุ้นไทยเข้า/ออก ได้แก่
หุ้นเข้า 4 หุ้น : GPSC, PTTGC, SCGP, TOP
หุ้นออก 11 หุ้น : BSRC, TIPH, DCC, ERW, GFPT, KAMART, PSH, PSG, SAPPE, STECON, THG
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะมีผลที่ราคาปิดวันที่ 28 ก.พ. นี้
กลยุทธ์ : ระยะสั้นให้ระวังความผันผวนของ PTTGC, TOP ที่ถูกถอดออกจาก MSCI Global Standard Index กลยุทธ์ ระยะสั้นเลี่ยงลงทุนหุ้นที่ถูกถอดออกจากดัชนี
Strategy Update : Dividend Plays 2H24
ช่วงปลายเดือน ก.พ. - พ.ค. 2025 จะเข้าสู่เทศกาลจ่ายปันผลประจำปี 2024 ของบริษัทจดทะเบียน ทีมกลยุทธ์ KSS จึงได้รวบรวมหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง) จากคาดการณ์ของ KSS และ Consensus เพื่อนำมาคัดสรรหุ้นปันผลสูง (High Dividend) คือ Dividend Yield มากกว่า 3.5% สำหรับกลยุทธ์การลงทุนระยะ 1 - 2 เดือนแรกของปี ใน "Theme Dividend Play"
Key Ideas : KSS มีมุมมองบวกต่อการลงทุนในหุ้นปันผลในช่วงต้นปีเนื่องจาก
o KSS ได้ทำการศึกษาสถิติผลตอบแทนหุ้นปันผล(SETHD) ย้อนหลัง 10 ปี พบว่า SETHD ในช่วงเดือน ม.ค. – ก.พ. ของทุกปี ผลตอบแทนมักเป็นบวก เดือน ม.ค. ผลตอบแทนบวก 6 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.7%, เดือน ก.พ. บวก 7 ใน 10 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +0.67%
o SETHD ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของทุกปี (งวด 1Q) ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.85%)
กลยุทธ์ : ในเชิงกลยุทธ์ KSS แนะนำซื้อหุ้นปันผลสูงก่อนที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD 2 สัปดาห์แล้วขายวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD (dividend capture) มักจะให้ผลตอบแทนที่ดี ทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการคัดกรองหุ้นปันผลเด่น ภายใต้เงื่อนไข 2 ข้อ คือ
1.) เป็นหุ้นที่จะจ่ายเงินปันผล ช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง)
2.) เป็นหุ้นพื้นฐานที่มีแนวโน้มการเติบโต/กระแสเงินสดมั่นคง /อยู่ใน Theme การลงทุนหลักของ KSS ปี 2025 อาทิ Theme เศรษฐกิจไทยปี 2025F เติบโต อาทิ กลุ่มธนาคาร หรือ อยู่ในอุตสาหกรรม Up Cycle อาทิ Sector ICT หรือ หุ้นที่อยู่ในกลุ่มได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง อาทิ กลุ่มอสังหา กลุ่มการเงิน ฯลฯ โดยเรียงตามอัตราตอบแทนเงินปันผลจากสูงไปต่ำ
พบว่ามีหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลเด่น 9 บริษัท คือ
หุ้น Big Cap ได้แก่ SCB (TP Max Con 135.0, Yield 2H24F 8.6%), TTB (TP25-2.2,Yield 2H24F 7.2%) HMPRO (TP25-13.5,Yield 2H24F 4.3%) INTUCH (TP25-108,Yield 2H24F 4.2%), ADVANC (TP25-305, Yield 2H24F 3.7%),
หุ้น Mid Cap ได้แก่ AP (TP25-11.8., Yield 2H24F 7.65%), TISCO (TP25-97.0, Yield 2H24F 5.84%), SC (TP25-3.2, Yield 2H24F 5.52%), JMT (TP25-22.8, Yield 2H24F 2.3%),
หุ้นปันผลสูงครึ่งหลังปี 2024 ADVANC, INTUCH, SCB, TTB, HMPRO,JMT AP, SC, TISCO
โดยทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการศึกษาสถิติหุ้นปันผลเด่น 9 บริษัทดังกล่าวข้างต้น ย้อนหลัง 8 ปี พบว่าหากลงทุนซื้อหุ้นก่อน 2 สัปดาห์และขายวันที่ขึ้น XD พบว่า ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นที่ให้ Return มากที่สุด คือ JMT +5.36%, TTB +4.16%, ADVANC +3.05%, ส่วน SCB, HMPRO, INTUCH, AP, SC, TISCO ผลตอบแทน (Capital Gain) เฉลี่ยอยู่ราว 1% เท่ากับว่า การลงทุนหุ้นกลุ่ม High Dividend ในช่วงเวลาดังกล่าว หลาย ๆ ครั้งนักลงทุนจะมักจะได้รับเงินปันผลฟรี
• AOT (Buy, TP25F-64.5): เราคงคำแนะนำ Buy ราคาเป้าหมาย (TP25F) 64.50 บาท ราคาหุ้น AOT ลดลง -14%dd มาปิดที่ 47 บาท ใกล้กรณี Worst case หากต้องยกเลิกสัญญา King Power ขณะที่เราประเมินมีความเป็นไปได้น้อย จากอุตฯ การบินฟื้นตัวหนุน King Power กลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ นอกจากนี้ หุ้น AOT ยังมี Upside 10-20% จากการเรียกเก็บ PSC transit/transfer และขึ้นค่า PSC เราจึงมองเป็นโอกาส "ทยอยสะสม"
• TOP (Buy, TP25F-33): คงคำแนะนำ Buy ต่อ TOP ที่ TP25F = 33.0 บาท/หุ้น มองปัจจัยลบของต้นทุนส่วนเพิ่มโครงการ CFP สะท้อนไปในราคาหุ้นแล้ว เป็นโอกาสลงทุนระยะยาว ธุรกิจหลักอย่างโรงกลั่นฟื้นตัวต่อเนื่องใน 2025-26F และ dividend yield ที่อยู่ในระดับสูง โดยระยะสั้นมีปัจจัยบวกจาก i) กำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 2,767 ลบ. สูงกว่าเราและตลาดคาด ฟื้นสูง q-q จาก stock loss ที่ลดลง และปัจจัยฤดูกาลหนุนค่าการกลั่น +38% q-q มาที่ 5.1 $/bbl และ ii) ประกาศจ่ายปันผล 0.7 บาท/หุ้น คิดเป็น yield ราว 3% ขึ้น XD 27/2/2025
• DELTA (Reduce, TP25F-110): We suggest investor to avoid DELTA in short-term after the market has absorb all the disappointed earnings in 4Q24. This was due to DELTA's earnings in this quarter were a lot lower than market and our expectation by over 60%. Its core earnings significantly dropped to just Bt2b (-53% yoy, -67% qoq), the lowest quarterly earnings in the past three years. Our current recommendation is REDUCE with the TP of Bt110.
2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility
Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE
Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI