Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี : KSS Daily Strategy

297

 

"Domestic Play"

 

KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "ฟื้นตัวต่อ" ต้าน 1295/1305 จุด รับ 1275/1270 จุด ปัจจัยกำหนดทิศทางวันนี้ 1.) จิตวิทยาลบจาก US Bond Yield 10 ปี เร่งขึ้น +13 bps สู่ 4.63% เงินเฟ้อ CPI สหรัฐ สูงกว่าคาด ทั่วไป +3%y-y, 0.5%m-m เงินเฟ้อพื้นฐาน +3.3%y-y, +0.4%m-m จากการเร่งขึ้นของเงินเฟ้อที่อยู่อาศัย+ราคาไข่จากปัญหาไข้หวัดนก ดูเหมือนจะเป็นปัจจัยชั่วคราว 2.) ราคาน้ำมันปรับลงเฉลี่ย -2.6% จากความกังวลวงจรดอกเบี้ยสหรัฐที่ตลาดคาดปรับลงปีนี้เหลือ 1 ครั้ง + เริ่มมีความชัดเจนการยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน 3.) ผล Rebalance MSCI Global Stanadard Index หุ้นออก : TOP, PTTGC (vs KSS คาด TOP OR) ประเมินปัจจัยข้างต้นลบอ่อนๆ ขณะที่ปัจจัยบวกคือ 4.) มาตรการภาษีเท่าเทียม (Reciprocal Tax) ดูอ่อนลง มีแนวโน้มยกเว้นสินค้ายาและยานยนต์ 5.) กระทรวงการคลังส่งสัญญาณนำกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) กลับมา ช่วยชะลอแรงขาย ประเมิน SET วันนี้ยังค่อยๆฟื้น หุ้นเด่น กลุ่มธนาคาร ชิ้นส่วน และหุ้น Defensive สื่อสาร ร.พ. และ 7 หุ้นในธีม Value ที่เราแนะลงทุนยาว (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO) วันนี้แนะนำ BBL, KBANK, CPAXT

 


Daily outlook: "ฟื้นตัวต่อ" ต้าน 1295/1305 จุด รับ 1275/1270 จุด

What happened around the world?

(*) US Stocks: ดัชนี Dow jones -0.5%d-d, ดัชนี Nasdaq +0.03%d-d S&P500 -0.27% ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงแรงช่วงแรกรับตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐสูงกว่าคาด แต่ฟื้นตัวปิดตลาดดัชนีติดลบเล็กน้อย รับข่าวบวก Reuters คือ ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ Mike Johnson เผยกำลังพิจารณามาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ยกเว้นการเก็บบางสินค้า อาทิ หมวดยานยนต์ และหมวดยา (ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ช่วงต้นสัปดาห์จะเก็บกับทุกประเทศ ) เป็นปัจจัยหนุนหุ้นที่เกี่ยวข้อง อาทิ GM +2.12%, Ford +0.22% Eli Lilly +0.9% โดยหากพิจารณาดัชนี S&P 500 ปรับลงเกือบทุก Sector ยกเว้น กลุ่ม Consumer staples, ICT ส่วนกลุ่มที่ปรับลงแรงหลักๆ นำโดย กลุ่ม Energy, Real estate, Materials ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวเด่นคือ Intel +7% มีจิตวิทยาบวกหนุนตามหุ้น Tech จีนและฮ่องกง กลุ่มยาและกลุ่มสุขภาพ CVS Health +15% Gilead Sciences +7.5% ผู้ผลิตรับรายงานงบดีกว่าที่ตลาดคาด ฯลฯ

(*) Fed Speak : ประธาน Fed Powell แถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารวุฒิสภา ใจความสำคัญคือ 1.) ยืนยันว่า "ยังไม่จำเป็นต้องเร่งรีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย" เนื่องจากเศรษฐกิจและตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง สะท้อนมุมมอง Slightly Hawkish มากขึ้น เป็นจิตวิทยาลบต่อสินทรัพย์เสี่ยง 2.) เงินเฟ้อจะเริ่มชะลอตัวลงแต่ยังสูงกว่าเป้าหมายที่ 2% 3.) อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 4.25-4.5% และคาดว่าจะคงอยู่ที่ระดับนี้จนถึงช่วงฤดูร้อน (KSS ประเมินว่าช่วง 1Q25- ต้น 2Q25 อาจจะยังไม่เห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ) โดยเตือนว่าการลดดอกเบี้ยเร็วหรือมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อการควบคุมเงินเฟ้อ

(*/-) US Econ : สหรัฐรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ CPI เดือน ม.ค. 25 คือ เงินเฟ้อทั่วไป +3%y-y, +0.5%m-m. สูงกว่าตลาดคาดที่ +0.3%m-m vs prev. +2.9%y-y เช่นเดียวกับเงินเฟ้อพื้นฐาน(Core CPI) +3.3%y-y, 0.4%m-m สูงกว่าที่ตลาดคาด หลักๆเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาดมากจาก สินค้าในหมวดอาหาร(Food) +0.4%m-m จาก ราคาไข่ปรับตัวสูง และมาจากหมวด 2.)ยานยนต์มือสอง +2.2%m-m 3.)ค่าเช่าบ้าน +0.4%m-m จากก่อนหน้าเฉลี่ย 0.3% หลายเดือน 4.)หมวด Transportation services ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าประกัน +1.8%m-m โดยรวม KSS ประเมิน 1.) โอกาสการลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้อาจจะไม่ลงเร็ว อิง ปัจจุบันตลาดเริ่มคาดโอกาสการลดดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐในปี 2025 เหลือ 1 ครั้งๆ คือ การประชุมรอบ ก.ค.2025 จากเดิมคาดจะลดดอกเบี้ยรอบ มิ.ย. และ ธ.ค. 2.)คาดจะทำให้ทรัมป์ไม่เร่งเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้ากับจีนและหลายประเทศรุนแรง จากปัญหาเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มทรงตัวสูงในระยะถัดไป

(*) Chip stocks : 1. ปธน.มาครงฝรั่งเศส เปิดเผยในการประชุม Paris AI Summit ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาว่ามียอดเงินลงทุนในโครงการ AI ของฝรั่งเศสสูงถึง 1.09 แสนล้านยูโร จากทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งความต้องการชิป AI ที่สูงขึ้น 2.)สำนักงานศุลกากรเกาหลีใต้เผย ว่า ยอดส่งออกในช่วง 10 วันแรกของเดือน ก.พ. +0.8%y-y มูลค่า 1.488 หมื่นล้านดอลลาร์ เนื่องจากการส่งออกชิปเซมิคอนดักเตอร์ +1.8% และรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ 27.1% แข็งแกร่ง เป็นบวกกับหุ้นกลุ่ม Semiconductor และหุ้นชิ้นส่วนไทย

(*) To Monitors : 14 ก.พ. ติดตามดัชนีค้าปลีก ม.ค. คาด +0.0%m-m vs prev. +0.4%m-m, ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม ม.ค. คาด +0.3%m-m vs prev. +0.9%m-m ฝั่งยุโรป 13 ก.พ. ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม ธ.ค. คาด -0.2%m-m เท่าเดือนก่อน, 14 ก.พ. ติดตาม GDP งวด 4Q24 คาด +0.9%y-y เท่าไตรมาสก่อน 14-16 ก.พ. ติดตามแผนการยุติสงครามยูเครนและรัสเซียของ ปธน. ที่คาดว่าจะมีการแถลงในการประชุมความมั่นคงระหว่างประเทศที่กรุงมิวนิค ประเมินโทนคาดจะออกมาในเชิงสันติภาพ และเห็นความคืบหน้าในการยุติสงคราม มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง และคาดจะยังเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาพลังงานทั้ง น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และค่าระวางเรือ Container ในระยะกลาง – ยาว มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นน้ำมัน เรือ Container แต่ในทางตรงข้ามมองบวกต่อหุ้นในกลุ่ม Anti Commodity อาทิ กลุ่มโรงไฟฟ้า

(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ อายุ 2 ปี ปรับขึ้น +8 bps อยู่ที่ 4.35% และอายุ 10 ปี ปรับขึ้นแรง 13 bps อยู่ที่ 4.63% ส่วน Dollar Index แกว่งตัวอ่อนค่าลงมาที่ 107.8 จุด

(-)Oil : ราคาน้ำมันดิบพลิกลดลงอีกครั้ง Brent -2.61%d-d ปิดที่ USD 74.99/barrel , น้ำมันดิบ West Texas -2.66%d-d ปิดที่ USD 71.37/barrel แรงกดดันจาก 1.) สงครามรัสเซีย- ยูเครน ตลาดคาดการณ์มีโอกาสจะยุติใน 6 เดือนข้างหน้า โดยคาดสหรัฐจะเป็นคนกลางในการเจรจาให้ทั้ง 2 ฝั่ง 2.) EIA รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 4.07 ล้านบาร์เรลมากกว่าตลาดคาดที่ 2.4 ล้านบาร์เรล มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP ทางตรงข้ามจะบวกต่อหุ้นกลุ่ม Anti commodity อาทิ โรงไฟฟ้า GULF กลุ่มที่มีต้นทุนเป็นน้ำมัน อาทิ สายการบิน AAV

 

What happened in Thailand?

(++) SET Index : SET Index วันทำการล่าสุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น +13.48 จุด หรือ +1.06% ปิดที่ 1283.97 จุด มี Technical Rebound จากที่ร่วงแรงในวันก่อนหน้า ผสานมีข่าวภาครัฐเตรียมปรับเกณฑ์กองทุน LTF ใหม่ช่วยชะลอแรงขายจากกองทุนดังกล่าว กลุ่มนำตลาด คือ กลุ่มค้าปลีก (CPAXT, CPALL) หนุนจากนโยบาย Digital Wallet เฟส 3 ใกล้ชัดเจน ผสาน หุ้นอยู่ในโซนลงทุน Deep Value กลุ่มอิเล็กฯ (DELTA, CCET) จิตวิทยาบวกหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯฟื้นตัวนำตลาด ผสาน ยอด DELTA ไต้หวัน + CCET ไทย เดือน ม.ค. 25 ออกมาดีกว่าตลาดคาด กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มที่ Outperform ในช่วงก่อนหน้า ทั้งกลุ่มธนาคาร (KBANK, SCB) และ กลุ่มสื่อสาร (INTUCH, TRUE) ที่คาดตลาดสลับไปลงทุนกลุ่มที่ Underperform

(++) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุด เงินไหลเข้า ซื้อหุ้น +29.6 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +140.4 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Short 12,028 สัญญา เงินบาทอ่อนค่าทรงตัวบริเวณ 34.0+/- บาท

(++) Domestic Long Term Fund : กระทรวงการคลังมีแนวคิด ถ่ายโอนเม็ดเงินกองทุน LTF เดิมหรือจัดตั้งกองทุนใหม่ภายใต้กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) แทน โดยปัจจุบันกองทุนน LTF มีมูลค่าประมาณ 1.8 แสนล้านบาท โดยกระทรวงการคลังขอให้นักลงทุนพิจารณาชะลอการขายก่อน เพื่อรอความชัดเจนของมาตรการดังกล่าว เราประเมินบวกต่อตลาดที่น่าจะช่วยลดแรงขายจากกองทุนดังกล่าวที่สูงกว่าปกติในปี 2025F ที่มีโอกาสชะลอติดตามมาตรการ และหุ้น Big Cap แนะนำสะสมหุ้น 7 Value หุ้นพื้นฐานดีที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Value ด้วยเงื่อนไขใกล้เคียง SET และธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งภายในภายนอก และพร้อมเติบโตในอีก 3ปีข้างหน้าต่อเนื่อง CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO

(*/-) MSCI Rebalance: MSCI ประกาศรายชื่อหุ้นที่ใช้ในดัชนีรอบใหม่ (Feb 2025 Rebalance) ดัชนี MSCI ACWI Standard Index

หุ้นเข้า : ไม่มี

หุ้นออก : TOP, PTTGC

ดัชนี MSCI Global Small Cap

หุ้นเข้า : GPSC, PTTGC, SCGP, TOP

หุ้นออก : BSRC, TIPH, DCC, ERW, GFPT, KAMART, PSH, PSG, SAPPE, STECON, THG

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะมีผลที่ราคาปิดวันที่ 28 ก.พ. นี้

กลยุทธ์ ระยะสั้นเลี่ยงลงทุนหุ้นที่ถูกถอดออกจากดัชนี

(*/+) IE Development: กลุ่มเฟรเซอร์ส โรจนะ เอเชีย อินดัสเตรียล เอสเตท ร่วมทุน5 หมื่นล้าน ผสาน "โสภณพนิช" พัฒนาโครงการ "อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์"เมืองอุตสาหกรรมครบวงจบนถนนบางนา-ตราดเทคขนาด 4.6 พันไร่ ใหญ่สุดใน กทม.-ปริมณฑล ประเมินบวกต่อหุ้นที่เชื่อมโยง BBL, ROJNA และ FPT

(*/+) TH Tourism: อิงข้อมูลสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง นักท่องเที่ยวต่างชาติวันที่ 11 ก.พ. 25 อยู่ที่ 1.01 แสนคน หนุน YTD (11 ก.พ.) โดยรวมถือเป็นจิตวิทยาลบอ่อนๆ ต่อกลุ่มท่องเที่ยว หลังนักท่องเที่ยวรายวันแผ่วลง ทั้งนี้ หากมองภาพ YTD ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยแล้ว 5.01 ล้านคน คิดเป็นยอด 1-11 ก.พ. 25 อยู่ที่ 1.3 ล้านคน หรือเฉลี่ยวันละ 1.18 แสนคน ยังปรับเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ย ก.พ. 24 ที่ +2.7% (มีเทศกาลตรุษจีนระหว่างวันที่ 10-24 ก.พ. 24) ต่ำกว่า Pre-COVID นักท่องเที่ยวเฉลี่ย ก.พ.19 เพียงราว -7.6% (มีเทศกาลตรุษจีนระหว่างวันที่ 5 -19 ก.พ. 19) เราประเมินหุ้นอิงภาคบริการท่องเที่ยว หากอ่อนตัวลงรับภาพโมเมนตัมระยะสั้น ยังทยอยสะสมได้ เน้น MINT ERW BA AAV CPALL

(*/+) Entertainment Complex: เลขาธิการ​คณะกรรมการ​กฤษฎีกา​เปิดเผยถึงความคืบหน้า​ร่างพระราชบัญญัติ​พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ... หรือ เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์​ ตามกรอบเวลา​50 วัน ว่า​น่าจะเสร็จสิ้นช่วงต้น มี.ค. 25 ประเมินความคืบหน้าเพิ่มขึ้น เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นในธีมดังกล่าว อาทิ AOT, BA, BTS, VGI, MBK

(*/+) Cabinet: ที่ประชุม ครม. วันอังคารเห็นชอบ

1.) ขยายโครงการ คุณสู้ เราช่วย ให้ลูกหนี้รายย่อยของ Non Banks

มาตรการที่ 1 จ่ายตรง คงทรัพย์ (ลดภาระผ่อน จากการให้หยุดชำระดอกเบี้ย 3 ปี) ครอบคลุม สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อรถจักรยานยนต์ สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล และสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์

มาตรการที่ 2 "จ่าย ปิด จบ" ช่วยลดภาระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ Non-Banks บุคคลธรรมดาที่เป็นหนี้เสีย แต่มียอดคงค้างหนี้ไม่เกิน 5,000 บาท โดยให้ลูกหนี้ชำระหนี้เพียงร้อยละ 10 เพื่อปิดหนี้ได้ทันที

แม้ยังต้องติดตามขนาดของมาตรการ แต่เบื้องต้นเราประเมินเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มเช่าซื้อฯ และ เครดิตการ์ด เน้น MTC

2.) อนุมัติงบกลาง 190 ล้านบาท ชดเชยนโยบาย "รถไฟฟ้า - รถเมล์ฟรี" แก้ปัญหา PM2.5 ปรับลดจากเดิมที่เคยเสนอ 329 ล้านบาท ประเมินบวกต่อ BTS BEM แต่ให้เน้นลงทุน BTS ที่อยู่ในรอบ Turnaround และมีแนวโน้มได้ประโยชน์การเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทสูงกว่า BEM

นอกจากนี้ นายกสั่งการ ครม.

3.) ให้ 4 กระทรวง ศึกษากฎหมายคุมเวลาขายเหล้า และห้ามขายเหล้าวันพระ หลังใช้มานาน 53 ปี ให้ตรงกับความเป็นจริงของทั้งสังคมไทยและการท่องเที่ยว บี้สรุปก่อนสงกรานต์ ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่จำหน่ายสินค้าเชื่อมโยงกับเครื่องดื่มแอลฮอล์ เช่น CBG BJC และหุ้นภาคบริการ โรงแรม ERW MINT ค้าปลีก CPALL CPAXT

(*) To monitor: สัปดาห์นี้ ปัจจัยภายในติดตาม

1.) 13 ก.พ. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ม.ค. 25 ไม่มีคาด vs prev. 57.9 จุด

2.) ช่วงที่เหลือสัปดาห์นี้ หุ้นหลักๆที่จะรายงานสัปดาห์นี้ ได้แก่ AOT*, MINT*, TOP, DELTA (* = หุ้นที่คาดรายงานกำไรออกมาดี)

 

Daily Strategy : BBL, KBANK, CPAXT

ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "ฟื้นตัวต่อ" ประเมินหุ้นด่นวันนี้ 1.) หุ้นธนาคาร เกาะกระแส Yield สหรัฐฯเร่งขึ้น หลังเงินเฟ้อระยะสั้นสูงกว่าคาด ผสาน เริ่มเห็นการเตรียมพื้นที่นิคมกลุ่มทุนใหญ่แห่งใหม่ บ่งชี้สัญญาณลงทุนในประเทศเร่งขึ้น 2.) หุ้นชิ้นส่วน ตามกระแส Apple ร่วมมือ BABA รวมถึง ปธน. ฝรั่งเศสให้ Outlook ทางบวกการลงทุนเทคฯ และสหรัฐฯที่มีแนวโน้มยกเว้นภาษีเท่าเทียมในส่วนสินค้ายานยนต์และยา 3.) 7 หุ้นในธีม Value ที่เราแนะลงทุนยาว (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO)

 

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงต่อในปี 2025 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
กลุ่มที่คาดรายงานกำไร 4Q24F ออกมาดี ขยายตัว y-y q-q (ADVANC, AMATA, BTS, ERW, CRC, HMPRO , TRUE, OKJ)
กลุ่มที่คาดมีโอกาสซื้อหุ้นคืน (PTT , SCB , KBANK , KTB , BBL , PTTGC , TOP BCP)

• FEB25 Best Picks: ADVANC, AMATA, BA, BTS, ERW, KBANK, TTB

• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

Strategy Update: ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน SET UPDATE: เข้าสู่จุด Deep Value เชิงพื้นฐาน แนะนำ 7 หุ้นมูลค่าเพื่อการลงทุนระยะยาว แนะนำ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO

Key Ideas: SET ปรับตัวลงแรง -9.86%ytd และอยู่ใน "Value Zone" ดังที่เคยกล่าวในช่วงก่อนหน้า ว่า SET มี Current Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.56% สูงกว่า AVG + 1.5 S.D. (4.53%) ที่เป็นจุดกลับตัวตลาดในรอบ 10ปีที่ผ่านมา แต่เพื่อความเด่นชัด ในมิติอื่นๆ ทีมกลยุทธ์ KSS จึงตรวจสอบค่าที่สะท้อนภาวะ "Value Market" ในมิติอื่นๆ อีก 4มิติ พบว่า ตลาดหุ้นไทย ควรค่าแก่การลงทุนระยะยาว และเป็น Deep Value Zone อย่างแท้จริง

1.) Trailing PER หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.42 vs ปัจจุบัน -0.37 "สะท้อนว่าค่อนข้าง Value"

 

2.) PBV หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.86 vs ปัจจุบัน -1.97 "Deep Value" มาก

 

3.) Invert Dividend Yield หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -1.01 vs ปัจจุบัน -1.58 "Deep Value" มาก

 

4.) GDP ที่ตลาดคาดการณ์ ในปีนั้นๆ ณ จุดกลับตัวหลังปี 2011 Ex Crisis เฉลี่ย 2.36% vs ปัจจุบัน 3% สะท้อนภาพตลาดยังมองการเติบโต ขณะที่ Outlook ปัจจุบันไทย เราเริ่มเห็นแนวทางการสร้าง S Curve ใหม่ๆ

เราประเมินผลกระทบรอบนี้ เกิดจาก แรงขาย Panic Sell จากการปรับลดน้ำหนัก DELTA และแรงขายกองทุน LTF ขณะที่ระดับ SET ตั้งแต่ต่ำกว่า 1300 จุด เริ่มเห็นเม็ดเงินใหม่ที่มีโอกาสเข้ามา เรามองแนวโน้มตลาด: ช่วงสร้างฐาน (Consolidation Phase) : ระดับแนวรับเชิงพื้นฐานที่กรอบ 1270-1250จุด ขณะที่แนวรับเชิงโครงสร้างเทคนิคระยะยาวของรายเดือนจากฐานปี 2008 สู่ปัจจุบัน อยู่ใกล้เคียงกันที่ 1225 จุด ซึ่งเป็นโซนเหมาะสม สำหรับ Domestic Long Term Fund ที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย หรือ นักลงทุนที่ต้องการการออมในระยะยาว

Strategy : KSS คัดเลือกหุ้นพื้นฐานดีที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Value ด้วยเงื่อนไขใกล้เคียง SET และธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งภายในภายนอก และพร้อมเติบโตในอีก 3ปีข้างหน้า ใน "Theme 7 Value Stocks" ดังนี้ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO

Strategist Comment: Deepseek

กระแสข่าว AI Application จากประเทศจีน "Deepseek" ที่ทำงานได้ใกล้เคียงผู้นำตลาด โดยไม่จำเป็นต้องใช้ชิปประมวลผลสูง ทำให้ต้นทุนพัฒนาต่ำกว่า

โดยรวมประเมินนำมาสู่โอกาสเห็นภาพ AI Adoption ทั่วโลกเร่งขึ้น แต่สร้างความเสี่ยงหุ้น Semiconductor โลกที่จำหน่ายชิปประมวลผลระดับสูงที่อาจมีผลกระทบต่อยอดขาย จึงน่าจะเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นใน 1.) กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไทย ให้เกิดภาพชะลอลงทุนระยะสั้น อย่างไรก็ตาม KSS ประเมินผลกระทบจำกัด เพราะบริษัทชิ้นส่วนไทยไม่ได้มีสินค้าหรือรายได้ชิปประมวลผลสูง อาทิ กรณี DELTA เน้นจำหน่าย Power Supply ส่วนอีกกลุ่มที่อาจจะเห็นการชะลอลงทุน คือ 2.) กลุ่มโรงไฟฟ้า อาจจะมีความกังวลการใช้ไฟฟ้าต่ำลงตามรูปแบบชิปประมวลผลสูงลดลง อย่างไรก็ตาม ภาพบวกที่ AI Adoption จะเพิ่มขึ้นหนุนความต้องการโรงไฟฟ้ารวมถึงอุปกรณ์ Power Supply ในท้ายที่สุดอยู่ดี กลยุทธ์รอตั้งรับเมื่อหุ้นอ่อนตัวรับความกังวล

ขณะที่กลุ่มคาดได้ประโยชน์จากกรณีดังกล่าว คือ กลุ่มที่ผู้ใช้งาน AI ที่มีทางเลือกมากขึ้น ต้นทุนลดลง คาดนำมาสู่ปริมาณการใช้ข้อมูลในโครงข่ายโทรคมนาคมเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด ในส่วนกลุ่มสื่อสาร เน้น ADVANC และกลุ่ม Digital Tech Consult ที่ปริมาณงานที่ปรึกษาดิจิตอลจะเพิ่มขึ้นตาม AI Adoption เน้น BE8, BBIK

Strategy Update: MSCI Rebalance

MSCI ประกาศรายชื่อหุ้นที่ใช้ในดัชนีรอบใหม่ (Feb 2025 Rebalance) ดัชนี MSCI ACWI Standard Index

หุ้นเข้า : ไม่มี

หุ้นออก : TOP, PTTGC

ดัชนี MSCI Global Small Cap

หุ้นเข้า : GPSC, PTTGC, SCGP, TOP

หุ้นออก : BSRC, TIPH, DCC, ERW, GFPT, KAMART, PSH, PSG, SAPPE, STECON, THG

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะมีผลที่ราคาปิดวันที่ 28 ก.พ. นี้

กลยุทธ์ ระยะสั้นเลี่ยงลงทุนหุ้นที่ถูกถอดออกจากดัชนี

Strategy Update : Dividend Plays 2H24

ช่วงปลายเดือน ก.พ. - พ.ค. 2025 จะเข้าสู่เทศกาลจ่ายปันผลประจำปี 2024 ของบริษัทจดทะเบียน ทีมกลยุทธ์ KSS จึงได้รวบรวมหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง) จากคาดการณ์ของ KSS และ Consensus เพื่อนำมาคัดสรรหุ้นปันผลสูง (High Dividend) คือ Dividend Yield มากกว่า 3.5% สำหรับกลยุทธ์การลงทุนระยะ 1 - 2 เดือนแรกของปี ใน "Theme Dividend Play"

Key Ideas : KSS มีมุมมองบวกต่อการลงทุนในหุ้นปันผลในช่วงต้นปีเนื่องจาก

o KSS ได้ทำการศึกษาสถิติผลตอบแทนหุ้นปันผล(SETHD) ย้อนหลัง 10 ปี พบว่า SETHD ในช่วงเดือน ม.ค. – ก.พ. ของทุกปี ผลตอบแทนมักเป็นบวก เดือน ม.ค. ผลตอบแทนบวก 6 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.7%, เดือน ก.พ. บวก 7 ใน 10 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +0.67%

o SETHD ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของทุกปี (งวด 1Q) ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.85%)

กลยุทธ์ : ในเชิงกลยุทธ์ KSS แนะนำซื้อหุ้นปันผลสูงก่อนที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD 2 สัปดาห์แล้วขายวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD (dividend capture) มักจะให้ผลตอบแทนที่ดี ทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการคัดกรองหุ้นปันผลเด่น ภายใต้เงื่อนไข 2 ข้อ คือ

1.) เป็นหุ้นที่จะจ่ายเงินปันผล ช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง)

2.) เป็นหุ้นพื้นฐานที่มีแนวโน้มการเติบโต/กระแสเงินสดมั่นคง /อยู่ใน Theme การลงทุนหลักของ KSS ปี 2025 อาทิ Theme เศรษฐกิจไทยปี 2025F เติบโต อาทิ กลุ่มธนาคาร หรือ อยู่ในอุตสาหกรรม Up Cycle อาทิ Sector ICT หรือ หุ้นที่อยู่ในกลุ่มได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง อาทิ กลุ่มอสังหา กลุ่มการเงิน ฯลฯ โดยเรียงตามอัตราตอบแทนเงินปันผลจากสูงไปต่ำ

พบว่ามีหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลเด่น 9 บริษัท คือ

หุ้น Big Cap ได้แก่ SCB (TP Max Con 135.0, Yield 2H24F 8.6%), TTB (TP25-2.2,Yield 2H24F 7.2%) HMPRO (TP25-13.5,Yield 2H24F 4.3%) INTUCH (TP25-108,Yield 2H24F 4.2%), ADVANC (TP25-305, Yield 2H24F 3.7%),
หุ้น Mid Cap ได้แก่ AP (TP25-11.8., Yield 2H24F 7.65%), TISCO (TP25-97.0, Yield 2H24F 5.84%), SC (TP25-3.2, Yield 2H24F 5.52%), JMT (TP25-22.8, Yield 2H24F 2.3%),

หุ้นปันผลสูงครึ่งหลังปี 2024 ADVANC, INTUCH, SCB, TTB, HMPRO,JMT AP, SC, TISCO

โดยทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการศึกษาสถิติหุ้นปันผลเด่น 9 บริษัทดังกล่าวข้างต้น ย้อนหลัง 8 ปี พบว่าหากลงทุนซื้อหุ้นก่อน 2 สัปดาห์และขายวันที่ขึ้น XD พบว่า ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นที่ให้ Return มากที่สุด คือ JMT +5.36%, TTB +4.16%, ADVANC +3.05%, ส่วน SCB, HMPRO, INTUCH, AP, SC, TISCO ผลตอบแทน (Capital Gain) เฉลี่ยอยู่ราว 1% เท่ากับว่า การลงทุนหุ้นกลุ่ม High Dividend ในช่วงเวลาดังกล่าว หลาย ๆ ครั้งนักลงทุนจะมักจะได้รับเงินปันผลฟรี

 

• OR (Buy, TP25F-17): เราคงคำแนะนำ Buy ต่อ OR ที่ TP25F = 17.0 บาท/หุ้น น่าสนใจลงทุนระยะยาวบนการฟื้นตัวของ Mobility ทั้งการฟื้นของส่วนแบ่งตลาดฯและกำไรขั้นต้นต่อลิตร รวมถึง Lifestyle ที่ขยายตัวต่อเนื่องและมีความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน โดยแนวโน้มดังกล่าวสะท้อนใน 4Q24 ที่กำไรสุทธิออกมาฟื้นทั้ง y-y, q-q ทุกธุรกิจ โดย Mobility ยอดขายน้ำมันต่อสาขาฟื้น q-q เร่งกว่าใน 4Q23 สะท้อนว่าเริ่มชิงส่วนแบ่งตลาดได้ และการเติบโตของยอดขาย Lifestyle เร่งกว่าการเติบโตของสาขา และอัตรากำไรฟื้น ในสภาวะที่คู่แข่งเร่งขยาย สะท้อนว่ามีความสามารถในการแข่งขัน คาดกำไรปกติ 2025-26F +23% CAGR Vs. PER25F ราว 12 เท่า

• SAPEE (Buy, TP25F-70): We maintain BUY and cut TP to THB70 (from THB100), as 4Q24F revenues could be softer than expected (from weaker revenue growth in Europe). Nevertheless, we project 4Q24F core profit to be decent, growing 35% yoy to THB204m, underpinned by the revenue growth of 12% yoy (to THB1.4b) and gross margin expansion of 0.5ppt due to lower packaging material prices. Because of the challenges in Europe (21% revenue contribution) in 4Q24F, we cut revenues by 8-13% for 2025F to 2026F, and core profit by 6-10% from 2025F-2026F. SAPPE is trading at 11.3x 2025F P/E, -2SD below its long-term average. It is our top pick in the beverage sector.

• SYNEX (Buy, TP25F-17.8): Our Buy rating remains unchanged with same TP Bt17.8. The concern over potential loss of ECL in 4Q24 and mediocre performance going forward causes the plunge in the share price recently. We argue the correction in the share price over past two weeks look overdone due to i) the loss of market cap is about Bt2.5b, much larger than potential loss of Bt40m ECL in 4Q24; ii) the flat EPS growth in 4Q24 isn't the trend. We still expect earnings in 2025 to grow by 19% driven by various catalysts

• JMT (Buy, TP25F-15.6): เรามอง Slightly Negative ต่อกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 400 ลบ. (-26% y-y, -7% q-q) หากไม่รวม Extra Items จากการด้อยค่า Goodwill ในบริษัทย่อย 60 ลบ. กำไรปกติจะอยู่ที่ 456 ลบ. (-16% y-y, +6% q-q) ใกล้เคียง Consensus โดย Key highlight Cash collection ฟื้นตัว (+5% q-q) และ ECL ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง (-52% y-y, -52% q-q) แต่จุดลบคือ บริษัทซื้อหนี้ทั้งปี 24 ได้เพียง 1.1 พันลบ. (ต่ำกว่าปีที่แล้วที่ 7 พันลบ และค่าเฉลี่ยย้อนหลังที่ปกติจะซื้อปีละ 4 พันลบ.) เราจึงปรับลดกำไรปี 25-26F ลงเฉลี่ย 15% จาก i) ลดปริมาณซื้อหนี้ปี 25-26F ลงมาเหลือ 2,000 ลบ. ต่อปี ii) ลด Cash collection ปี 25-26F ลงเฉลี่ย 11% ตามการเติบโตของมูลหนี้ที่ชะลอลง iii) ลดส่วนแบ่งกำไรจาก JK ลงเฉลี่ย 19% คาดกำไรปกติ 1Q25F เพิ่มขึ้นเล็กน้อย y-y ตามทิศทาง ECL ขาลง และลดลง q-q จากฤดูกาล เราคงคำแนะนำ Trading Buy บน TP25F ใหม่ 15.6 บาท (เดิม 22.8 บาท) ที่ PBV25F 0.8x อิงค่าเฉลี่ยย้อนหลัง -1.5SD โดย JMT ประกาศจ่ายปันผลงวด 2H24 อีก 0.28 บาท (Yield 2%, XD 25 ก.พ.) รวมเป็น Dividend yield ปี 24F ราว 5%


2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility

Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE

Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้