Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี : KSS Daily Strategy

654

 

"Domestic Play"

 

KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "ย่ำฐาน" ต้าน 1290/1300 จุด รับ 1270/1260 จุด คาดตลาดวันนี้เป็นภาพรอติดตามประเด็นความเสี่ยงใหม่ต่างประเทศ เรื่องหลัก คือ 1.) นโยบายคุณ Trump ที่ประกาศมีนโยบายการค้าแบบตอบแทน เพื่อที่สหรัฐฯจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันกับประเทศอื่นๆ (Reciprocal Tariffs) KSS ประเมินเป็นประเด็นที่สร้างความเสี่ยงต่อ Upside เงินเฟ้อและ Downside เศรษฐกิจ ระยะสั้นคาดนักลงทุนจะชะลอลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อประเมิน แต่คาด Downside โดยรวมจำกัด 2.) ยอดจ้างงานผสมผสาน มีจุดอ่อนที่การจ้างงานใหม่ ม.ค. 25 ต่ำกว่าคาด อ่อนลง -53%m-m ปัจจัยนี้มีโอกาสจำกัดความเสี่ยงการใช้นโยบายการค้าที่รุนแรงของคุณ Trump 3.) ภายในเป็นบวก Fund Flows เพิ่มน้ำหนักลงทุน SET ต่อเนื่องตั้งแต่ตลาดมี Equity Risk Premiun > AVG +1 S.D. สะท้อน SET อยู่ในโซนลงทุน +ผลกระทบ Reciprocal Tariffs กระจุกตัวในสินค้าเกษตร ยานยนต์ และชิ้นส่วนฯ 4.) สัญญาณฟื้นตัว Domestic ADVANC กำไรดีกว่าคาด, กลุ่มเช่าซื้อมีภาพบวกคุณภาพสินทรัพย์เช่นเดียวกับธนาคาร กลยุทธ์วันนี้เลี่ยงหุ้นอิงภายนอก เน้นหุ้น Domestic ที่มีอยู่ในโซนลงทุน ผสาน หุ้นอิงภาคบริการ หุ้น Dividend (ธนาคาร สื่อสาร) วันนี้แนะนำ ADVANC, CPALL, MINT เด่น

 

 

Daily outlook: "ย่ำฐาน" ต้าน 1290/1300 จุด รับ 1270/1260 จุด

What happened around the world?

(*/-) US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงรับตัวเลขจ้างงานวันศุกร์ และประเด็นคุณ Trump จะปรับภาษีนำเข้ากับประเทศอื่นๆทั่วโลกตามที่เคยหาเสียงไว้และตลาดรอตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐที่จะประกาศสัปดาห์นี้ อิง ดัชนี Dow jones -0.99%d-d, ดัชนี Nasdaq -1.36%d-d S&P500 -0.95% โดยดัชนี S&P 500 ปรับลงทุก Sector หลักๆ นำโดย กลุ่ม Consumer Discretionary, ICT, Materials, IT ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวเด่นคือ Amazon -4% รับข่าวบริษัท Guide ธุรกิจ E-Commerce ชะลอ แต่คาดการเติบโตของรายได้ที่ 5-9% ในช่วง 1Q25 เป็นระดับการเติบโตที่อ่อนแอที่ต่ำที่สุด, Tesla-3.4%, Alphabet -3.3% ลฯ

(*/-) US Tariff : เมื่อวันศุกร์ประธานาธิบดี Trump ประกาศเตรียมเรียกเก็บภาษีศุลกากรหรือภาษีนำเข้า(Reciprocal Tariffs) สัปดาห์นี้กับประเทศคู่ค้าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มาตรการนี้จะส่งผลกระทบต่อ "ทุกประเทศ" และล่าสุดเช้าวันนี้ Trump เตรียมประกาศภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม 25% กับทุกประเทศทั่วโลกในวันจันทร์นี้ KSS ประเมินเป็นสิ่งที่ก่อนหน้าทรัมป์เคยหาเสียงไว้ก่อนหน้าอยู่แล้ว โดยผลกระทบคาดคือ 1.) ตลาดหุ้นโลกและ SET Index วันนี้คาดมีจิตวิทยาลบ แต่มองเพียงระยะสั้น ประเมินแนวรับสำคัญ 1270 จุด และ 1252 จุด (low เมื่อวันศุกร์) 2.)ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยคือ ภาคส่งออกเนื่องจาก 1.)ไทยเก็บภาษีสหรัฐเฉลี่ย 10.4% ในทางตรงข้ามสหรัฐฯเก็บไทย 3.4% และไทยส่งออกไปสหรัฐ 18% ของส่งออกรวม 2.)สินค้าที่เข้าข่ายไทยเก็บแพงกว่าสหรัฐ คือ เกษตร, ยานยนต์ ชิ้นส่วน (คิดเป็น 35-40% ของยอดส่งออกไทยไปสหรัฐ) คาดมีโอกาสได้รับผลกระมบ 3.)Sector หุ้นที่คาดกระทบคือ กลุ่มเกษตร, ยานยนต์, ชิ้นส่วน เหล็ก, อาหารทะเล(คาดได้รับผลกระทบจำกัด) คาดเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นส่งออก อาทิ KCE, TU ฯลฯ โดยรวมในเชิงกลยุทธ์มองแนะนำลงทุนในหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากประเด็น Tariff อาทิ กลุ่ม Domestic กลุ่มอิงบริการ เน้น ADVANC, AOT, BTS, ERW, MINT, CPALL

(*) US Econ : 1.)ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ม.ค.ออกมา + 1.43 แสนต่ำตลาดคาด 1.75 แสนราย (VS. Top Ranks 2.4 แสนราย) vs prev. 3.07 แสนราย อย่างไรก็ตามอัตราว่างงานลดลงมาที่ 4.0% ต่ำกว่าคาดและลดลงจากเดือนก่อนที่ 4.1% ขณะที่อัตราการปรับตัวเพิ่มขึ้นของค่าแรงรายชั่วโมงอยู่ที่ +0.5%m-m +4.1%y-y สูงกว่าคาดที่ +0.3%m-m, +3.8%y-y 2.) ตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดย ม.มิชิแกน เดือน ก.พ. ลดลงมาอยู่ที่ 67.8 จุด ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 71.3 จุด ส่วนคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในช่วง 1 ปีข้างหน้าขึ้นมาแตะ 4.3% ทำจุดสูงสุดตั้งแต่ พ.ย.2023 โดยรวมภาพรวมสะท้อนภาพการจ้างงานสหรัฐฯสมดุล บ่งชี้ภาพ Goldilocks to Soft Landing ของสหรัฐ

(*/+) China Econ : จีนรายงานอัตราเงินเฟ้อ เดือน ม.ค. +0.7%m-m prev. 0.0% และ +0.5%y-y ใกล้เคียงคาดและเร่งขึ้นจาก +0.1%y-y KSS ประเมินเงินเฟ้อจีนล่าสุดที่เร่งขึ้นสะท้อนมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่ม China play อาทิ IVL, SCC

(*/+) Asia Central Bank Meeting : กระแสการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในกลุ่มประเทศอาเซียนยังเป็นขาลงต่อ ล่าสุดตลาดคาดสัปดาห์นี้ ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP)ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก จากปัจจุบันที่ระดับ 5.75% ส่วนปลายสัปดาห์ที่แล้วธนาคารกลางอินเดีย(RBI) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยฯ 25 bps สู่ระดับ 6.25% Inline ตลาดคาด ซึ่งเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยรวม KSS ให้น้ำหนักการลงทุน Neutral โดยประเมินจะสร้างความคาดหวังทำให้มุมมองอัตราดอกเบี้ยไทยมีโอกาสปรับลดลงตามประเทศอื่นในเอเซียบวกต่อหุ้นในกลุ่มการเงิน MTC, JMT กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF กลุ่มหนี้สูง CPALL, CPAXT, MINT

(*) To Monitors : ฝั่งสหรัฐ 12 ก.พ. ติดตามเงินเฟ้อ CPI ม.ค. คาดเงินเฟ้อทั่วไป +0.3%m-m, +2.9%y-y vs prev. +0.4%m-m, +2.9%y-y เงินเฟ้อพื้นฐาน คาด +0.2%m-m, +3.2%y-y vs prev. +0.3%m-m, +3.1%y-y,14 ก.พ. ติดตามดัชนีค้าปลีก ม.ค. คาด +0.0%m-m vs prev. +0.4%m-m, ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม ม.ค. คาด +0.3%m-m vs prev. +0.9%m-m ฝั่งยุโรป 13 ก.พ. ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม ธ.ค. คาด -0.2%m-m เท่าเดือนก่อน, 14 ก.พ. ติดตาม GDP งวด 4Q24 คาด +0.9%y-y เท่าไตรมาสก่อน ฝั่งจีน 9 ก.พ. รายงาน CPI เดือน ม.ค. คาด +0.0%m-m, +0.1%y-y vs prev. +0.0%m-m, +0.1%y-y

(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ อายุ 2 ปี rebound แรง +7 bps อยู่ที่ 4.29% และอายุ 10 ปี +6 bps อยู่ที่ 4.49% และระหว่างการเทรดขึ้นไปยืนเหนือ 4.5% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางเดียวกัน) ,ระยะสั้นมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร KBANK KTB SCB กลุ่มประกันชีวิต BLA ส่วน Dollar Index แนวโน้มแข็งค่าที่ 107.9 จุด

(*/+)Oil : น้ำมันดิบ Brent +0.5%d-d ปิดที่ USD 74.66/barrel. น้ำมันดิบ West Texas +0.56%d-d ปิดที่ USD 71.0/barrel

 

What happened in Thailand?

(*/+) SET Index : SET Index วันทำการล่าสุด ยังผันผวน ทำจุดต่ำสุดที่ 1252 จุด แต่ช่วงบ่ายฟื้นตัวแรง +1.59% มาปิดที่ 1282 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มพลังงาน (GULF, PTT) GULF หนุนจากการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลของ GULF กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA, CCET) DELTA เริ่มฟื้นตัว จากถูกปรับสถานะจากปัจจัยกดดันหลักเกณฑ์กำหนดน้ำหนักต่อหุ้นใน SET50 ใหม่ของตลาดไม่เกิน 10% ต่อหลักทรัพย์ กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มธนาคาร (SCB, KBANK) คาดตลาดสลับเล่นจากกลุ่มที่ Outperform ไปหุ้นปรับฐานลึก กลุ่มเช่าซื้อ (SAWAD, MTC)

(++) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุด เงินไหลเข้า ซื้อหุ้น +30.7 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +30.1 ล้านเหรียญฯ เป็นการซื้อหุ้น+พันธบัตรพร้อมกันต่อเนื่องเป็นวันทำการที่ 4 TFEX Net Long 16,670 สัญญา เงินบาทอ่อนค่าสู่บริเวณ 33.9+/- บาท

(*/+) TH Tourism: อิงข้อมูลสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง 7 ก.พ. พบว่ามีนักท่องเที่ยวเข้าไทยราว 1.3 แสนคน ขณะที่ YTD ถึง 7 ก.พ. สูงราว 4.56 ล้านคน หากไม่รวมยอด ม.ค. 25 ที่ 3.7 ล้านคน พบว่านักท่องเที่ยว 1-7 ก.พ. สูงราว 0.86 ล้านคน หรือเฉลี่ยวันละ 1.21 แสนคน สูงกว่าค่าเฉลี่ย ก.พ. 24 (มีเทศกาลตรุษจีนระหว่างวันที่ 10-24 ก.พ. 24) +5.3%y-y ขณะที่ต่ำกว่า Pre-COVID นักท่องเที่ยวเฉลี่ย ก.พ.19 ราว -5.3% (มีเทศกาลตรุษจีนระหว่างวันที่ 5 -19 ก.พ. 19) ราว -5.3% โมเมนตัมดังกล่าวยังประเมินภาพบวกต่อกลุ่มอิงภาคบริการ โรงแรม ERW MINT การบิน AAV BA และภาคบริการ CPALL

(*/+) Service: เวทีประกวดมิสยูนิเวิร์ส ได้ประกาศแล้วว่า ประเทศไทย จะได้เป็นเจ้าภาพในการจัดประกวด มิสยูนิเวิร์ส 2025 ครั้งที่ 74 โดยการจัดงานจะเกิดขึ้นวันที่ 21 พ.ย. 25 คาดส่งผลบวกต่อภาคบริการช่วงปลายปีนี้ จิตวิทยาบวกต่อหุ้นอิงภาคบริการ โรงแรม ERW MINT ค้าปลีก

(*/+) Infrastructure: บอร์ดสิ่งแวดล้อม อนุมัติเปลี่ยนแปลงรายงาน EIA โครงการทางด่วนใหม่ ฉลองรัช-นครนายก-สระบุรี 104.74 กิโลเมตร มูลค่ากว่า 3.44 หมื่นล้านบาท หลังจากนี้ คาดกระทรวงคมนาคม น่าจะนำเรื่องเข้า ครม. โดยรวมถือเป็นความคืบหน้าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานไทยในปี 2025 อย่างต่อเนื่อง ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นธนาคาร KTB รับเหมา CK, STECON (เก็งกำไร)

(*) To monitor: สัปดาห์นี้ ปัจจัยภายในติดตาม

1.) 10 กพ. คุณ Naomi Campbell นางแบบชื่อดังระดับโลกมีกำหนดการเข้าพบหารือนายกรัฐมนตรีเรื่องแนวทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแฟชั่น ในโอกาสเยือนประเทศไทย ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นอิงภาคบริการไทย

1.) 7-13 ก.พ. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ม.ค. 25 ไม่มีคาด vs prev. 57.9 จุด

2.) 11 ก.พ. ประชุม ครม. และรายงานนักท่องเที่ยวต่างชาติรายสัปดาห์

2.) หุ้นหลักๆที่จะรายงานสัปดาห์หน้า ได้แก่ GULF, INTUCH*, AOT*, MINT*, TOP, DELTA (* = หุ้นที่คาดรายงานกำไรออกมาดี)

 

Daily Strategy : ADVANC, CPALL, MINT

ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "ย่ำฐาน" หุ้นเด่นวันนี้ คาดบรรยากาศลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงอาจมีภาพชะลอลง จากการเตรียมประกาศนโยบายการค้าแบบตอบแทนของคุณ Trump ระยะสั้นกดดันหุ้นฝั่งอิงภายนอก (เกษตร ชิ้นส่วน ยานยนต์) แต่ภายในน่าจะเด่น โดยเฉพาะ 1.) หุ้น Domestic อิงภาคบริการ นักท่องเที่ยว ก.พ. 25 ยังดูดี ค่าเฉลี่ยรายวัน +5%y-y, -5% จากช่วง Pre-COVID ทั้งที่ฐานทั้ง 2 ช่วงมีเทศกาลตรุษจีน ผสาน ไทยได้รับเลือกเจ้าภาพจัดงาน Miss Universe หนุนหุ้นท่องเที่ยว ค้าปลีก การบิน 2.)หุ้น Domestic ที่มีอยู่ในโซนลงทุน 7Value (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO )ที่เราแนะนำ ผสาน หุ้น Dividend (ธนาคาร สื่อสาร)

 

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงต่อในปี 2025 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
กลุ่มที่คาดรายงานกำไร 4Q24F ออกมาดี ขยายตัว y-y q-q (ADVANC, AMATA, BTS, ERW, CRC, HMPRO , TRUE, OKJ)
กลุ่มที่คาดมีโอกาสซื้อหุ้นคืน (PTT , SCB , KBANK , KTB , BBL , PTTGC , TOP BCP)

• FEB25 Best Picks: ADVANC, AMATA, BA, BTS, ERW, KBANK, TTB

• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 


Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 


Strategy Update: ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน SET UPDATE: เข้าสู่จุด Deep Value เชิงพื้นฐาน แนะนำ 7 หุ้นมูลค่าเพื่อการลงทุนระยะยาว แนะนำ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO

Key Ideas: SET ปรับตัวลงแรง -9.86%ytd และอยู่ใน "Value Zone" ดังที่เคยกล่าวในช่วงก่อนหน้า ว่า SET มี Current Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.56% สูงกว่า AVG + 1.5 S.D. (4.53%) ที่เป็นจุดกลับตัวตลาดในรอบ 10ปีที่ผ่านมา แต่เพื่อความเด่นชัด ในมิติอื่นๆ ทีมกลยุทธ์ KSS จึงตรวจสอบค่าที่สะท้อนภาวะ "Value Market" ในมิติอื่นๆ อีก 4มิติ พบว่า ตลาดหุ้นไทย ควรค่าแก่การลงทุนระยะยาว และเป็น Deep Value Zone อย่างแท้จริง

1.) Trailing PER หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.42 vs ปัจจุบัน -0.37 "สะท้อนว่าค่อนข้าง Value"

 

2.) PBV หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.86 vs ปัจจุบัน -1.97 "Deep Value" มาก

 

3.) Invert Dividend Yield หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -1.01 vs ปัจจุบัน -1.58 "Deep Value" มาก

 

4.) GDP ที่ตลาดคาดการณ์ ในปีนั้นๆ ณ จุดกลับตัวหลังปี 2011 Ex Crisis เฉลี่ย 2.36% vs ปัจจุบัน 3% สะท้อนภาพตลาดยังมองการเติบโต ขณะที่ Outlook ปัจจุบันไทย เราเริ่มเห็นแนวทางการสร้าง S Curve ใหม่ๆ

เราประเมินผลกระทบรอบนี้ เกิดจาก แรงขาย Panic Sell จากการปรับลดน้ำหนัก DELTA และแรงขายกองทุน LTF ขณะที่ระดับ SET ตั้งแต่ต่ำกว่า 1300 จุด เริ่มเห็นเม็ดเงินใหม่ที่มีโอกาสเข้ามา เรามองแนวโน้มตลาด: ช่วงสร้างฐาน (Consolidation Phase) : ระดับแนวรับเชิงพื้นฐานที่กรอบ 1270-1250จุด ขณะที่แนวรับเชิงโครงสร้างเทคนิคระยะยาวของรายเดือนจากฐานปี 2008 สู่ปัจจุบัน อยู่ใกล้เคียงกันที่ 1225 จุด ซึ่งเป็นโซนเหมาะสม สำหรับ Domestic Long Term Fund ที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย หรือ นักลงทุนที่ต้องการการออมในระยะยาว

Strategy : KSS คัดเลือกหุ้นพื้นฐานดีที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Value ด้วยเงื่อนไขใกล้เคียง SET และธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งภายในภายนอก และพร้อมเติบโตในอีก 3ปีข้างหน้า ใน "Theme 7 Value Stocks" ดังนี้ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO

 

Strategy Update : โอกาสลงทุนจากกระแสหุ้นทุนซื้อคืน (Treasury Stocks)

· กระแสการซื้อหุ้นคืนรายบริษัท (Treasury Stocks) ของตลาดหุ้นไทย นับจากนี้มีแนวโน้มคึกคักขึ้น โดยเฉพาะฝั่งหุ้น Big-Mid Cap หลัง TTB นำร่องประกาศซื้อคืน 3 ปีปีละ 7.0 พันล้านบาท กรอบวงเงินรวม 2.1 หมื่นล้านบาท ผสาน SET Index ระดับดัชนีปัจจุบันอยู่ในโซนลงทุนดึงดูดเม็ดเงินลงทุนระยะกลาง-ยาว

· ทีมกลยุทธ์ ประเมินจากข้อเสนอแนะอดีตนายกฯ ในงานสัมมนาล่าสุด 1 ในแนวทางที่ช่วยเรียกคืนความเชื่อมั่นตลาดคือการซื้อหุ้นคืน(Treasury Stock) KSS ทำการคัดเลือกหุ้นที่มีโอกาสเห็นการประกาศซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) ในระยะถัดไป โดยใช้เกณฑ์

1.)เป็นหุ้น Undervalue ที่ซื้อขายต่ำมูลค่าทางบัญชี หรือมี PBV ต่ำกว่า 1.0 เท่า คือ

2.) มีสภาพคล่องมากพอซื้อคืน > 5.0% ของมูลค่าตลาดหุ้น (Market Cap) และมีสภาพคล่องเข้าเกณฑ์ของตลาดฯ 3.) มีสภาพคล่องเพียงพอชำระหนี้ครบกำหนดในอีก 1 ปี (vs ตลาดกำหนด6 เดือน)

4.)มีกำไรสะสมยังไม่ได้จัดสรรในงบเดี่ยวเพียงพอรองรับการซื้อคืน

· กลยุทธ์การลงทุน : แนะนำลงทุนในหุ้น Theme "Treasury Stock Plays" โดยเลือกหุ้นที่มีศักยภาพ และผ่านเข้าเกณฑ์ดังกล่าวข่าวต้น และมีปัจจัยหนุนอุตสาหกรรม พบว่ามีหุ้น Big Cap หลักๆ ในกลุ่มพลังงาน ธนาคาร ปิโตรเคมีที่มีโอกาสเห็นการซื้อคืนระยะถัดไป อาทิ PTT, SCB, KBANK, KTB , BBL, PTTGC, TOP, BCP

Strategist Comment: Deepseek

กระแสข่าว AI Application จากประเทศจีน "Deepseek" ที่ทำงานได้ใกล้เคียงผู้นำตลาด โดยไม่จำเป็นต้องใช้ชิปประมวลผลสูง ทำให้ต้นทุนพัฒนาต่ำกว่า

โดยรวมประเมินนำมาสู่โอกาสเห็นภาพ AI Adoption ทั่วโลกเร่งขึ้น แต่สร้างความเสี่ยงหุ้น Semiconductor โลกที่จำหน่ายชิปประมวลผลระดับสูงที่อาจมีผลกระทบต่อยอดขาย จึงน่าจะเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นใน 1.) กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไทย ให้เกิดภาพชะลอลงทุนระยะสั้น อย่างไรก็ตาม KSS ประเมินผลกระทบจำกัด เพราะบริษัทชิ้นส่วนไทยไม่ได้มีสินค้าหรือรายได้ชิปประมวลผลสูง อาทิ กรณี DELTA เน้นจำหน่าย Power Supply ส่วนอีกกลุ่มที่อาจจะเห็นการชะลอลงทุน คือ 2.) กลุ่มโรงไฟฟ้า อาจจะมีความกังวลการใช้ไฟฟ้าต่ำลงตามรูปแบบชิปประมวลผลสูงลดลง อย่างไรก็ตาม ภาพบวกที่ AI Adoption จะเพิ่มขึ้นหนุนความต้องการโรงไฟฟ้ารวมถึงอุปกรณ์ Power Supply ในท้ายที่สุดอยู่ดี กลยุทธ์รอตั้งรับเมื่อหุ้นอ่อนตัวรับความกังวล

ขณะที่กลุ่มคาดได้ประโยชน์จากกรณีดังกล่าว คือ กลุ่มที่ผู้ใช้งาน AI ที่มีทางเลือกมากขึ้น ต้นทุนลดลง คาดนำมาสู่ปริมาณการใช้ข้อมูลในโครงข่ายโทรคมนาคมเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด ในส่วนกลุ่มสื่อสาร เน้น ADVANC และกลุ่ม Digital Tech Consult ที่ปริมาณงานที่ปรึกษาดิจิตอลจะเพิ่มขึ้นตาม AI Adoption เน้น BE8, BBIK

Strategy Update: MSCI Rebalance

MSCI Rebalance รอบเดือนก.พ. จะประกาศรายชื่อวันที่ 11 ก.พ.มีผลราคาปิดวันที่ 28 ก.พ. เราคาดหุ้นเข้า/ออก ดัชนี MSCI ACWI ดังนี้

หุ้นเข้า: ไม่มี

หุ้นออก: TOP (medium conviction)

Strategy Update : Dividend Plays 2H24

ช่วงปลายเดือน ก.พ. - พ.ค. 2025 จะเข้าสู่เทศกาลจ่ายปันผลประจำปี 2024 ของบริษัทจดทะเบียน ทีมกลยุทธ์ KSS จึงได้รวบรวมหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง) จากคาดการณ์ของ KSS และ Consensus เพื่อนำมาคัดสรรหุ้นปันผลสูง (High Dividend) คือ Dividend Yield มากกว่า 3.5% สำหรับกลยุทธ์การลงทุนระยะ 1 - 2 เดือนแรกของปี ใน "Theme Dividend Play"

Key Ideas : KSS มีมุมมองบวกต่อการลงทุนในหุ้นปันผลในช่วงต้นปีเนื่องจาก

o KSS ได้ทำการศึกษาสถิติผลตอบแทนหุ้นปันผล(SETHD) ย้อนหลัง 10 ปี พบว่า SETHD ในช่วงเดือน ม.ค. – ก.พ. ของทุกปี ผลตอบแทนมักเป็นบวก เดือน ม.ค. ผลตอบแทนบวก 6 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.7%, เดือน ก.พ. บวก 7 ใน 10 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +0.67%

o SETHD ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของทุกปี (งวด 1Q) ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.85%)

กลยุทธ์ : ในเชิงกลยุทธ์ KSS แนะนำซื้อหุ้นปันผลสูงก่อนที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD 2 สัปดาห์แล้วขายวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD (dividend capture) มักจะให้ผลตอบแทนที่ดี ทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการคัดกรองหุ้นปันผลเด่น ภายใต้เงื่อนไข 2 ข้อ คือ

1.) เป็นหุ้นที่จะจ่ายเงินปันผล ช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง)

2.) เป็นหุ้นพื้นฐานที่มีแนวโน้มการเติบโต/กระแสเงินสดมั่นคง /อยู่ใน Theme การลงทุนหลักของ KSS ปี 2025 อาทิ Theme เศรษฐกิจไทยปี 2025F เติบโต อาทิ กลุ่มธนาคาร หรือ อยู่ในอุตสาหกรรม Up Cycle อาทิ Sector ICT หรือ หุ้นที่อยู่ในกลุ่มได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง อาทิ กลุ่มอสังหา กลุ่มการเงิน ฯลฯ โดยเรียงตามอัตราตอบแทนเงินปันผลจากสูงไปต่ำ

พบว่ามีหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลเด่น 9 บริษัท คือ

หุ้น Big Cap ได้แก่ SCB (TP Max Con 135.0, Yield 2H24F 8.6%), TTB (TP25-2.2,Yield 2H24F 7.2%) HMPRO (TP25-13.5,Yield 2H24F 4.3%) INTUCH (TP25-108,Yield 2H24F 4.2%), ADVANC (TP25-305, Yield 2H24F 3.7%),
หุ้น Mid Cap ได้แก่ AP (TP25-11.8., Yield 2H24F 7.65%), TISCO (TP25-97.0, Yield 2H24F 5.84%), SC (TP25-3.2, Yield 2H24F 5.52%), JMT (TP25-22.8, Yield 2H24F 2.3%),

หุ้นปันผลสูงครึ่งหลังปี 2024 ADVANC, INTUCH, SCB, TTB, HMPRO,JMT AP, SC, TISCO

โดยทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการศึกษาสถิติหุ้นปันผลเด่น 9 บริษัทดังกล่าวข้างต้น ย้อนหลัง 8 ปี พบว่าหากลงทุนซื้อหุ้นก่อน 2 สัปดาห์และขายวันที่ขึ้น XD พบว่า ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นที่ให้ Return มากที่สุด คือ JMT +5.36%, TTB +4.16%, ADVANC +3.05%, ส่วน SCB, HMPRO, INTUCH, AP, SC, TISCO ผลตอบแทน (Capital Gain) เฉลี่ยอยู่ราว 1% เท่ากับว่า การลงทุนหุ้นกลุ่ม High Dividend ในช่วงเวลาดังกล่าว หลาย ๆ ครั้งนักลงทุนจะมักจะได้รับเงินปันผลฟรี

 

• ADVANC (Buy, TP25F-305): We reiterate our Buy rating with higher TP to Bt311 (from Bt305) due to incorporate above 2024 performance. Our new earnings growth cycle theme reflected in 31% yoy and 10% qoq in 4Q24 to Bt9b. The result was 3% above our estimate form higher revenue from mobile. Completing 2024, earnings growth was 22%, 2% above our estimate. We fine-toned earnigns in 2025 to reflect this. As there is no change in major assumption, we still call for 6.6% earnings growth in 2025. 2H24 DPS of Bt5.74 was declared, implying dividend yield of 2% for 2-week holding period.

• PTT (Neutral, TP25F-32.5): แม้กำไรปกติ 4Q24F จะใกล้เคียงที่เคยประเมิน ราว 1.8 หมื่นลบ. โต y-y q-q จาก stock loss ที่น้อยลงของกลุ่มบริษัทลูก และธุรกิจก๊าซฯที่กำไรทรงตัวได้ q-q แม้เป็น low season หลังโรงแยกฯปรับราคาขายกับ PTTGC ได้ แต่ภาพระยะยาวแย่ลงจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นของ PTTEP และโครงการ CFP ที่ล่าช้าของ TOP เราจึงปรับลด TP25F ลงเป็น 32.50 บาท/หุ้น และปรับคำแนะนำลงเป็น Neutral มองปี 2025F ไม่ได้มี catalyst กำไรเพียงทรงตัว y-y ในขณะที่ยังเผชิญความเสี่ยงด้านกฏเกณฑ์จากความต้องการของภาครัฐที่ต้องการลดต้นทุนพลังงานของประเทศ

• Soft Com (Neutral): สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้น +2.1%w-w จากคาดการณ์อุปทานลดลงและคาดว่าอินเดียมีความต้องการเติมสต๊อกก่อนช่วงรอมฎอน ราคาถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น +1.5%w-w จากสภาพอากาศในบราซิลแล้งและร้อนจัดกังวลผลผลิตลดลง ราคาน้ำตาลเพิ่มขึ้น +1.2%w-w จากผลผลิตน้ำตาลในอินเดียมีแนวโน้มลดลง ส่วนราคายางพาราลดลง -2%w-w จากผลผลิตออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ขณะที่ความต้องการของผู้ประกอบการชะลอลง

อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ราคาไก่ ลดลง -2.4%w-w อยู่ที่ 40.50 บาท (ต้นทุน 36-37 บาท) จากผลผลิตและสต๊อกสะสมเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศที่เย็นลงเอื้อต่อการเติบโต ขณะที่ความต้องการบริโภคชะลอหลังตรุษจีน ราคาสุกรไทย ทรงตัว w-w ที่ 78.50 บาท (ต้นทุน 66-67 บาท) จากสต๊อกเพียงพอ ราคาสุกรจีน ลดลง -1.3%w-w ที่ 15.70 หยวน หรือ 72.96 บาท (ต้นทุนการเลี้ยง 15 หยวน) จากความต้องการลดลงหลังตรุษจีน ราคาสุกรเวียดนาม เพิ่มขึ้น +3%w-w ที่ 69,500 ดอง หรือ 93.06 บาท (ต้นทุนการเลี้ยง 43,000 ดอง) จากอุปทานลดลงเพราะปัญหาโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF)

เราให้น้ำหนักกลุ่มฯ NEUTRAL เรายังคงเลือก CPF (TP25F 27.40) เป็น Top pick ราคาเนื้อสัตว์มีแนวโน้มฟื้นตัว ขณะที่ต้นทุนอาหารสัตว์ยังอยู่ในระดับต่ำ

 

 

2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility

Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE

Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้