ดูเหมือนเราจะตกใจแรงเกินไป
ในช่วง 2 วันทำการของสัปดาห์นี้SET INDEX ปรับลดลง 1.03% จาก ความกังวลเรื่อง TRADE WAR ขณะที่ตลาดหุ้นประเทศที่ถูกประกาศขึ้น กำแพงภาษีไปแล้วปรับตัวลดลงไปมากสุด 0.99% ได้แก่แคนาดา ส่วน จีน และเม็กซิโก ปรับตัวขึ้น และหากมองภาพ 3 เดือน หลังการเลือกตั้งสหรัฐ พบว่าตลาดหุ้นทั้ง จีน เม็กซิโก และ แคนาดา ปรับเพิ่มขึ้น 0.58-2.11% ส่วนบ้านเราปรับลดลง 11.07% ซึ่งเห็นได้ว่าตลาดหุ้นบ้านเราดูดซับเรื่อง TRADE WAR ไปมากแล้ว ทั้งนี้หากประเมินในเชิงปริมาณการค้าพบว่า สหรัฐมีสัดส่นการค้ากับเราราว 2%เทียบกับ จีนที่ 17%, เม็กซิโก 19% และ แคนาดา 17% ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่าเราอาจไม่ใช่เป้าหมายแรกๆ ที่สหรัฐฯ จะให้ความสนใจเรื่อง TRADE WAR จึงดูเหมือนว่า SET INDEX ดูดซับ ความกังวลเรื่อง TRADE WAR มากเกินไป
หากสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นจริงในเรื่อง TRADE WAR ไม่ได้มีอะไรที่ร้อย แรงไปกว่ากระแสปัจจุบัน เชื่อว่า SET INDEX น่าจะมีDOWNSIDE จำกัด กรอบวันนี้ 1290-1312 จุด TOP PICK เลือก COM7, MTC และ TASCO
จีนสู้กลับสหรัฐฯ หวังการนัดเจรจาจะช่วยลดความรุนแรง TRADE WAR
วานนี้ (4 ก.พ. 68) คำสั่งของสหรัฐฯ ในการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา10% มีผลบังคับแล้ว ก่อนที่เวลาต่อมา รัฐบาลจีนตอบโต้กลับ ประกาศมาตราการทั้ง TARIFF และ NON-TARIFF ดังนี้
• จีนเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ 10-15% (รวมราว 80 รายการ) เริ่ม 10 ก.พ. 68 โดยจะเก็บภาษีในสินค้ากลุ่มถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลวใน อัตรา 15% (รวมมูลค่า $4.4 BLN) และกลุ่มสินค้าน้ำมันดิบ อุปกรณ์ทาง การเกษตร และรถยนต์บางรุ่น ในอัตรา 10% (รวมมูลค่า $9.5 BLN)
• จีนประกาศจะสอบสวน “GOOGLE” ในกรณีละเมิดกฎหมายต่อต้านการ ผูกขาดตลาด รวมถึงเพิ่มชื่อบริษัทไว้ในบัญชีดำ ได้แก่ บริษัท PVH (เจ้าของ CALVIN KLEIN) และบริษัท ILLUMINA
หากพิจารณาในมาตการ “จีนเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ” มีเป้าหมายควบคุม การส่งออกทังสเตนและโลหะสำคัญอื่น ๆ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การบิน และการป้องกันประเทศ โดยมีมูลค่ารวมราว $14 BLN ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับ “สหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้าจากจีน” มูลค่าราว $525 BLN
ในแง่มุมของผลกระทบต่อการพึ่งพิงการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ “จีน” มีสัดส่วนราว 13% ขณะที่ “ไทย” มีสัดส่วนราว 17% ซึ่งในระยะถัดไป กรณีสถานการณ์การตอบโต้ ทางการค้า (TARIFF) และไม่ใช่ทางการค้า (NON-TARIFF) ไม่รุนแรงขึ้น รวมถึงมีการ เจรจากันระหว่างประเทศ คาดว่าจะช่วยลดแรงกดดันจาก TRADE WAR ลงไปได้
ทั้งนี้ความเคลื่อนไหวล่าสุดของสหรัฐฯ ทาง ปธน. TRUMP จะสนทนาทางโทรศัพท์ กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ในวันที่ 4 ก.พ. 68 ส่วนบ้านเรา รัฐบาลไทย เตรียม ประเด็นเจรจา ยอมเพิ่มนำเข้าสินค้าสหรัฐ (เอทานอล-สินค้าเกษตร) พร้อมเล็งเพิ่ม ความสัมพันธ์ทหาร เพื่อลดผลกระทบถูกขึ้นภาษี โดยกระทรวงพาณิชย์มี กำหนดการเยือนสหรัฐฯ วันที่ 4-8 ก.พ. 68
ตลาดหุ้นไทยตื่นตระหนก TRADE WAR 2.0 เกินไปหรือป่าว
หลังจากที่ TRUMP มีการเจรจากับประเทศต่างๆ เกี่ยวกับประเด็นการปรับขึ้น TAX TARIFF จะเห็นได้ว่าประเทศที่มีประเด็นด้วย คือ ประเทศที่สหรัฐฯ มีมูลค่าการนำเข้า เกิน 10% ทุกประเทศ อาทิ MEXICO CHINA CANADA และ EUROPE ดังนั้นโอกาส ที่ไทยถูกตั้งกำแพงภาษีอาจไม่ใช่เร็วๆ นี้ เพราะ สหรัฐนำเข้าจากไทยในสัดส่วนแค่ 2.2% เท่านั้น
ขณะที่หากมาพิจารณาตอนปี 2018 เกิด TRADE WAR 1.0 จะเห็นได้ว่า รายได้ ทั้งหมดของบริษัทใน SET INDEX ไม่ได้ลดลง แถมเติบโตด้วยซ้ำ โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 12.6 ล้านล้านบาท เติบโต 11%YOY อีกทั้ง MARKET CAP/รายได้ ปัจจุบันอยู่ต่ำ เพียง 0.88 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต 10 ปีที่ 1.24 เท่า
และหากมาดูผลตอบแทนเปรียบเทียบของดัชนีต่างๆ ในช่วง TRADE WAR 1.0 จะเห็น ได้ว่า SET -10.8% ซึ่งน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่นอย่าง MEXICO CANADA CHINA แต่ใน ภาวะปัจจุบัน หรือ TRADE WAR 2.0 ตลาดหุ้นไทย (SET) เกิด PANIC SELL และ ปรับตัวลงมากกว่าตลาดหุ้นอื่นที่กำลังถูกสหรัฐตั้งกำแพงภาษี อย่าง MEXICO CANADA CHINA ทั้งในช่วงเวลา 3 เดือน (ตั้งแต่ TRUMP เข้ารับตำแหน่งถึงปัจจุบัน) และในสัปดาห์นี้(WTD)
ดังนั้น ฝ่ายวิจัยฯ จึงคาดว่า หุ้นใน SET ที่ปรับตัวลงมาลึกตั้งแต่ 5 พ.ย. 67 – 4 ก.พ. 67 และรับแรงกระแทกประเด็น TRADE WAR 2.0 ไปมากแล้ว อย่าง KCE TOP HANA GLOBAL SCGP BGRIM BH ITC ถือเป็นโอกาสทยอยสะสม เพื่อหวังผลกำไรใน ระยะกลางยาว
ตลาดกำลังพิจารณาใช้ CAPPED WEIGHT กับหุ้นรายตัวไม่ เกิน 10% ของดัชนี
ตลาดอยู่ในช่วงพิจารณาปรับน้ำหนักให้หุ้นแต่ละตัวมีน้ำหนักต่อดัชนีไม่เกิน 10% (CAPPED WEIGHT) โดยมีการ REBALANCE ทุกๆ ไตรมาส ใน SET50 SET100 SET50FF SET100FF ซึ่งตรงตามกฏกลต. ที่ห้ามกองทุนรวมซื้อหุ้นเกิน 10% ของ พอร์ต (ตลาดฯ เปิดรับฟังความคิดเห็นช่วง4-17 ก.พ.68)
ปัจจุบัน SET50 มี MARKET CAP 11.7 ล้านล้านบาท และ SET100 13.1 ล้านล้าน บาท โดยหุ้นที่มี WEIGHT เกิน 10% ใน SET100, SET50 แค่ DELTA ตัวเดียวที่มี MARKET CAP 1.56 ล้านล้านบาท มีสัดส่วนใน SET50 13% และสัดส่วนใน SET100 12% มี CAPPED WEIGHT เกินใน SET50 3% และใน SET100 2%
ส่วนใน SET50FF และ SET100FF ไม่มีหุ้นตัวไหน WEIGHT เกิน 10% ครับ
ดังนั้นหากตลาดฯ มีการนำวิธีนี้มาใช้ DELTA จะมีน้ำหนักต่อตลาดน้อยลง แล้วหุ้น ตัวอื่นๆ จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ส่วนวันนี้อาจส่งผลให้หุ้น DELTA และ SET50FUTURES ผันผวนได้ โดย DELTA ทุกๆ 1 บาทที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลต่อ SET 1 จุด และ SET50 1 จุด
Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์