Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี : KSS Daily Strategy

427

 

 

"Domestic Play"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "แกว่งในกรอบ" ต้าน 1355/1363 จุด รับ 1340/1335 จุด ดัชนี S&P500 ปรับลง -0.47% ผลประชุม Fed ส่งภาพ "Neutral" สะท้อนจาก คงดอกเบี้ยและตัดคำว่าจะลดดอกเบี้ยเมื่อเงินเฟ้อลงสู่ 2% ออกไป แต่ช่วงแถลง Powell ส่งสัญญาณไม่เร่งลดดอกเบี้ย ส่งผล US Bond Yield แกว่งแคบๆ แต่ตลาดสหรัฐฯ มีแรงกดจากหุ้น Tech หลัง Trump เข้มงวดการจำกัดการส่งออก Chip ไปจีน และหลังตลาดปิด Tesla รายงานกำไรต่ำคาด ส่วน Microsoft กำไรดีกว่าคาด แต่รายได้ Cloud โตช้าลง มีเพียง Meta ที่บวกจากรายได้ ทำให้กลุ่ม Value ยังดูเด่นกว่า ภายในยังมีพัฒนาการบวก การแก้ไขปัญหาภายในหนี้ครัวเรือน โครงการ คุณสู้เราช่วยน่าจะเกิน 5 แสนราย (รัฐฯเปิดตัวเลขนับเฉพาะลงทะเบียนตรงกับรัฐ 5.0 แสนราย โดยไม่รวมส่วนที่ลงทะเบียนกับธนาคาร) การเร่งให้ความเห็นกฎหมาย Entertainment Complex ของกฤษฏีกา, กระแส Infra Tech จากการประกาศขอรับ BOI ธุรกิจ Data Center ของ Tiktok สูง 1.2 แสนล้านบาท ปัจจัยดังกล่าวน่าจะประคองตลาดแกว่งตัวก่อนฟื้น กลุ่มเด่น คือ ธนาคาร(Value), อิง Entertainment Complex (BTS (+แรงหนุน พรบ. ตั๋วร่วมคืบหน้า), BA) Infra Tech (สื่อสาร, ไฟฟ้า, ดิจิตอล), หุ้นนิคม วันนี้เน้นกลุ่มมีโอกาสซื้อหุ้นคืน แนะนำ KBANK, KTB, BTS เด่น

 


Daily outlook: "แกว่งในกรอบ" ต้าน 1355/1363 จุด รับ 1340/1335 จุด

What happened around the world?

(*/-) US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐพลิกลงเล็กน้อย รับผลประชุม Fed คงดอกเบี้ยตามคาด อิง ดัชนี Nasdaq -0.51%d-d S&P500 -0.47% ส่วนดัชนี Dow jones -0.31%d-d โดยดัชนี S&P 500 กลุ่มที่ปรับขึ้นหลักๆ คือ ICT, Consumer Staple, Utilities, Energy ส่วนกลุ่มที่ปรับลงคือ Real estate, IT, Health care ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวเด่นคือ NVIDIA -4% Tesla -2% ปรับลง โดยงบ 4Q24 ออกมาหลังตลาดปิด กำไรและรายได้ออกมาต่ำกว่าตลาดคาด , Microsoft -1% และafter hour -4% แม้งบออกมาดีกว่าคาด รายได้จาก Inteleigent Cloud โต19%y-y, Starbucks +8%

(*) Fed Meeting : ผลการประชุม Fed ครั้งแรกของปีเป็นไปตามที่คาดคือ มติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายกรอบ 4.25% - 4.5% ตามเดิม โดยความเห็นของประธาน Fed หลังคุณทรัมป์เข้ามาประเด็นประธานาธิบดี และเริ่มทยอยดำเนินนโยบาย key หลักคือ ยังไม่รีบลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ อิงมุมมองตลาดอิง Fed watch tool คาดปี 2025F ตลาดคาดลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ครั้งละ -25 bps ในเดือน มิ.ย. และ ธ.ค. 25 Key หลักคือ โดยรวม KSS ยังคงมุมมองดอกเบี้ยสหรัฐเป็นขาลง โดยรวมยังคงมองบวกต่อหุ้นกลุ่มการเงิน MTC กลุ่มหนี้สูง อาทิ CPALL, CPAXT

(*/+) Chip stocks : ASML ผู้นำการผลิตเครื่องจักร สำหรับใช้ในกระบวนการผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ ลูกค้าหลัก คือ ลูกค้าหลัก บริษัท TSMC และ บริษัทผู้ออกแบบชิป ผลิตชิปในแบรนด์ตัวเอง อย่าง Samsung, Intel รายงานผลประกอบการ 4Q24 ออกมาดี รายได้ +28%y-y และ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกระยะสั้นต่อหุ้นชิ้นส่วนไทย อาทิ DELTA KCE, HANA

(*) US Allocation : Volkswagen ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากเยอรมนี กำลังพิจารณาตั้งฐานการผลิตรถยนต์หรู Audi และ Porsche ในสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการเก็บภาษีนำเข้าที่ ทรัมป์ ขู่จะบังคับใช้ มองเป็นบวกต่อภาคการผลิต การลงทุนและเศรษฐกิจสหรัฐ โดย KSS ยังคงคำแนะนำน้ำหนักการลงทุนสหรัฐ Neutral

(*) War : ทำเนียบนายกรัฐมนตรีอิสราเอลออกแถลงการณ์ว่า นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูจะเดินทางเยือนกรุงวอชิงตันของสหรัฐฯ ใน 4 ก.พ. ตามคำเชิญของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ 1KSS มองเป็นสัญญาณบวกต่อทิศทางสงคราม มองเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาพลังงงาน ค่าระวางเรือ

(*) To monitors : ฝั่งสหรัฐ 30 ม.ค. ติดตามรายงาน GDP งวด 4Q24 คาด +2.6%q-q vs prev. +3.1%q-q

(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ ตอบรับในทางขึ้นหลังผลประชุม Fed คงดอกเบีเยตามคาด โดยอายุ 2 ปีปรับขึ้น 2 bps อยู่ที่ 4.21% และอายุ 10 ปีทรงตัวอยู่ที่ 4.53% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางเดียวกัน) ส่วน Dollar Index แกว่งตัว 107.8 จุด

(*/+)Oil : ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มขาลง Brent -1.17%d-d ปิดที่ US$ 76.58/barrel น้ำมันดิบ West Texas -1.56%d-d ปิดที่ US$ 72.62/barrel แรงกดดัน EIA เผยว่า สต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์พุ่งขึ้น 3.46 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.2 ล้านบาร์เร เป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTTEP, PTT ในทางตรงข้ามบวกต่อหุ้นกลุ่มสายการบิน เน้น AAV กลุ่มโรงไฟฟ้าเน้น GULF

 

What happened in Thailand?

(*/-) SET Index : SET Index วันทำการล่าสุดแกว่งตัวกรอบแคบตลอดชั่วโมงซื้อขายรอผลประชุม Fed ก่อนปิด -2.58 จุด ปิดที่ 1343.19 จุด กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มอาหาร+เครื่องดื่ม (OSP, CBG) ตลาดกังวลความเสี่ยงการแข่งขันเครื่องดื่มชูกำลังกลับมารุนแรง กลุ่มสื่อสาร (ADVANC) มองการเป็นการขายทำกำไร หลังปรับขึ้นเด่นในฐานะหุ้นได้ประโยชน์กระแส AI Adoption มีแนวโน้มเร่งขึ้น กลุ่มหนุน คือ กลุ่มธนาคาร ประเมิน TTB นำร่องประกาศซื้อหุ้นคืนจุดกระแสเก็งกำไรหุ้นธนาคารอื่นๆ ที่มีโอกาสซื้อหุ้นคืนเช่นกัน กลุ่มขนส่ง (BTS) ขานรับ รัฐฯ เตรียมเร่งโครงการ Entertainment Complex คาดกฤษฎีกามีข้อสรุปการให้ความเห็น ร่าง พ.ร.บ. เอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ใน 50 วัน และสภาฯรับหลักการร่าง พรบ.ตั๋วร่วม ใช้ฉบับ ครม. เป็นหลัก

(*/+) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุด เงินไหลเข้า ขายหุ้น -20.8 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +174.2 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Long 975 สัญญา เงินบาทแข็งค่าสู่บริเวณ 33.7+/- บาท

(+) TH Bond: ต่างชาติเดินหน้าซื้อพันธบัตรไทย(Bond)ต่อเป็นวันที่ 9 +5,882 ล้านบาท เร่งขึ้นตลอดทั้งวันทำการ (เป็นการซื้อตัวยาวรวม +903 ล้านบาท และซื้อตัวสั้น 4,979 ล้านบาท) เราประเมินสัญญาณ Flow ที่กลับทิศมายังฝั่ง EM Asia จากเหตุผลดังนี้

1.) นโยบายคุณ Trump 2.0 ที่สร้างความเสี่ยงเงินเฟ้อและเศรษฐกิจค่อยเป็นค่อยไปกว่าตลาดกังวลล่วงหน้า หนุนการดึงสถานะสินทรัพย์ฝั่ง EM Asia ที่ถูกขายลดความเสี่ยงก่อน

2.) เริ่มมีประเด็นสร้างความกังวลตลาดถึงการเติบโตหุ้นเทคโนโลยีต้นน้ำสหรัฐฯที่มีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น โดยการซื้อพันธบิตรต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดหุ้นไทยอยู่ในโซนลงทุน Current Equity Risk Premium 4.13% เป็นบริเวณ AVG + 1 S.D. ที่มักเป็นจุดกลับตัวของตลาดกรณีไม่มีวิกฤติ หนุนเราคาด Fund Flow ที่เข้ามาพักตลาดพันธบิตรมีโอกาสสลับเข้าลงทุนตลาดหุ้นช่วงถัดไป

กลยุทธ์ เน้นหุ้นเด่นได้ประโยชน์ Fund Flow ไหลเข้า หุ้น Big Cap กลุ่ม ICT ADVANC, INTUCH หุ้นอิงภาคบริการ AOT, CPALL, CPAXT หุ้นธนาคาร KBANK, KTB, SCB ผสาน กลุ่มมีแรงหนุน Bond Yields มีแนวโน้มอ่อนตัวลง หาก Flow ไหลเข้าต่อเนื่อง หุ้นกลุ่มเช่าซื้อ MTC, JMT โรงไฟฟ้า GULF

(*/+) Household Debt: รมว.คลังผยโครงการ "คุณสู้ เราช่วย" มีลูกหนี้ผู้แสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการและอยู่ระหว่างตรวจสอบสิทธิ์แล้ว 497,552 ราย เป็นจำนวน 576,496 บัญชี ยังไม่นับรวมส่วนที่ลงทะเบียนตรงกับสถาบันการเงิน ขณะที่ปิดรับลงทะเบียน 28 ก.พ. แม้ยอดในเบื้องต้นไม่สูงเทียบกับยอดที่ลูกหนี้ที่เข้าข่ายทั้งหมด 1.9 ล้านราย ขณะที่บางส่วนยังอาจจะไม่เข้าข่ายได้รับสิทธิ์ แต่ถือเป็นพัฒนการทางบวกในส่วนการแก้ไขหนี้ครัวเรือน เราประเมินจิตวิทยาบวกกลุ่มธนาคาร เน้นกลุ่มที่มีโอกาสได้ประโยชน์สูง KBANK, SCB

(+) BOI: ที่ประชุมคณะกรรมการ BOI อนุมัติส่งเสริมการลงทุน 3 โครงการสำคัญ มูลค่าลงทุนรวม 1.7 แสนล้านบาท บ่งชี้พัฒนาการบวกต่อเศรษฐกิจไทยที่เม็ดเงินลงทุนรัฐฯ + เอกชน กำลังสอดประสานและเร่งขึ้น

1.) โครงการ Data Hosting ของบริษัทในเครือ TikTok Pte. Ltd. โดยจะลงทุนติดตั้ง Server และอุปกรณ์ต่างๆใน Data Center มูลค่า 1.26 แสนล้านบาท ประเมินโครงการ Data Center ที่ Tiktok จะลงทุนอุปกรณ์ติดตั้ง ถือเป็นโครงการใหม่ที่เข้ามาเพิ่มเติม ประเมินบวกโอกาสหุ้นรับเหมางาน Data Center ในส่วน INSET ที่ปริมาณในระบบเพิ่มขึ้น และจิตวิทยาบวกหุ้นในธีม Infra Tech โรงไฟฟ้า GULF สื่อสาร ADVANC, INTUCH

2.) กิจการ AI Cloud Service ของบริษัท สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด มูลค่า 3.25 พันล้านบาท จิตวิทยาบวกต่อ LTS (เก็งกำไร) แนวรับ (11.7/11.2 ) แนวต้าน (12.8/13.7) Stop Loss 10.8

3.) โครงการลงทุนผลิตโพแทสเซียมคลอไรด์ ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตปุ๋ย ของบริษัท เอเซีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ITD ถือหุ้นทางอ้อม 45%) มูลค่า 4.0 หมื่นล้านบาท จิตวิทยาบวกหุ้นเชื่อมโยงบริษัทดังกล่าว ITD แต่แนะนำเพียงเก็งกำไร

ITD แนวรับ (0.48/0.47) แนวต้าน (0.5/0.56) Stop Loss 0.45

(+) Mass Transit: สภาฯรับหลักการร่าง พรบ.ตั๋วร่วม ใช้ฉบับ ครม. หลังจากนี้จะอยู่เข้าสู่ขั้นที่ 2 ในส่วนการพิจารณา ส.ส. คือ วาระที่ 2 การตั้งคณะกรรมาธิการ ตามด้วยขั้นที่ 3 ของ ส.ส. วาระที่ 3 ลงมติเห็นชอบ ก่อนที่เข้าสู่กระบวนการ ส.ว., ศาลรัฐธรรมนูญ และประกาศลงราชกิจจานุเบกษา อย่างไรก็ดี เราประเมินความคืบหน้าดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบการเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้า 20 บาท บวกต่อ BTS ที่สัญญาเส้นทางหลักเหลือไม่มาก ขณะที่รถไฟฟ้าสีเหลือง ชมพู ยังมีผลขาดทุน การซื้อสัมปทานคืนของรัฐฯจึงมีโอกาสเป็นภาพบวกหนุน เน้น BTS

(*/+) Entertainment Complex:: รัฐฯ เตรียมเร่งโครงการ Entertainment Complex คาดกฤษฎีกามีข้อสรุปการให้ความเห็น ร่าง พ.ร.บ. เอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ใน 50 วัน เนื่องจาก รัฐบาลบรรจุไว้ในแผนกฎหมายเร่งด่วน ขณะที่ล่าสุดมีการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิร่วมในคณะกรรมการจำนวนมาก การเร่งกระบวนการให้กฎหมายคืบหน้าโดยเร็ว ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นในธีม Entertainment Complex อาทิ BTS, VGI (เก็งกำไร, แนวรับ (3.1/3.02) แนวต้าน (3.2/3.3) Stop Loss 2.94), BA, SCB, KTB, KBANK

(*) To monitor: สัปดาห์นี้ปัจจัยภายในติดตาม

1.) 28 ม.ค. – 3 ก.พ. เข้าสู่ช่วงเทศกาลตรุษจีน คาดกระแสบริโภค จับจ่าย รวมถึงนักท่องเที่ยวจีนเด่นขึ้น

2.) เข้าสู่ช่วงคาดการณ์/รายงานกำไรกลุ่ม Real Sector งวด 4Q24 ทั้งนี้ หุ้นหลักๆ ที่จะรายงานกำไรที่เหลือสัปดาห์นี้ ได้แก่ PTTEP

3.) 31 ม.ค. รายงานดุลบัญชีเดินสะพัด ธ.ค. 24 ไม่มีคาด vs prev. เกินดุล 2.0 พันล้านเหรียญฯ และรายงานเศรษฐกิจประจำเดือนของ BOT

 

Daily Strategy : KBANK, KTB, BTS

ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "แกว่งในกรอบ" ผลประชุม Fed ออกมาตามคาด คงดอกเบี้ย+ยังสงวนท่าทีต่อทิศทางดอกเบี้ยระยะถัดไป โดยขอติดตามปัจจัยที่เกี่ยวข้องเพิ่มก่อน หนุนหุ้นธนาคาร ขณะที่ภายในค่อยๆมีพัฒนาการหลายส่วน หนุนหุ้นรายกลุ่มรายตัว อาทิ สภาฯผ่านร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม + การเร่งเดินหน้า Entertainment Complex และกระแส Infra Tech หลัง BOI ประกาศยอดขอรับ BOI มูลค่า 1.7 แสนล้านบาท โดยมี Tiktok เด่นที่ลงทุน Data Hosting 1.2 แสนล้านบาท โดยรวมประเมินหุ้นนำวันนี้ ธนาคาร หุ้นได้ประโยชน์ S Curve ใหม่เดินหน้า Entertainment Complex (BTS (+แรงหนุน พรบ. ตั๋วร่วมคืบหน้า), BA) Infra Tech (สื่อสาร, ไฟฟ้า, ดิจิตอล), หุ้นนิคม

 

1) หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)

2) หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, CPALL, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)

3) หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)

4) กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)

5) กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)

6) กลุ่มที่คาดรายงานกำไร 4Q24F ออกมาดี ขยายตัว y-y q-q (ADVANC, AMATA, BTS, ERW, CENTEL, CPAXT,CPALL, CRC, HMPRO , TRUE, OKJ)

7) กลุ่มที่คาดมีโอกาสซื้อหุ้นคืน (PTT , SCB , KBANK , KTB , BBL , PTTGC , TOP BCP)

 

•Jan 2025 Stock Picks : ADVANC, INTUCH, SCB, TTB, BTS, GULF, MALEE

• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

Strategy Update : โอกาสลงทุนจากกระแสหุ้นทุนซื้อคืน (Treasury Stocks)

· กระแสการซื้อหุ้นคืนรายบริษัท (Treasury Stocks) ของตลาดหุ้นไทย นับจากนี้มีแนวโน้มคึกคักขึ้น โดยเฉพาะฝั่งหุ้น Big-Mid Cap หลัง TTB นำร่องประกาศซื้อคืน 3 ปีปีละ 7.0 พันล้านบาท กรอบวงเงินรวม 2.1 หมื่นล้านบาท ผสาน SET Index ระดับดัชนีปัจจุบันอยู่ในโซนลงทุนดึงดูดเม็ดเงินลงทุนระยะกลาง-ยาว

· ทีมกลยุทธ์ ประเมินจากข้อเสนอแนะอดีตนายกฯ ในงานสัมมนาล่าสุด 1 ในแนวทางที่ช่วยเรียกคืนความเชื่อมั่นตลาดคือการซื้อหุ้นคืน(Treasury Stock) KSS ทำการคัดเลือกหุ้นที่มีโอกาสเห็นการประกาศซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) ในระยะถัดไป โดยใช้เกณฑ์

1.)เป็นหุ้น Undervalue ที่ซื้อขายต่ำมูลค่าทางบัญชี หรือมี PBV ต่ำกว่า 1.0 เท่า คือ

2.) มีสภาพคล่องมากพอซื้อคืน > 5.0% ของมูลค่าตลาดหุ้น (Market Cap) และมีสภาพคล่องเข้าเกณฑ์ของตลาดฯ 3.) มีสภาพคล่องเพียงพอชำระหนี้ครบกำหนดในอีก 1 ปี (vs ตลาดกำหนด6 เดือน)

4.)มีกำไรสะสมยังไม่ได้จัดสรรในงบเดี่ยวเพียงพอรองรับการซื้อคืน

· กลยุทธ์การลงทุน : แนะนำลงทุนในหุ้น Theme "Treasury Stock Plays" โดยเลือกหุ้นที่มีศักยภาพ และผ่านเข้าเกณฑ์ดังกล่าวข่าวต้น และมีปัจจัยหนุนอุตสาหกรรม พบว่ามีหุ้น Big Cap หลักๆ ในกลุ่มพลังงาน ธนาคาร ปิโตรเคมีที่มีโอกาสเห็นการซื้อคืนระยะถัดไป อาทิ PTT, SCB, KBANK, KTB , BBL, PTTGC, TOP, BCP

 

 

Strategist Comment: Deepseek

กระแสข่าว AI Application จากประเทศจีน "Deepseek" ที่ทำงานได้ใกล้เคียงผู้นำตลาด โดยไม่จำเป็นต้องใช้ชิปประมวลผลสูง ทำให้ต้นทุนพัฒนาต่ำกว่า

โดยรวมประเมินนำมาสู่โอกาสเห็นภาพ AI Adoption ทั่วโลกเร่งขึ้น แต่สร้างความเสี่ยงหุ้น Semiconductor โลกที่จำหน่ายชิปประมวลผลระดับสูงที่อาจมีผลกระทบต่อยอดขาย จึงน่าจะเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นใน 1.) กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไทย ให้เกิดภาพชะลอลงทุนระยะสั้น อย่างไรก็ตาม KSS ประเมินผลกระทบจำกัด เพราะบริษัทชิ้นส่วนไทยไม่ได้มีสินค้าหรือรายได้ชิปประมวลผลสูง อาทิ กรณี DELTA เน้นจำหน่าย Power Supply ส่วนอีกกลุ่มที่อาจจะเห็นการชะลอลงทุน คือ 2.) กลุ่มโรงไฟฟ้า อาจจะมีความกังวลการใช้ไฟฟ้าต่ำลงตามรูปแบบชิปประมวลผลสูงลดลง อย่างไรก็ตาม ภาพบวกที่ AI Adoption จะเพิ่มขึ้นหนุนความต้องการโรงไฟฟ้ารวมถึงอุปกรณ์ Power Supply ในท้ายที่สุดอยู่ดี กลยุทธ์รอตั้งรับเมื่อหุ้นอ่อนตัวรับความกังวล

ขณะที่กลุ่มคาดได้ประโยชน์จากกรณีดังกล่าว คือ กลุ่มที่ผู้ใช้งาน AI ที่มีทางเลือกมากขึ้น ต้นทุนลดลง คาดนำมาสู่ปริมาณการใช้ข้อมูลในโครงข่ายโทรคมนาคมเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด ในส่วนกลุ่มสื่อสาร เน้น ADVANC และกลุ่ม Digital Tech Consult ที่ปริมาณงานที่ปรึกษาดิจิตอลจะเพิ่มขึ้นตาม AI Adoption เน้น BE8, BBIK

Strategy Update: MSCI Rebalance

MSCI Rebalance รอบเดือนก.พ. จะประกาศรายชื่อวันที่ 11 ก.พ.มีผลราคาปิดวันที่ 28 ก.พ. เราคาดหุ้นเข้า/ออก ดัชนี MSCI ACWI ดังนี้

หุ้นเข้า: ไม่มี

หุ้นออก: TOP (medium conviction)

Strategy Update: คาด Global Minimum Tax กระทบจำกัดกว่าตลาดกังวล โอกาสลงทุนหุ้น Infra Tech

จากกรณี ครม. เห็นชอบ ร่าง พ.ร.ก. ภาษีขั้นต่ำ หรือ Global Minimum Tax 15% สำหรับ บ. ข้ามชาติที่มีรายได้มากกว่า 750 ล้านยูโรต่อปี และ ร่าง พ.ร.ก. กองทุนส่งเสริมการแข่งขัน เป็นกองทุนสนับสนุนเงินที่ บ.ข้ามชาติที่ต้องเสียภาษีเพิ่ม เริ่มมีผลตั้งแต่ 1 ม.ค. 2025 ที่ผ่านมา ฝ่ายวิจัย KSS จึงได้ประเมินผลกระทบเบื้องต้นจากมาตรการดังกล่าวที่มีต่อบริษัทที่อาจจะต้องจ่ายภาษีเพิ่มเติม โดยเราใช้เกณฑ์ 1) รายได้ปี 2023 สูงกว่าระดับ 2.6 หมื่นล้านบาท และ 2) อัตราภาษี Effective Tax Rate ประเมินโดย Bloomberg ต่ำกว่าระดับ 15.0% หากใช้สมมติฐานกรณีเลวร้าย คือ ให้ทุกบริษัทเสียภาษีเพิ่มเป็น 15% โดยไม่ได้รับผลชดเชยด้านอื่น พบว่า กำไรปี 2025F ของบริษัทที่จะถูกกระทบจากมาตรการดังกล่าวอย่างมีนัยยะ ได้แก่ EA (คาดกำไรปี 2025F จะลดลง -11.96%) GULF (-11.82%) HANA (-10.37%) AH (-10.09%) DELTA (-9.5%) TU (-3.28%) ขณะที่หากรวมเป็นผลกระทบต่อคาดการณ์กำไรตลาดจะอยู่ราว -8.6 พันล้านบาท หรือ -0.7% ของกำไรตลาดปี 2025F ที่เราประเมิน 96 บาท

 

ในเชิงกลยุทธ์ เราประเมินหุ้นที่มีความเสี่ยงกระทบส่วนใหญ่ทยอยปรับตัวลงสะท้อนความเสี่ยงดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว EA (YTD2025 Return +0.5%) GULF (-6.3%) HANA (+0.4%) AH (-3.07%) CK (-4.69%) DELTA (-4.92%) TU (-3.08%) แต่หากอิงโอกาสที่รัฐฯน่าจะต้องหาช่องทางสนับสนุนเงินคืนเพื่อลดผลกระทบ รวมถึงการบริหารภาษีภายในบริษัทต่างๆ คาดผลกระทบจะจำกัดกว่าที่ประเมินข้างต้น เชิงกลยุทธ์แนะนำตั้งรับหุ้นที่อยู่ในกลุ่มที่เป็น New S Curve ของไทยระยะถัดไป หากราคาปรับลงมา ได้แก่ โรงไฟฟ้า ที่อยู่ในธีม Infra Tech เน้น GULF GPSC

Strategy Update : Dividend Plays 2H24

ช่วงปลายเดือน ก.พ. - พ.ค. 2025 จะเข้าสู่เทศกาลจ่ายปันผลประจำปี 2024 ของบริษัทจดทะเบียน ทีมกลยุทธ์ KSS จึงได้รวบรวมหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง) จากคาดการณ์ของ KSS และ Consensus เพื่อนำมาคัดสรรหุ้นปันผลสูง (High Dividend) คือ Dividend Yield มากกว่า 3.5% สำหรับกลยุทธ์การลงทุนระยะ 1 - 2 เดือนแรกของปี ใน "Theme Dividend Play"

Key Ideas : KSS มีมุมมองบวกต่อการลงทุนในหุ้นปันผลในช่วงต้นปีเนื่องจาก

o KSS ได้ทำการศึกษาสถิติผลตอบแทนหุ้นปันผล(SETHD) ย้อนหลัง 10 ปี พบว่า SETHD ในช่วงเดือน ม.ค. – ก.พ. ของทุกปี ผลตอบแทนมักเป็นบวก เดือน ม.ค. ผลตอบแทนบวก 6 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.7%, เดือน ก.พ. บวก 7 ใน 10 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +0.67%

o SETHD ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของทุกปี (งวด 1Q) ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.85%)

กลยุทธ์ : ในเชิงกลยุทธ์ KSS แนะนำซื้อหุ้นปันผลสูงก่อนที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD 2 สัปดาห์แล้วขายวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD (dividend capture) มักจะให้ผลตอบแทนที่ดี ทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการคัดกรองหุ้นปันผลเด่น ภายใต้เงื่อนไข 2 ข้อ คือ

1.) เป็นหุ้นที่จะจ่ายเงินปันผล ช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง)

2.) เป็นหุ้นพื้นฐานที่มีแนวโน้มการเติบโต/กระแสเงินสดมั่นคง /อยู่ใน Theme การลงทุนหลักของ KSS ปี 2025 อาทิ Theme เศรษฐกิจไทยปี 2025F เติบโต อาทิ กลุ่มธนาคาร หรือ อยู่ในอุตสาหกรรม Up Cycle อาทิ Sector ICT หรือ หุ้นที่อยู่ในกลุ่มได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง อาทิ กลุ่มอสังหา กลุ่มการเงิน ฯลฯ โดยเรียงตามอัตราตอบแทนเงินปันผลจากสูงไปต่ำ

พบว่ามีหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลเด่น 9 บริษัท คือ

หุ้น Big Cap ได้แก่ SCB (TP Max Con 135.0, Yield 2H24F 8.6%), TTB (TP25-2.2,Yield 2H24F 7.2%) HMPRO (TP25-13.5,Yield 2H24F 4.3%) INTUCH (TP25-108,Yield 2H24F 4.2%), ADVANC (TP25-305, Yield 2H24F 3.7%),
หุ้น Mid Cap ได้แก่ AP (TP25-11.8., Yield 2H24F 7.65%), TISCO (TP25-97.0, Yield 2H24F 5.84%), SC (TP25-3.2, Yield 2H24F 5.52%), JMT (TP25-22.8, Yield 2H24F 2.3%),

หุ้นปันผลสูงครึ่งหลังปี 2024 ADVANC, INTUCH, SCB, TTB, HMPRO,JMT AP, SC, TISCO

โดยทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการศึกษาสถิติหุ้นปันผลเด่น 9 บริษัทดังกล่าวข้างต้น ย้อนหลัง 8 ปี พบว่าหากลงทุนซื้อหุ้นก่อน 2 สัปดาห์และขายวันที่ขึ้น XD พบว่า ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นที่ให้ Return มากที่สุด คือ JMT +5.36%, TTB +4.16%, ADVANC +3.05%, ส่วน SCB, HMPRO, INTUCH, AP, SC, TISCO ผลตอบแทน (Capital Gain) เฉลี่ยอยู่ราว 1% เท่ากับว่า การลงทุนหุ้นกลุ่ม High Dividend ในช่วงเวลาดังกล่าว หลาย ๆ ครั้งนักลงทุนจะมักจะได้รับเงินปันผลฟรี

 

• SCC (Neutral, TP25F-175): คงคำแนะนำ Neutral ต่อ SCC ที่ TP25F = 175.0 บาท ยังไม่มี catalyst ในระยะสั้นจากการฟื้นตัวของกำไรยังอยู่ในระดับต่ำ โดยผลประกอบการ 4Q24 ออกมาขาดทุน 512 ลบ. ปัจจัยฉุดมาจากทุกส่วนธุรกิจที่เผชิญสภาวะแข่งขันสูง โดยธุรกิจซีเมนต์ปริมาณขายลดลงและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น, ปิโตรเคมียังเผชิญ oversupply ฉุด product spread และบรรจุภัณฑ์สภาวะการแข่งขันสูงส่งให้ต้องปรับลดราคาขายกดดันอัตรากำไร ทั้งนี้บริษัทประกาศจ่ายปันผล 2.5 บาท/หุ้น คิดเป็น yield ราว 1.6% ขึ้น XD วันที่ 2 เม.ย. 25

• SAWAD (Trading Buy, TP25F-42): เราคงคำแนะนำ TRADING BUY และคง TP25F ที่ 42 บ. เราชอบ SAWAD เพราะเราเห็นพัฒนาการในเชิงบวกด้านคุณภาพสินทรัพย์ ส่งผลให้เราคาดปี 2025F มีโอกาสเห็น SAWAD กลับมาเติบโตสินเชื่อรวม และกำไรสุทธิ 2025F คาดเติบโต +10% y-y จากปี 2024F คาดเพียงทรงตัว y-y สำหรับกำไรสุทธิ 4Q24F คาดที่ 1,320 ลบ. กำไรเพิ่มขึ้น +4%y-y และ +2%q-q เพราะ i) รายได้การขายประกันเพิ่มขึ้น ii) ขาดทุนรถยึดลดลงเหลือ 150-200 ลบ. จาก 3Q24 ที่ 250 ลบ. iii) การชำระหนี้ของลูกหนี้ดีขึ้น สำหรับสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น +2% q-q คิดเป็น +1% YTD จากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อจำนำทะเบียน ด้านคุณภาพสินทรัพย์อยู่ในระดับควบคุมได้ NPL Ratio ที่ 3.50% ใกล้กับ 3Q24 ที่ 3.49%

• Bank (Neutral): เรามองธีมการลงทุนกลุ่มธนาคารเป็น value play มากกว่า growth story เพราะธนาคารคงปันผลระดับสูง dividend yield คาดที่ 4-9% ต่อปี และราคาหุ้นธนาคารส่วนใหญ่ซื้อขายต่ำกว่า Book Value โดยภาพรวมปี 2025F เรามองการจัดการคุณภาพสินทรัพย์เป็นประเด็นหลัก ดังนั้นการลดลงของค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) จะเป็นตัวหลักในการผลักดันการเติบโตกำไรสุทธิ รวมถึงการบริหารจัดการเงินทุน ทั้งการเพิ่ม dividend payout ratio และการซื้อหุ้นคืน จะช่วยเพิ่ม ROE ในอนาคตได้

.
2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility

Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE

Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้