สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 30 มกราคม 2568)------บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX Securities Co., Ltd.) ออกบทวิเคราะห์ประจำวันที่ 30 มกราคม 2568 เปิดเผยว่า คาด SET แกว่งในกรอบระหว่าง 1335-1355 จุด หลังเฟดคงดอกเบี้ยตามตลาดคาด โดยระบุเงินเฟ้อเร่งตัว ขณะที่ตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ตลาดยังดูขาดปัจจัยใหม่ๆ ทั้งนี้ ภาพรวมแนวโน้มราคา ยังต้องระวังด้าน downside โดยหากต่ำกว่า จะเป็นสัญญาณลบต่อ และมีแนวรับถัดไปที่ 1325-1330 จุด
ประเด็นสำคัญ
• FOMC มีมติเอกฉันท์คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 4.25-4.50% ตามตลาดคาด ขณะที่แถลงการณ์ของคณะกรรรมการเฟดและการแสดงความเห็นของพาวเวลไม่ได้ส่งสัญญาณเกี่ยวกับช่วงเวลาในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในวันข้างหน้า
• EIA เผยสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ในสัปดาห์ก่อนเพิ่มขึ้น 3.5 ล้านบาร์เรล สูงกว่าตลาดคาดไว้ เช่นเดียวสต็อกเบนซินที่เพิ่มขึ้น 3.0 ล้านบาร์เรล แต่สต็อกดีเซลลดลง 5.0 ล้านบาร์เรล ลดลงสูงกว่าตลาดคาดไว้ เนื่องจากภาวะอากาศที่หนาวจัด
• ผจก. ตลท. หนุน บจ. ที่พร้อมซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทุนเพื่อเพิ่ม ROE และเพิ่มมูลค่าหุ้น มองมูลค่าซื้อหุ้นคืนยังน้อยเทียบมูลค่าตลาด พร้อมใช้โอกาสดัน Jump Plus ช่วยเพิ่มการเติบโตเพิ่มพื้นฐานแข็งแกร่ง
• ททท. คาดตรุษจีน (24 ม.ค.- 2 ก.พ. 2568) มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยประมาณ 2.87 แสนคน เพิ่มขึ้น 7% ขณะที่รายได้เพิ่มขึ้น 10% ส่วนนักท่องเที่ยวจีนสะสมในช่วง 29 วันที่ผ่านมามี 6 แสนคน
• BOI อนุมัติการส่งเสริมการลงทุน 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.7 แสนลบ. ได้แก่ Data Hosting ของ TikTok 1.27 แสนลบ., AI Cloud Service ของบริษัท Siam AI 3,250 ลบ. และ ลงทุนผลิตโพแทสเซียมคลอไรด์ของบริษัทเอเซียแปซิฟิคโปแตช 4.04 หมื่นลบ.
• กรมขนส่งทางรางเผยยอดผู้ใช้บริการระบบรถไฟฟ้าวันที่ 28 ม.ค. ทำสถิติสูงสุดใหม่ 2.16 ล้านคน-เที่ยว เพิ่มขึ้น 31.1% เทียบค่าเฉลี่ยวันอังคารของ 3 สัปดาห์แรกใน ม.ค. และเพิ่มขึ้น 3.% เทียบกับ 27 ม.ค.
• Alibaba เปิดตัวโมเดล AI Qwen 2.5 อ้างว่ามีประสิทธิภาพเหนือกว่า DeepSeek-V3 และ GPT-4o และ Llama-3.1-405B แทบทุกด้าน
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวไซด์เวย์ โดยยังมีแนวต้านสำคัญที่บริเวณ 1400 จุด ทั้งนี้แม้ตลาดยังไม่มีปัจจัยอะไรใหม่ แต่ช่วงที่ผ่านมา (YTD) ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงจน Underperform ตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งมองสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว ขณะที่ปัจจัยภายนอกยังคงมองภาพเศรษฐกิจและแนวโน้มดอกเบี้ยจะมีท่าทีดีขึ้น รวมถึงผลประกอบการ 4Q67 ของ บจ. ในสหรัฐมีแนวโน้มออกมาแข็งแกร่ง โดยมองว่าการประชุมนโยบายการเงินของ ECB คาดจะมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ส่วน FED คาดคงดอกเบี้ยนโยบาย อีกทั้งปัจจัยภายในประเทศคาดการเข้าสู่บรรยากาศจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลตรุษจีนและการแจกเงินหมื่นเฟสสองให้แก่ผู้สูงอายุจะเข้ามาช่วยกระตุ้นบรรยากาศลงทุนได้บ้าง ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
แนวรับ-ต้าน
1335/1330 – 1350/1355
ล็อคเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
มอง SET จะแกว่งตัวไซด์เวย์ โดยมีแนวต้านสำคัญที่บริเวณ 1400 จุด กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 1 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้
1. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากการเข้าสู่บรรยากาศจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลตรุษจีน อีกทั้งมาตรการกระตุ้นการบริโภคของรัฐจะเริ่มมีผลบังคับใช้ เช่น นำค่าซื้อสินค้ามาลดหย่อนภาษี (Easy E-Receipt) ในช่วง 16 ม.ค.-28 ก.พ. 68 และแจกเงินหมื่นเฟส 2 ให้ผู้สูงอายุในวันที่ 27 ม.ค. นี้ แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CRC HMPRO CPALL TNP) กลุ่มท่องเที่ยว (MINT AOT)
2. นักลงทุนที่ต้องการหุ้นปันผลสูงซึ่งคาดมีเงินปันผลจ่ายที่เหลือจากกำไรปี 2567 คิดเป็น Div. Yield เกิน 3% เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุน แนะนำ AP KTB BBL PTT
3. หุ้น Earnings Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นสะท้อนโมเมนตัมกำไร 4Q67 ที่คาดจะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งยังมีศักยภาพการจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ เลือก ADVANC TRUE AMATA AWC AU ERW
4. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเก็งกำไรในหุ้น Mid-Small Cap. ที่ราคาหุ้นปรับลง YTD มากกว่าตลาด แต่ 4Q67 และปี 2568 คาดกำไรยังเติบโตดีและมีฐานะการเงินแกร่ง เลือก AMATA AU BCH BLA TIDLOR
Daily top picks
BBL: มองมีโอกาสที่จะมีการปรับเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลซึ่งจะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นในระยะสั้น ขณะที่ Valuation ยังถูกสุดในกลุ่มธนาคาร โดยซื้อขาย PER และ PBV ปี 2568F ต่ำสุดที่ 6.2x (เทียบค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 8x) และ 0.48x (เทียบค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 0.8x) ตามลำดับ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำสุดในกลุ่มฯ
BDMS: เป็นหนึ่งในหุ้นเด่นกลุ่มการแพทย์ โดยปี 2568 คาดกำไรจะเติบโตต่อเนื่องที่ 8.3%YoY อีกทั้ง Valuation ต่ำ โดยปัจจุบันซื้อขายที่ PER 2568F ระดับ 22.1 เท่า ซึ่งต่ำกว่าระดับ -2SD ของ PER เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี และถือเป็นระดับที่ลึกที่สุดเมื่อเทียบกับหุ้นอื่นในกลุ่ม อีกทั้งยังต่ำกว่าหุ้นกลุ่มเดียวกันในตลาดภูมิภาค (ไม่รวมประเทศไทย) ราว 21%