Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

510

 

 

 

"Domestic Play"

 

KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "Sideways/Up" ต้าน 1370/1376 จุด รับ 1356/1352 จุด ดัชนี S&P500 +0.61% หุ้นเทคฯ นำโดย Netflix กำไร 4Q24 ดีกว่าคาด ผสาน คุณ Trump เปิดตัวโครงการ Stargate (บ.ร่วมทุน Oracle, OpenAI และ Softbank) ลงทุน 5 แสนล้านเหรียญฯโครงสร้างพื้นฐาน AI ภายใน วันนี้ติดตามยอดส่งออก ธ.ค. 24 ตลาดคาด +7.4%y-y บวก y-y 6 เดือนติด จะหนุน GDP งวด 4Q24 และเข้าสู่ช่วง คาดการณ์/รายงานกำไรกลุ่ม Real Sector งวด 4Q24 น่าจะมีภาพบวกต่อเนื่องจากธนาคารที่ออกมาดี +20%y-y คาดจะเห็นการฟื้นตัว y-y, q-q จากผลกระทบรายการพิเศษที่ต่ำลง โดยเฉพาะโรงกลั่น, ปิโตรเคมี ผสาน การฟื้นตัวหุ้นอิงเศรษฐกิจภายในและอยู่ในช่วงฤดูกาล จะกด Current PER ถูกลง ขณะที่เงินบาทเช้านี้ยังอยู่ในโซนแข็งค่า 33.8 บาท ช่วยความต่อเนื่อง Fund Flow ซื้อหุ้น ซื้อพันธบัตร และ Long TFEX 3 วันติด คาด SET ขึ้นต่อ นำโดย กลุ่มอิงเทคโนโลยี (สื่อสาร ชิ้นส่วน โรงไฟฟ้า) กลุ่มที่กำไร 4Q24F ออกมาดีและมีโมเมนตัมต่อ/จะออกมาดี (ธนาคาร ค้าปลีก) หุ้น China Plays (จีนเพิ่มมาตรการหนุนตลาดหุ้น) วันนี้ INTUCH (laggard GULF), TTB, CPALL เด่น

 

 

 

 

 

 

Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1370/1375 จุด รับ 1356/1352 จุด

What happened around the world?

(+) US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐ ปรับขึ้นต่อนำโดยหุ้นกลุ่ม Tech โดย Dow jones +0.3%d-d S&P500 +0.6%, และดัชนี Nasdaq +1.28%d-d ทำจุดสูงสุดตั้งแต่ ธ.ค.24 (โดยดัชนี S&P 500 ปรับลงหลักๆ คือ กลุ่ม Utilities, Real estate, Energy ที่ปรับลงตามราคาน้ำมันดิบ แต่กลุ่มที่ปรับขึ้นหลักๆคือ กลุ่ม IT, ICT โดยหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น คือ Netflix +9.7% รับยอดสมาชิกเร่งขึ้น ส่วนหุ้น Tech อื่รๆอาทิ Oracle +6.8% NVDIA +4.4% Dell +3.6% Microsoft+ 4.1% Meta Platforms +1.1% ,Arm Holdingsเป็นบริษัทลูกของ Softbank +15.9% Super Micro Computer +4.3% โดยรวมแรงหนุนมาจากทรัมป์ประกาศโครงการลงทุน AI ชื่อ Stargate Project ในสหรัฐฯ วงเงิน 5 แสนล้าน$ เป็นการร่วมลงทุนระหว่าง SoftBank Group, OpenAI และ Oracle Corp ฯลฯ

(*) US Earning 4Q24 : สหรัฐรายงานผลประกอบการ 4Q24 เพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน 22 บริษัทออกมาล่าสุดรวม จาก 63 บริษัท จาก 500 บริษัท โดยกำไรรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐ อิง กำไรที่ออกมาดีกว่าคาด(Surprise) ราว 8.5% ลดลงจากเมื่อวานที่ 9% และ เติบโต 19% จากเมื่อวาน22.4%

(*/+)China stimulus : ทางการจีนประกาศมาตรการสนับสนุนการลงทุนระยะยาวในหุ้นจีน A shares หลังตลาดปิด 1.) ให้บริษัทประกันเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นจีน a-shares 2.) ขยายวงเงินอัดฉีด (swap facilities) ให้ Broker เข้าไปช่วยซื้อหุ้นในตลาด KSS มองเป็นบวกต่อตลาดหุ้นจีน เป็นหลัก และมองจิตวิทยาบวกต่อหุ้น China play อาทิ IVL, SCGP

(*)BOJ Meeting : ธนาคารกลางญี่ปุ่น(BOJ) ประชุม 23-24 ม.ค. ตลาดคาดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 0.5% หากเป็นไปตามคาดมีโอกาสหนุนค่าเงินเยนดอลลาร์แข็งค่า เป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นญี่ปุ่น (อิง อุเอดะ ผู้ว่า BOJ เปิดเผย 16 ม.ค.ว่า BOJ อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย) โดยน้ำหนักการลงทุน คือ Neutral

(*/+) Mobile Phone : กระแสล่าสุดการเปิดตัว Samsung Galaxy S25 เปิดพรีออเดอร์ตั้งแต่ 23 ม.ค. - 6 ก.พ.25 โดยจุดเด่นหลักๆคือ 1.)ดีไซน์ใหม่ ขอบโค้งมนกว่าเดิม สบายอุ้งมือ 2.)อัปเกรดกล้องใหม่ จากเดิม 12MP เป็น 50MP ฯลฯ 3.)Galaxy AI ที่มีฟีเจอร์มากขึ้นพร้อม One UI 7 4.)ชิปใหม่ Snapdragon 8 Elite เพิ่มประสิทธิภาพ NPU 40%, CPU 37% และ GPU 30% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ทำให้ประมวลผล Gen AI เร็วขึ้น 40% KSS ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่ขายมือถือ อาทิ COM7 (ราคาหุ้นปรับลงลึกในช่วงที่ผ่านมา) , JMART , ADVICE CPW , SYNEX ฯลฯ

(*) To monitors : ฝั่งสหรัฐ 24 ม.ค. ติดตามดัชนีความเชื่อมั่น ม. มิชิแกน คาด 73.2 จุด เท่าเดือนก่อน, ติดตามรายงาน S&P Flash PMI ม.ค. ภาคผลิต คาด 49.4 จุด ภาคบริการ คาด 56.8 จุด 24 ม.ค. ติดตามยอดขายบ้านมือสอง ธ.ค. คาด 4.2 ล้านหลัง vs prev. 4.15 ล้านหลัง ฝั่งยุโรป 23 ม.ค. ติดตามดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ม.ค. คาด -14.3 จุด vs prev. -14.5 จุด, 24 ม.ค. ติดตามรายงานดัชนี HCOB Flash PMI ม.ค. คาด ภาคผลิต 46.0 จุด

(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ ปรับขึ้น แต่แนวโน้มหลักยังอยู่ในทิศทางขาลงอิง อายุ 2 ปีปรับขึ้นต่อวันที่ 2 +3 bps อยู่ที่ 4.3% และอายุ 10 ปีปรับขึ้น +4 bps ตัวอยู่ที่ 4.61% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางเดียวกัน) ระยะสั้นมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นธนาคาร เน้น KBANK, KTB, BBL ส่วน Dollar Index แข็งค่าในทิศทางอ่อนค่าบริเวณ 108.2 จุด

(*/-) Oil : ราคาน้ำมันดิบปรับลงต่อ 3 วัน ทำจุดต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์น้ำมันดิบ Brent -0.37%d-d ปิดที่ USD 79/barrel น้ำมันดิบ West Texas -0.51%d-d ปิดที่ USD 75.44/barrel แรงกดดันมาจาก Dollar ชะลอการอ่อนค่าหรือกลับมาแข็งค่าระยะสั้น มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นพลังงาน อาทิ PTT, PTTEP

 

What happened in Thailand?

(-) SET Index : SET Index วันทำการล่าสุดแกว่งตัวขึ้นได้ต่อ ปิด +9.24 จุด หรือ +0.68% กลุ่มหนุน คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA) กลุ่มธนาคาร (KTB, BBL, TTB) ขานรับกำไร 4Q24 ที่ดีกว่าคาด และมีสัญญาณ Asset Quality ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว มีปัจจัยชี้นำทางบวกตั้งสำรองลดลง กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มค้าปลีก (CPALL) กลุ่มอาหาร+เครื่องดื่ม (OSP, CPF) OSP กังวลต่อเป้าหมายการเร่งเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของ CBG ส่วน CPF คาดจิตวิทยาลบเงินบาทแข็งค่าเร็ว

(+) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุด เงินไหลเข้า ซื้อหุ้น +49.3 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +26.9 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Long 3,853 สัญญา เงินบาทแข็งค่าสู่บริเวณ 33.8 +/- บาท

(+) Bank Result: ธนาคารที่เราศึกษารายงานกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 5.13 หมื่นลบ. กำไรเพิ่มขึ้น +20% y-y ลดลง -6% q-q ไตรมาสนี้เราเห็นพัฒนาการเชิงบวกทางคุณภาพสินทรัพย์ ทั้งการลดลงของค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) และ NPL ratio ที่ 3.56% ลดลงจาก 3.78% ใน 3Q24 จากการชำระหนี้ของลูกหนี้ดีขึ้น และการแปลงหนี้เป็นทุนของการบินไทย เชิงกลยุทธ์ เราประเมินสัญญาณบวกคุณภาพสินทรัพย์จะเป็นประเด็นหนุนหุ้นธนาคาร ร่วมกับโอกาสเราเชื่อว่าเห็น Upside ฝั่ง Loan Growth หากอิง Krungsri Research คาด GDP Growth ปี 2025 คาดโต 2.9%y-y เร่งขึ้นจาก 2.7% ในปี 2024 หนุนจากภาคบริโภคและการลงทุน นอกจากนี้ Valuation กลุ่มธนาคารอยู่ในโซนลงทุนและจูงใจ อิง PBV2025F กลุ่มธนาคารอยู่ที่ 0.66 เท่า ใกล้ระดับ AVG - 1 S.D. จากแนวโน้มที่มีสัญญาณบวกดังกล่าว ทำให้คาดจะเห็นการ Rerate PBV ขึ้นในระยะถัดไป เน้น KTB, KBANK, SCB, BBL ตามลำดับ

(+) SSO: บอร์ดประกันสังคม มีมติเห็นชอบในหลักการปรับเพดานค่าจ้างและเงินสมทบกองทุนประกันสังคม แบบขั้นบันได 3 ขั้น ซึ่งจะมีผลตั้งแต่ปี 26 จากเดิม 15,000 บาท เป็นดังนี้ ปี 2569-2571 สูงสุด 17,500 บาท, ปี 2572-2574 สูงสุด 20,000 บาท และปี 2575 เป็นต้นไป สูงสุด 23,000 บาท เราคาดช่วยประดันสังคมมีเงินเพียงพอจ่ายหรือสามารถปรับเพิ่มอัตราที่จ่าย ร.พ. ประกันสังคมได้ในระยะกลาง-ยาว บวกต่อหุ้นในกลุ่ม อาทิ BCH. CHG นอกจากนี้ เราคาดอีกส่วนน่าจะช่วยมีเม็ดเงินใหม่เข้ามาลงทุนในตลาดเพิ่มเติม หนุนตลาดระยะกลาง-ยาว

(+) TH credit rating: สถาบันจัดอันดับ Rating ล่าสุดคือ R&I ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ A- และคงมุมมอง Outlook ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) ถือว่าสอดคล้องกับสถาบัน S&P Global และ Fitch Rating ที่ช่วงเดือน ธ.ค.24 คง Rating ตามเดิม และคงมุมมองที่ Stable Outlook เช่นกัน ประเมินตอกย้ำมุมมองเชิงบวก ลดโอกาสที่ไทยจะถูกลด Credit Rating จากช่วงก่อนหน้าที่ตลาดกังวล เป็นจิตวิทยาบวกต่อ SET Index (แนวต้าน SET ระยะสั้น 1365/1375 จุด วางดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2025 วางไว้ที่ 1660 จุด)

(*/+) Financial Hub: รมช.คลัง กล่าวถึง ความคืบหน้าการผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Hub) ปัจจุบันได้ยกร่าง "พ.ร.บ.ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. ..." และเปิดรับฟังความคิดเห็นเสร็จสิ้นแล้ว และจะเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. อย่างช้า ต้นเดือน ก.พ.25ต้องการดึงดูดนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยและสาขาของนิติบุคคลต่างประเทศ 8 ประเภท โดยตั้งในเขตพื้นที่ที่กำหนดและต้องจ้างแรงงานไทยเป็นสัดส่วนตามที่กำหนด โดยสามารถให้บริการแก่ผู้ที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (Non-resident) เท่านั้น ทั้งนี้จะอนุญาตให้สามารถให้บริการผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศได้ในกรณี ดังนี้

ด้านประกันภัย สามารถทำประกันภัยต่อกับบริษัทประกันภัยในไทยเพื่อโอนความเสี่ยงได้
ด้านตลาดทุน สามารถให้บริการร่วมกับผู้ประกอบการไทย (Co-services) ในการพาลูกค้าไปลงทุนต่างประเทศได้
ด้านสถาบันการเงิน สามารถทำ Interbank กับสถาบันการเงินไทยเพื่อบริหารความเสี่ยงได้
(4) ด้านธุรกิจบริการการชำระเงิน สามารถเชื่อมระบบกับผู้ให้บริการภายใต้การกำกับดูแลของไทยได้
ด้านธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงิน ผู้ประกอบธุรกิจมีสถานะเป็น Non-resident ที่ประกอบธุรกิจทางการเงิน โดยต้องปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมแลกเปลี่ยนเงิน และมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาท
เราประเมินเป็นบวกต่อเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาว จากการจ้างงานเพิ่มขึ้น การมีสถาบันการเงินต่างประเทศรองรับธุรกิจที่ต้องการเข้ามาลงทุนในไทย รวมการขยายขอบเขตบริการทางการเงินคนไทยออกไปต่างประเทศ ประเมินเป็นบวกต่อกลุ่มธนาคารในส่วนธุรกรรมการลงทุน+การเงินในประเทศโดยรวมจะเพิ่มขึ้น เน้นหุ้นธนาคารใหญ่ KBANK, SCB, BBL หุ้นนิคม (การผลักดัน Financial Hub ส่วนหนึ่งคาดมีผลเป้าหมายดึง FDI) และกลุ่ม Digital Tech Consult อาทิ BE8 BBIK ที่มีโอกาสได้งานเกี่ยวข้องกับระบบดิจิตอลสถาบันการเงินต่างประเทศที่ให้ความสนใจเข้ามาเพิ่มเติม

(*/+) Port Authority of Thailand: หลังจากวานนี้ ครม. อนุมัติร่าง พ.ร.บ.การท่าเรือแห่งประเทศไทย ฉบับใหม่ เพิ่มเติมวัตถุประสงค์และอำนาจการดำเนินกิจการของ การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เตรียมเปิดทางทำกิจการอื่นได้ในอนาคต ล่าสุด กทท. เตรียมจัดจั้งบริษัทย่อย เพื่อต้องการให้มีการบริหารจัดการแบบเจาะจง โดยเฉพาะการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉะบัง ซึ่งเป็นท่าเรือที่มีศักยภาพระดับสากล เราประเมินโอกาสยกระดับ 2 ท่าเรือมีเพิ่มสูงขึ้น และนำมาสู่เม็ดเงินลงทุนขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาว จิตวิทยาบวกต่อหุ้นอิงการลงทุน ธนาคาร เน้น KTB KBANK SCB BBL และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง

(*) To monitor: วันนี้ติดตามรายงานยอดส่งออก - นำเข้า ธ.ค. 24 เติบโต +7.4%y-y และ 15.4%y-y ตามลำดับ vs prev. +8.2%y-y และ +0.9%y-y ทั้งนี้ หากยอดส่งออกออกมาขยายตัว y-y ได้จะเป็นบวกต่อเนื่อง 6 เดือนติด และเบื้องต้นเราประเมินมีความเป็นไปได้ที่จะออกมาดี แต่สินค้าที่ยังน่าจะมีโมเมนตัมทางบวก เราคาดอยู่ในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง (ITC AAI) ยาง (STA) อาหารทะเล (TU) ไก่ (CPF) น้ำมะพร้าว (MALEE) หากยังมีโมเมนตัมขยายตัว จะสร้างจิตวิทยาบวกหุ้นเชื่อมโยงสินค้าดังกล่าว

 

 

Daily Strategy : INTUCH, TTB, CPALL

ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "Sideways/Up" ประเมิน SET ที่เริ่มยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นได้ ผสาน ไม่มีปัจจัยลบเข้ามาบั่นทอนบรรยากาศลงทุนที่ผ่อนคลายขึ้น หลังคุณ Trump ใช้นโยบายทีสร้างความเสี่ยงต่างๆ ค่อยเป็นค่อยไป ส่วนวานนี้กระแสทางบวกหนุนหุ้นเทคฯเพิ่มเติม โดยรวมน่าจะช่วยหนุน SET แกว่งขึ้นได้ต่อ ส่วนภายในเข้าสู่ช่วง Preview/รายงานกำไร Real Sector คาดหุ้นอิงภายในมีโอกาสเด่นตามกลุ่มธนาคาร ส่วนหุ้นอิงภายนอก ความผันผวนรายการพิเศษน่าจะลดลงมีนัยฯ ทั้ง y-y และ q-q จากองค์ประกอบดังกล่าว ทำให้เราประเมินหุ้นนำวันนี้ คือ กลุ่มได้กระแสเทคโนโลยี (สื่อสาร ชิ้นส่วน โรงไฟฟ้า) กลุ่มที่กำไร 4Q24F ออกมาดีและมีโมเมนตัมต่อ/จะออกมาดี (ธนาคาร ค้าปลีก)หุ้น China Plays (จิตวิทยาบวกจีนประกาศมาตรการหนุนตลาดหุ้น)

 

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, CPALL, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
กลุ่มที่คาดรายงานกำไร 4Q24F ออกมาดี ขยายตัว y-y q-q (ADVANC, AMATA, BTS, CENTEL, CPAXT,CPALL, CRC, HMPRO , TRUE, OKJ)

•Jan 2025 Stock Picks : ADVANC, INTUCH, SCB, TTB, BTS, GULF, MALEE

• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

Strategy Update: ซินเจีย ยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ 2025 ปีมะเส็ง

ใกล้เข้าสู่เทศกาลตรุษจีนปี 2025 (วันขึ้นปีใหม่ของจีน) ปีนี้ตรงกับวันที่ 29 ม.ค.2025 โดยเป็นเทศกาลที่จะเกิด 1.)ความคึกคักการจับจ่ายเนื้อสัตว์, อาหารและผลไม้เพื่อไหว้บรรพบุรุษ 2.) วันหยุดยาวของผู้ที่มีเชื้อสายจีน (จีน, ไต้หวัน, ฮ่องกง) ออกไปท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ และการรับประทานอาหารร่วมกันในครอบครัว ฯลฯ คาดจะเป็นปัจจัยหนุนการใช้บริการในไทยทั้งทางด่วน, ปั๊มน้ำมัน, ห้างสรรพสินค้า, สายการบิน, โรงแรม รวมถึงการซื้อสินค้า อาทิ เสื้อผ้า ฯลฯ 3.)เทศกาลการแจกเงินและ ทอง ในธรรมเนียมคนจีน ถือว่าเป็นการเสริมสิริมงคลสำหรับผู้ให้และผู้รับ ฯลฯ โดยรวมหากอิง ม. หอการค้าไทย ประเมินการจับจ่ายในช่วง "ตรุษจีน"ปีนี้ เม็ดเงินสะพัด 3.2%y-y อยู่ที่ 109,313 ล้านบาท (ยังไม่ได้รวมกันใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เข้ามาราว 8 แสน - 1 ล้านคน)

KSS ประเมินกระแสการเก็งกำไรหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเทศกาลตรุษจีน ปี 2025 ที่มีความน่าสนใจ โดย KSS ได้ทำการศึกษาสถิติผลตอบแทนหุ้นไทยในช่วงตรุษจีนย้อนหลัง 6 ปี (ปี 2019-2024) พบว่า ก่อนเทศกาลตรุษจีน 2 และ 1 สัปดาห์ SET Index +0.81% และ +0.23% ตามลำดับ Sector ที่ได้ประโยชน์กับเทศกาลตรุษจีนปรับขึ้นในทางเดียวกัน และกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นสุดหากซื้อก่อน 2 สัปดาห์ และความเป็นไปได้ที่จะให้ผลตอบแทนบวกเกิน 50% คือ กลุ่มการเงิน +2.73% กลุ่มขนส่ง +1.59% กลุ่มเกษตร +1.4% กลุ่มสื่อสาร +1.33% กลุ่มอาหาร +1.21% กลุ่มค้าปลีก +1.03%

กลยุทธ์การลงทุน KSS แนะนำเก็งหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเทศกาลตรุษจีน เน้น กลุ่มการเงิน AEONTS (TP-140), KTC (TP-55) กลุ่มขนส่ง AOT (TP-64.5) กลุ่มเกษตร CPF(TP-30) GFPT (TP-14.5) กลุ่มสื่อสาร ADVANC (TP-305) และกลุ่มค้าปลีก CPALL (TP-70)

 

Strategy Update: คาด Global Minimum Tax กระทบจำกัดกว่าตลาดกังวล โอกาสลงทุนหุ้น Infra Tech

จากกรณี ครม. เห็นชอบ ร่าง พ.ร.ก. ภาษีขั้นต่ำ หรือ Global Minimum Tax 15% สำหรับ บ. ข้ามชาติที่มีรายได้มากกว่า 750 ล้านยูโรต่อปี และ ร่าง พ.ร.ก. กองทุนส่งเสริมการแข่งขัน เป็นกองทุนสนับสนุนเงินที่ บ.ข้ามชาติที่ต้องเสียภาษีเพิ่ม เริ่มมีผลตั้งแต่ 1 ม.ค. 2025 ที่ผ่านมา ฝ่ายวิจัย KSS จึงได้ประเมินผลกระทบเบื้องต้นจากมาตรการดังกล่าวที่มีต่อบริษัทที่อาจจะต้องจ่ายภาษีเพิ่มเติม โดยเราใช้เกณฑ์ 1) รายได้ปี 2023 สูงกว่าระดับ 2.6 หมื่นล้านบาท และ 2) อัตราภาษี Effective Tax Rate ประเมินโดย Bloomberg ต่ำกว่าระดับ 15.0% หากใช้สมมติฐานกรณีเลวร้าย คือ ให้ทุกบริษัทเสียภาษีเพิ่มเป็น 15% โดยไม่ได้รับผลชดเชยด้านอื่น พบว่า กำไรปี 2025F ของบริษัทที่จะถูกกระทบจากมาตรการดังกล่าวอย่างมีนัยยะ ได้แก่ EA (คาดกำไรปี 2025F จะลดลง -11.96%) GULF (-11.82%) HANA (-10.37%) AH (-10.09%) DELTA (-9.5%) TU (-3.28%) ขณะที่หากรวมเป็นผลกระทบต่อคาดการณ์กำไรตลาดจะอยู่ราว -8.6 พันล้านบาท หรือ -0.7% ของกำไรตลาดปี 2025F ที่เราประเมิน 96 บาท

 

ในเชิงกลยุทธ์ เราประเมินหุ้นที่มีความเสี่ยงกระทบส่วนใหญ่ทยอยปรับตัวลงสะท้อนความเสี่ยงดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว EA (YTD2025 Return +0.5%) GULF (-6.3%) HANA (+0.4%) AH (-3.07%) CK (-4.69%) DELTA (-4.92%) TU (-3.08%) แต่หากอิงโอกาสที่รัฐฯน่าจะต้องหาช่องทางสนับสนุนเงินคืนเพื่อลดผลกระทบ รวมถึงการบริหารภาษีภายในบริษัทต่างๆ คาดผลกระทบจะจำกัดกว่าที่ประเมินข้างต้น เชิงกลยุทธ์แนะนำตั้งรับหุ้นที่อยู่ในกลุ่มที่เป็น New S Curve ของไทยระยะถัดไป หากราคาปรับลงมา ได้แก่ โรงไฟฟ้า ที่อยู่ในธีม Infra Tech เน้น GULF GPSC

Strategy Update : Dividend Plays 2H24

ช่วงปลายเดือน ก.พ. - พ.ค. 2025 จะเข้าสู่เทศกาลจ่ายปันผลประจำปี 2024 ของบริษัทจดทะเบียน ทีมกลยุทธ์ KSS จึงได้รวบรวมหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง) จากคาดการณ์ของ KSS และ Consensus เพื่อนำมาคัดสรรหุ้นปันผลสูง (High Dividend) คือ Dividend Yield มากกว่า 3.5% สำหรับกลยุทธ์การลงทุนระยะ 1 - 2 เดือนแรกของปี ใน "Theme Dividend Play"

Key Ideas : KSS มีมุมมองบวกต่อการลงทุนในหุ้นปันผลในช่วงต้นปีเนื่องจาก

o KSS ได้ทำการศึกษาสถิติผลตอบแทนหุ้นปันผล(SETHD) ย้อนหลัง 10 ปี พบว่า SETHD ในช่วงเดือน ม.ค. – ก.พ. ของทุกปี ผลตอบแทนมักเป็นบวก เดือน ม.ค. ผลตอบแทนบวก 6 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.7%, เดือน ก.พ. บวก 7 ใน 10 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +0.67%

o SETHD ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของทุกปี (งวด 1Q) ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.85%)

กลยุทธ์ : ในเชิงกลยุทธ์ KSS แนะนำซื้อหุ้นปันผลสูงก่อนที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD 2 สัปดาห์แล้วขายวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD (dividend capture) มักจะให้ผลตอบแทนที่ดี ทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการคัดกรองหุ้นปันผลเด่น ภายใต้เงื่อนไข 2 ข้อ คือ

1.) เป็นหุ้นที่จะจ่ายเงินปันผล ช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง)

2.) เป็นหุ้นพื้นฐานที่มีแนวโน้มการเติบโต/กระแสเงินสดมั่นคง /อยู่ใน Theme การลงทุนหลักของ KSS ปี 2025 อาทิ Theme เศรษฐกิจไทยปี 2025F เติบโต อาทิ กลุ่มธนาคาร หรือ อยู่ในอุตสาหกรรม Up Cycle อาทิ Sector ICT หรือ หุ้นที่อยู่ในกลุ่มได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง อาทิ กลุ่มอสังหา กลุ่มการเงิน ฯลฯ โดยเรียงตามอัตราตอบแทนเงินปันผลจากสูงไปต่ำ

พบว่ามีหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลเด่น 9 บริษัท คือ

หุ้น Big Cap ได้แก่ SCB (TP Max Con 135.0, Yield 2H24F 8.6%), TTB (TP25-2.2,Yield 2H24F 7.2%) HMPRO (TP25-13.5,Yield 2H24F 4.3%) INTUCH (TP25-108,Yield 2H24F 4.2%), ADVANC (TP25-305, Yield 2H24F 3.7%),
หุ้น Mid Cap ได้แก่ AP (TP25-11.8., Yield 2H24F 7.65%), TISCO (TP25-97.0, Yield 2H24F 5.84%), SC (TP25-3.2, Yield 2H24F 5.52%), JMT (TP25-22.8, Yield 2H24F 2.3%),

หุ้นปันผลสูงครึ่งหลังปี 2024 ADVANC, INTUCH, SCB, TTB, HMPRO,JMT AP, SC, TISCO

โดยทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการศึกษาสถิติหุ้นปันผลเด่น 9 บริษัทดังกล่าวข้างต้น ย้อนหลัง 8 ปี พบว่าหากลงทุนซื้อหุ้นก่อน 2 สัปดาห์และขายวันที่ขึ้น XD พบว่า ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นที่ให้ Return มากที่สุด คือ JMT +5.36%, TTB +4.16%, ADVANC +3.05%, ส่วน SCB, HMPRO, INTUCH, AP, SC, TISCO ผลตอบแทน (Capital Gain) เฉลี่ยอยู่ราว 1% เท่ากับว่า การลงทุนหุ้นกลุ่ม High Dividend ในช่วงเวลาดังกล่าว หลาย ๆ ครั้งนักลงทุนจะมักจะได้รับเงินปันผลฟรี

 

• CPALL (Buy, TP25F-70): We maintain BUY, TP THB70 and all estimates. We estimate 4Q24 core profit to grow 14% yoy to THB6.4b, as same-store-sales growth (SSSG) could remain decent at 3.5% for CVS and around 2% for CPAXT (its 60% subsidiary). We believe that CPALL is a major beneficiary of the government's consumption stimulus scheme. We also like its decent valuation of 19.4x 2025F P/E, because of its best SSSG in the commerce sector. CPALL will announce its 2024 full-year earnings on 25 February 2025.

• CHG (Buy, TP25F-3.0): เราแนะนำ Buy สำหรับ CHG เนื่องจากคาดกำไรสุทธิผ่านช่วงแย่สุดใน 4Q24F และราคาหุ้นตอบรับไปแล้ว ทิศทางปี 25F คาดกำไรสุทธิ (+12%y-y) กลับมาเติบโตตามรายได้กลุ่มเงินสดและประกันสังคม ส่วนประเด็นประกันแบบ Co-payment คาดมีผลกระทบจำกัด ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขาย PE ปี 25F ที่ 22 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย Forward PE ยังไม่สะท้อนการเติบโตในปี 25F

• Energy & Petrochemical (Neutral): เรายังคงมุมมองที่กฏหมายคุมราคาน้ำมันสุดท้ายจะออกมาในรูปแบบที่ให้อำนาจกระทรวงพลังงานใช้เครื่องมือของภาครัฐเองอย่างภาษีสรรพสามิตและกองทุนน้ำมัน (ปัจจุบันคิดเป็นกว่า 25-37% ของราคาน้ำมันเบนซินและดีเซล หรือ 8-13 บาท/ลิตร) ในการบริหารราคาหน้าปั๊ม ที่ทำได้เร็วและเป็นไปได้มากที่สุด เมื่อเทียบกับการคุมกำไรของเอกชนและสุดท้ายส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขัน และนำไปสู่การขาดแคลน supply น้ำมัน เรามองเป็นโอกาสซื้อหุ้นกลุ่มโรงกลั่น คง top pick เป็น SPRC (TP9.5) ทั้งนี้หากเกิดกรณี worst case สุดท้ายภาครัฐเลือกแทรกแซงกำไรเอกชน เรามองจะมีผลกระทบต่อการทำธุรกิจและกำไรในระยะยาวของกลุ่มโรงกลั่นและสถานีบริการน้ำมันอย่างมีนัยสำคัญ

• Bank (Neutral): ธนาคารที่เราศึกษารายงานกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 5.13 หมื่นลบ. ใกล้เคียงกับเราและตลาดคาด กำไรเพิ่มขึ้น +20% y-y ลดลง -6% q-q ไตรมาสนี้เราเห็นพัฒนาการเชิงบวกทางคุณภาพสินทรัพย์ ทั้งการลดลงของค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) และ NPL ratio ที่ 3.56% ลดลงจาก 3.78% ใน 3Q24 จากการชำระหนี้ของลูกหนี้ดีขึ้น และการแปลงหนี้เป็นทุนของการบินไทย สำหรับเงินปันผล 2H24 คาด dividend yield ที่ 3-6% ภาพรวมปี 2025F เรามองธนาคารได้รับผลกระทบเชิงลบ จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง อย่างไรก็ตามเราคาดจะเห็นผลบวกการจัดการกับคุณภาพสินทรัพย์ และธนาคารคงมีปันผลน่าสนใจ dividend yield คาดที่ 4-8% ต่อปี ดังนั้นเราคงน้ำหนักการลงทุนเป็น NEUTRAL และคง KBANK และ KTB เป็น Top Pick

 

 

2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility

Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE

Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

วันขาย By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ขายเมื่อมีข่าวดี วันนี้ วันขาย ท่ามตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้น ตอบรับข่าวดี สหรัฐกับจีน ....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้