"Domestic Play"
KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "Sideways/Up" ต้าน 1358/1363 จุด รับ 1344/1340 จุด ดัชนี S&P500 +0.88% จากการขับเคลื่อนนโยบายสงครามการค้า Trump 2.0 แบบค่อยเป็นค่อยไป และเริ่มที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างแคนาดาและเม็กซิโก จะขึ้นภาษีนำเข้า 25% ส่วนจีน 10% มีผล 1 ก.พ. ขณะที่การใช้จริงมีโอกาสล่าช้ากว่าแผน โดยเฉพาะแคนาดาที่มีข้อตกลง Free Trade ลดความกังวลต่อเศรษฐกิจโลก และความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อ ขณะที่ 24 ม.ค. มีแนวโน้มที่ BOJ จะขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย กดดัน Dollar Index อ่อนค่าลงสู่ 107.99จุด เงินบาทแข็งค่า 34.0+/- บาท หนุนจิตวิทยา Fund Flow เป็นบวก วานนี้ต่างชาติซื้อหุ้น พันธบัตร และ Net Long TFEX พร้อมกันต่อเนื่อง 2 วัน ผสานภายใน นักท่องเที่ยวจีนเร่งขึ้น แม้ตลาดจะกังวลผลกระทบดาราจีนหายตัว งบกลุ่มธนาคารเป็นบวกอ่อนๆ คุณภาพสินทรัพย์อาจพ้นจุดแย่สุดไปแล้ว การตั้งสำรองจะลดลงในปี 2025 คาด SET แกว่งขึ้น กลุ่มเด่นคือหุ้นที่อยู่ Value Zone อิงเศรษฐกิจภายในเป็นบวก (ท่องเที่ยว ธนาคาร ค้าปลีก สื่อสาร) และแรงหนุน Bond Yield คาดคลายลงต่อเนื่อง วันนี้แนะนำ CPALL, AAV, MALEE (ราคาน้ำตาล YTD -7.8%) เด่น
Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1358/1363 จุด รับ 1344/1340 จุด
What happened around the world?
(+) US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐ ปรับขึ้นต่อรับ Donald Trump ชะลอการขึ้นภาษีนำเข้ากับจีน ทำให้ความเสี่ยงเงินเฟ้อลดลง โดย Dow jones +1.24%d-d S&P500 +0.88%, และดัชนี Nasdaq +0.64%d-d ทำจุดสูงสุดตั้งแต่ ธ.ค.24 (โดยดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นเกือบทุก Sectors ยกเว้นกลุ่ม Energy ที่ปรับลงตามราคาน้ำมันดิบ แต่กลุ่มที่ปรับขึ้นหลักๆคือ กลุ่ม Industrials, Real estate, Health care, Utilities ฯลฯ โดยหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น คือ NVIDIA +2.2%, Netflix +1.35% หลังตลาดปิดรายงานงบ 4Q24 ออกมาดี หนุนจากยอดสมาชิกเร่งขึ้น, Oracle +7.7%, Moderna +5.3% หลังจากบริษัทได้รับเงินสนับสนุนมูลค่า 590 ล้านดอลลาร์จากรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อเร่งการพัฒนาวัคซีนป้องกันไข้หวัดนก ฯลฯ
(*) US Earning 4Q24 : สหรัฐรายงานผลประกอบการ 4Q24 ออกมาล่าสุดรวม จาก 51 บริษัท จาก 500 บริษัท โดยกำไรรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐ อิง กำไรที่ออกมาดีกว่าคาด(Surprise) ราว 9.32% และ เติบโต 22.4% (เมื่อคืนหุ้นท่ำกำไรดีกว่าคาดคือ Netflix ,3M ฯลฯ)
(*) Donald Trump : หลัง Trump เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ นโยบายที่ทรัมป์เริ่มหลักๆคือ 1.ระงับคำสั่งอำนาจบริหารของคุณ Biden 2. ยกเลิกการ Work from Home 3. •ให้หน่วยงานรัฐ ฯแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ค่าครองชีพ 4. ถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส ฯลฯ **แต่ประเด็นหลักที่มีมีผลต่อตลาดหุ้นหลักและมีความคืบหน้าจากที่นำเสนอเมื่อวานคือ การขึ้นภาษีนำเข้า (Tariff) แม้จะผ่อนคลาย โดยเฉพาะจีน แม้จะยังไม่เดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าตามที่หาเสียงในระดับ 60% แต่ล่าสุดเช้านี้ อิงจาก CNBC ทรัมป์วางแผนจะปรับขึ้นภาษีกับจีน 10% คาดจะเริ่ม 1 ก.พ.2025 เช่นเดียวกับแคนาดาและเม็กซิโกคาดจะเก็บในอัตรา 25% เริ่ม 1 ก.พ.2025 KSS ประเมินกลุ่มประเทศ TIPs เผชิญความเสี่ยงนโยบาย Trade War และ Tech War จำกัด จากจุดยืนความเป็นกลาง ฯลฯ
(*) Chip Stocks : เมื่อวานเกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.4 ในไต้หวันเกิดขึ้นใกล้เมืองเจียอี้ ติดกับนครไถหนาน ทางใต้ ผู้ได้รับบาดเจ็บ 27 คนจากแผ่นดินไหว อิงบริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ TSMC กำลังประเมินผลกระทบจากแผ่นดินไหวขณะนี้ยังไม่ชัดเจนถึงผลกระทบต่อการผลิตชิปที่ส่วนไลน์การผลิตยังไม่กลับมาอย่างเต็มที่ ระยะสั้นวันนี้คาดเป็นเพียงจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนในไทย เพราะหากอิงเหตุการณ์ในอดีต 4 เม.ย.2024 เคยเหตุการณ์แผ่นดินไหวไต้หวัน โดยราคาหุ้น TSMC – 2.1%ในวันนั้น ส่วนกลุ่มชิ้นส่วนไทยมีจิตวิทยาลบ อาทิ DELTA และ HANA -1.2%, KCE ทรงตัว และหลังจากนั้นราคาหุ้นกลับมาเป็นขาขึ้นระยะสั้น KSS มองในรอบนี้กระทบเพียงระยะสั้น เพราะผลกระทบ ความเสียหายไม่มากเมื่อเทียบกับปี 2024 ผู้ได้รับบาดเจ็บราว 1 พันราย
(*) To monitors : ฝั่งสหรัฐ 24 ม.ค. ติดตามดัชนีความเชื่อมั่น ม. มิชิแกน คาด 73.2 จุด เท่าเดือนก่อน, ติดตามรายงาน S&P Flash PMI ม.ค. ภาคผลิต คาด 49.4 จุด ภาคบริการ คาด 56.8 จุด 24 ม.ค. ติดตามยอดขายบ้านมือสอง ธ.ค. คาด 4.2 ล้านหลัง vs prev. 4.15 ล้านหลัง ฝั่งยุโรป 23 ม.ค. ติดตามดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ม.ค. คาด -14.3 จุด vs prev. -14.5 จุด, 24 ม.ค. ติดตามรายงานดัชนี HCOB Flash PMI ม.ค. คาด ภาคผลิต 46.0 จุด
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ ปรับขึ้นในทิศทางขาลงหลังสหรัฐไม่เร่งขึ้นภาษีนำเข้ากับจีน อิง อายุ 2 ปีปรับขึ้น +3 bps อยู่ที่ 4.27% และอายุ 10 ปีแกว่งตัวอยู่ที่ 4.57% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) ส่วน Dollar Index อ่อนค่าแรงลงมาบริเวณ 107.7 จุด คาดหนุนค่าเงินสกุลเอเซีย และค่าเงินบาทวันนี้แนวโน้มแข็งค่าเป็นจิตวิทยาบวกต่อ Fund flow ไหลเข้า
(*/-) Oil : ราคาน้ำมันดิบปรับลงต่อ อิง Brent -0.97%d-d ปิดที่ USD 79.37/barrel น้ำมันดิบ West Texas -2.02%d-d ปิดที่ USD 75.83/barrel รับนโยบายของ Trump หลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ประกาศเพิ่มการผลิตน้ำมันในสหรัฐ คือ ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติเพื่อเพิ่มการขุดเจาะน้ำมัน วางท่อน้ำมันทำให้ระยะสั้นตลาดคาด Supply น้ำมันจะเข้ามาในตลาด ประเมินเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นพลังงาน โดยเฉพาะกลุ่มน้ำมัน PTT, PTTEP คาดวันนี้ยังมีจิตวิทยาลบ
What happened in Thailand?
(-) SET Index : SET Index วันทำการล่าสุดฟื้นตัว +12.03 จุด หรือ +0.9% ปิดที่ 1352.53 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มชิ้นส่วนฯ (DELTA, CCET) คลายกังวลปัญหาสงครามการค้า ผสานคาดหวังโอกาสเฟดลดดอกเบี้ยมีมากขึ้นหลัง ทรัมป์ ประกาศนโยบายคุมเงินเฟ้อ กดดัน US Bond yield ลดลงเป็นจิตวิทยาบวกกับหุ้นกลุ่ม Tech และ อิเล็กทรอนิกส์ โดยตรง กลุ่มสื่อสาร (ADVANC) เด่นในฐานะหุ้น High Yield หลังตลาดเชื่อมั่นภาพวงจรดอกเบี้ยขาลงสหรัฐฯมากขึ้น กลุ่มถ่วง คือ กลุ่ธนาคาร (KBANK, TTB) กดดันจากจิตวิทยาลบ US Bond Yield อายุ 10ปี อ่อนตัวลง กลุ่มปิโตรเคมี (IVL)
(+) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุด เงินไหลเข้า ซื้อหุ้น +5.0 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +121.8 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Long 5,773 สัญญา เงินบาทแข็งค่าสู่บริเวณ 34.0 +/- บาท
(*/+) Sign of Fund Flows: วานนี้สัญญาณ Fund Flows ไหลเข้าเป็นบวกเร่งขึ้นตลอดทั้งวันตั้งแต่ช่วงเช้า โดยต่างชาติซื้อพันธบัตรไทย (Bond) +4,155 ล้านบาท ขณะที่ Bond yields ไทยอายุ 10 ปีปัจจุบันทรงตัวที่ระดับ 2.4% โดยค่าเงินบาท/ดอลลาร์ระหว่างวันแข็งค่าแรงลงมาบริเวณโซน 34.0 +/- บาท และมีแนวโน้มแข็งค่าต่อ หากหลุด 33.8 จะมีแนวรับถัดไปบริเวณ 33.6 บาท มองเป็นสัญญาณ Inflow จะเร่งขึ้น โดยคาดภาพจะเกิดขึ้นในทางเดียวกับตลาดหุ้นไทย
กลยุทธ์ : ตลาดหุ้นไทยเริ่มฟื้นตัว หลังสัญญาณการขับเคลื่อนนโยบาย Trump 2.0 ค่อยเป็นค่อยไปกว่าที่หาเสียงไว้ มองหุ้นเด่นได้ประโยชน์ Fund Flow ไหลเข้า เงินบาทแข็งค่า Bond Yields มีแนวโน้มอ่อนตัวลง และปรับตัวลงมากกว่า SET Index อาทิ กลุ่มการเงิน SAWAD ,JMT กลุ่มโรงไฟฟ้า GPSC, GULF
(+) TH Tourism: จำนวนนักท่องเที่ยวสัปดาห์ล่าสุด 13-19 ม.ค. เป็นบวก +0.9%w-w สู่ 8.2 แสนราย จุดน่าสนใจ คือ นักท่องเที่ยวจีนที่ตลาดกังวลผลกระทบเร่งขึ้นแรงกว่า +9.3%w-w เพิ่มขึ้นทุกสัปดาห์นับจากเปิดปี 2025F เชิงกลยุทธ์ เราคาดหุ้นท่องเที่ยว การบินที่ Underperform ต้นปี จากความกังวลผลกระทบนักท่องเที่ยวจีน เชื่อว่าจะมีโมเมนตัมการฟื้นตัวแข็งแรงขึ้น และมีความต่อเนื่องถึงสัปดาห์หน้าที่เข้าสู่ช่วงตรุษจีน ระยะสั้น การบิน เน้น AOT AAV โรงแรมเน้นกลุ่มปรับฐานลึกกว่าตลาด ERW CENTEL
(+) Ministry of Finance: วานนี้ รมช. คลังให้ข้อมูลเกี่ยวข้องนโยบายและทิศทางเศรษฐกิจ ดังนี้
1.) กำลังศึกษาแนวทางทำแซนด์บ็อกซ์สำหรับการใช้เงินดิจิทัล และบิตคอยน์ นำร่องจังหวัดภูเก็ต พื้นที่แรก หากได้ข้อสรุป พร้อมหารือแบงก์ชาติ เราประเมินหากเกิดขึ้นจะเป็นบวก จากการดึงเม็ดเงินใหม่ๆ เข้าสู่ระบบหนุนเศรษฐกิจ
2.) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยงวด 1Q25F มีแนวโน้มจะขยายตัวได้เป็นอย่างดี และอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากแรงส่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของรัฐบาลที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปลายปี 24 ข้อมูลนี้สะท้อนถึงภาพผลบวกนโบยบายที่มีแนวโน้มเป็นแรงหนุนทางบวก เรา
3.) นโยบายกระตุ้นบริโภคต่อยอด คือ Digital Wallet เฟส 3 คาดว่าระบบที่ใช้รองรับการจ่ายจะพร้อม ก.พ. – มี.ค. 25 ทำให้น่าจะมีความพร้อมจ่ายช่วง มี.ค. - เม.ย. 25 ทั้งนี้ คาดว่าจะอยู่ในส่วนเม็ดเงินที่คงเหลืออีกราว 1.57 แสนล้านบาท (เฟส 2 ที่กำลังจะจ่ายสัปดาห์หน้าอยู่ที่ 3.0 หมื่นล้านบาท ส่วนเฟส 1 ที่จ่ายปลาย 3Q24 อยู่ราว 1.45 แสนล้านบาท)
ทิศทางดังกล่าว KSS ประเมินบวกต่อหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการที่น่าจะอยู่ในเกณฑ์น่าพอใจ และยังมีความต่อเนื่องในช่วง 2Q25F ซึ่งจะโดดเด่นจากฐานเปรียบเทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่ไม่มีมาตรการ เน้นลงทุน ค้าปลีก เน้น CPALL CPAXT BJC ธนาคาร เน้น KBANK SCB BBL เช่าซื้อ เน้น KTC JMT
(+) AI Popularity for Thai: ผลสำรวจ Telener Asia พบว่า ประเทศไทยเชื่อถือใน AI มากที่สุดในภูมิภาค เมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ใช้งานจากตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาค โดยยังมีช่องว่างเติบโตอีกมาก จาก
แม้ 77% ของผลำรวจใช้งาน AI อยู่แล้ว แต่ใช้เพื่อการทำงานราว 20% ยังต่ำกว่าสิงคโปร์และมาเลเซีย โดยด้านที่ใช้สูงในไทย คือ ความบันเทิง
ผู้คนไทยให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายมากกว่าความเป็นส่วนตัว (เชื่อว่าบริการ AI ที่ใช้ปกป้องความเป็นส่วนตัวได้ 38% ของผลสำรวจ เทียบกับเพียง 21% ในประเทศสิงคโปร์, และมีแนวโน้มอนุญาตให้ AI เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว vs ราว 15-20% ของคนสิงคโปร์+มาเลเซีย)
6 ใน 10 ของคนไทยยังมีทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับ AI และสิ่งที่ AI สามารถเสริมการใช้ชีวิตที่รู้ทันโลกและปลอดภัย
ผลสำรวจดังกล่าวทำให้เรามั่นใจอย่างมากต่อการเร่งขึ้นอัตรา AI Adoption ในไทย และโอกาสที่ยังเติบโตอีกมากในอนาคต และจะสร้าง Upside ต่อหุ้นเชื่อมโยงธีมดังกล่าว ความต้องการ Data Center (INSET, GULF, GPSC) การใช้ข้อมูลในโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมที่เติบโตก้าวกระโดด (ADVANC, TRUE) กลุ่มช่วยเรื่อง AI / Digital Adoption (BE8, BBIK)
(*/+) TH Politic: ศาล รธน.มติเอกฉันท์ไม่รับคำร้อง ปมกล่าวหาทูลเกล้าฯชื่อ 'นายกฯ' โดยไม่ตรวจสอบคุณสมบัติ-ลักษณะต้องห้าม ส่อขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ประเมินจิตวิทยาบวกประเด็นความเสี่ยงการเมืองที่มีข้อสรุปเพิ่มอีก 1 ประเด็น โดยไม่กระทบความต่อเนื่องการทำงานรัฐบาล
(*) Cabinet: ที่ประชุม ครม. วานนี้ มีมติสำคัญ ดังนี้
1.) อนุมัติหลักการออกกฎกระทรวง กำหนดกลไกราคาคาร์บอนในภาษีน้ำมัน ที่ราคาคาร์บอนละ 200 บาทต่อตันหรือคาร์บอนเทียยบเท่า เพื่อเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ประเมินจิตวิทยาบวกหุ้นที่เชื่อมโยงคาร์บอน เครดิต อาทิ TEAMG, DITTO
2.) อนุมัติร่าง พ.ร.บ.การท่าเรือแห่งประเทศไทย ฉบับใหม่ เพิ่มเติมวัตถุประสงค์และอำนาจการดำเนินกิจการของ การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เตรียมเปิดทางทำกิจการอื่นได้ในอนาคต ประเมินสัญญาณเชิงบวกตามนโยบายรัฐบาลที่ปรับปรุงแก่ไขกฎรระเบียบเพื่อเปิดทางนำมาสู่การลงทุนใหม่ๆมากขึ้น โดยกรณี กกท. เราประเมินมีโอกาสเปิดทางนำไปสู่การพัฒนาท่าเรือคลองเตยในระยะถัดไป
Daily Strategy : CPALL, AAV, MALEE
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "Sideways/Up" คาดตลาดหุ้นยังมีโมเมนตัมแกว่งขึ้นได้ต่อเนื่อง หลังทิศทางนโยบายคุณ Trump โดยเฉพาะ Trade War ค่อยเป็นค่อยไปกว่าตลาดคาดไว้ หนุนเห็นการดึงสถานะสินทรัพย์เสี่ยงกลับขึ้นมา กลยุทธ์ เราจึงมองหุ้นที่มีโอกาสเคลื่อนไหวเด่นวันนี้ คือ หุ้นที่ยังอยู่ในโซนฐาน ขณะที่อยู่ในธีมการลงทุนหลักที่มีแรงหนุน คือ เศรษฐกิจภายในเป็นบวก (ท่องเที่ยว (นักท่องเที่ยวจีนกระทบน้อยกว่าตลาดคาด + ใกล้ตรุษจีน) ธนาคาร (รายงานกำไรออกมาส่วนใหญ่ดีกว่าคาด ผสาน ตั้งสำรองน้อยลง บ่งชี้ความเชื่อมั่นต่อทิศทางเศรษฐกิจ) ค้าปลีก (นโยบายกระตุ้นรอบด้าน) สื่อสาร (ความชัดเจนราคาประมูลคลื่นตั้งต้น) ได้ประโยชน์เงินบาทแข็งค่า และแรงหนุน Bond Yield คาดคลายลงต่อเนื่อง
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, CPALL, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
•Jan 2025 Stock Picks : ADVANC, INTUCH, SCB, TTB, BTS, GULF, MALEE
• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
Strategy Update: ซินเจีย ยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ 2025 ปีมะเส็ง
ใกล้เข้าสู่เทศกาลตรุษจีนปี 2025 (วันขึ้นปีใหม่ของจีน) ปีนี้ตรงกับวันที่ 29 ม.ค.2025 โดยเป็นเทศกาลที่จะเกิด 1.)ความคึกคักการจับจ่ายเนื้อสัตว์, อาหารและผลไม้เพื่อไหว้บรรพบุรุษ 2.) วันหยุดยาวของผู้ที่มีเชื้อสายจีน (จีน, ไต้หวัน, ฮ่องกง) ออกไปท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ และการรับประทานอาหารร่วมกันในครอบครัว ฯลฯ คาดจะเป็นปัจจัยหนุนการใช้บริการในไทยทั้งทางด่วน, ปั๊มน้ำมัน, ห้างสรรพสินค้า, สายการบิน, โรงแรม รวมถึงการซื้อสินค้า อาทิ เสื้อผ้า ฯลฯ 3.)เทศกาลการแจกเงินและ ทอง ในธรรมเนียมคนจีน ถือว่าเป็นการเสริมสิริมงคลสำหรับผู้ให้และผู้รับ ฯลฯ โดยรวมหากอิง ม. หอการค้าไทย ประเมินการจับจ่ายในช่วง "ตรุษจีน"ปีนี้ เม็ดเงินสะพัด 3.2%y-y อยู่ที่ 109,313 ล้านบาท (ยังไม่ได้รวมกันใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เข้ามาราว 8 แสน - 1 ล้านคน)
KSS ประเมินกระแสการเก็งกำไรหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเทศกาลตรุษจีน ปี 2025 ที่มีความน่าสนใจ โดย KSS ได้ทำการศึกษาสถิติผลตอบแทนหุ้นไทยในช่วงตรุษจีนย้อนหลัง 6 ปี (ปี 2019-2024) พบว่า ก่อนเทศกาลตรุษจีน 2 และ 1 สัปดาห์ SET Index +0.81% และ +0.23% ตามลำดับ Sector ที่ได้ประโยชน์กับเทศกาลตรุษจีนปรับขึ้นในทางเดียวกัน และกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นสุดหากซื้อก่อน 2 สัปดาห์ และความเป็นไปได้ที่จะให้ผลตอบแทนบวกเกิน 50% คือ กลุ่มการเงิน +2.73% กลุ่มขนส่ง +1.59% กลุ่มเกษตร +1.4% กลุ่มสื่อสาร +1.33% กลุ่มอาหาร +1.21% กลุ่มค้าปลีก +1.03%
กลยุทธ์การลงทุน KSS แนะนำเก็งหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเทศกาลตรุษจีน เน้น กลุ่มการเงิน AEONTS (TP-140), KTC (TP-55) กลุ่มขนส่ง AOT (TP-64.5) กลุ่มเกษตร CPF(TP-30) GFPT (TP-14.5) กลุ่มสื่อสาร ADVANC (TP-305) และกลุ่มค้าปลีก CPALL (TP-70)
Strategy Update: คาด Global Minimum Tax กระทบจำกัดกว่าตลาดกังวล โอกาสลงทุนหุ้น Infra Tech
จากกรณี ครม. เห็นชอบ ร่าง พ.ร.ก. ภาษีขั้นต่ำ หรือ Global Minimum Tax 15% สำหรับ บ. ข้ามชาติที่มีรายได้มากกว่า 750 ล้านยูโรต่อปี และ ร่าง พ.ร.ก. กองทุนส่งเสริมการแข่งขัน เป็นกองทุนสนับสนุนเงินที่ บ.ข้ามชาติที่ต้องเสียภาษีเพิ่ม เริ่มมีผลตั้งแต่ 1 ม.ค. 2025 ที่ผ่านมา ฝ่ายวิจัย KSS จึงได้ประเมินผลกระทบเบื้องต้นจากมาตรการดังกล่าวที่มีต่อบริษัทที่อาจจะต้องจ่ายภาษีเพิ่มเติม โดยเราใช้เกณฑ์ 1) รายได้ปี 2023 สูงกว่าระดับ 2.6 หมื่นล้านบาท และ 2) อัตราภาษี Effective Tax Rate ประเมินโดย Bloomberg ต่ำกว่าระดับ 15.0% หากใช้สมมติฐานกรณีเลวร้าย คือ ให้ทุกบริษัทเสียภาษีเพิ่มเป็น 15% โดยไม่ได้รับผลชดเชยด้านอื่น พบว่า กำไรปี 2025F ของบริษัทที่จะถูกกระทบจากมาตรการดังกล่าวอย่างมีนัยยะ ได้แก่ EA (คาดกำไรปี 2025F จะลดลง -11.96%) GULF (-11.82%) HANA (-10.37%) AH (-10.09%) DELTA (-9.5%) TU (-3.28%) ขณะที่หากรวมเป็นผลกระทบต่อคาดการณ์กำไรตลาดจะอยู่ราว -8.6 พันล้านบาท หรือ -0.7% ของกำไรตลาดปี 2025F ที่เราประเมิน 96 บาท
ในเชิงกลยุทธ์ เราประเมินหุ้นที่มีความเสี่ยงกระทบส่วนใหญ่ทยอยปรับตัวลงสะท้อนความเสี่ยงดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว EA (YTD2025 Return +0.5%) GULF (-6.3%) HANA (+0.4%) AH (-3.07%) CK (-4.69%) DELTA (-4.92%) TU (-3.08%) แต่หากอิงโอกาสที่รัฐฯน่าจะต้องหาช่องทางสนับสนุนเงินคืนเพื่อลดผลกระทบ รวมถึงการบริหารภาษีภายในบริษัทต่างๆ คาดผลกระทบจะจำกัดกว่าที่ประเมินข้างต้น เชิงกลยุทธ์แนะนำตั้งรับหุ้นที่อยู่ในกลุ่มที่เป็น New S Curve ของไทยระยะถัดไป หากราคาปรับลงมา ได้แก่ โรงไฟฟ้า ที่อยู่ในธีม Infra Tech เน้น GULF GPSC
Strategy Update : Dividend Plays 2H24
ช่วงปลายเดือน ก.พ. - พ.ค. 2025 จะเข้าสู่เทศกาลจ่ายปันผลประจำปี 2024 ของบริษัทจดทะเบียน ทีมกลยุทธ์ KSS จึงได้รวบรวมหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง) จากคาดการณ์ของ KSS และ Consensus เพื่อนำมาคัดสรรหุ้นปันผลสูง (High Dividend) คือ Dividend Yield มากกว่า 3.5% สำหรับกลยุทธ์การลงทุนระยะ 1 - 2 เดือนแรกของปี ใน "Theme Dividend Play"
Key Ideas : KSS มีมุมมองบวกต่อการลงทุนในหุ้นปันผลในช่วงต้นปีเนื่องจาก
o KSS ได้ทำการศึกษาสถิติผลตอบแทนหุ้นปันผล(SETHD) ย้อนหลัง 10 ปี พบว่า SETHD ในช่วงเดือน ม.ค. – ก.พ. ของทุกปี ผลตอบแทนมักเป็นบวก เดือน ม.ค. ผลตอบแทนบวก 6 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.7%, เดือน ก.พ. บวก 7 ใน 10 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +0.67%
o SETHD ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของทุกปี (งวด 1Q) ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.85%)
กลยุทธ์ : ในเชิงกลยุทธ์ KSS แนะนำซื้อหุ้นปันผลสูงก่อนที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD 2 สัปดาห์แล้วขายวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD (dividend capture) มักจะให้ผลตอบแทนที่ดี ทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการคัดกรองหุ้นปันผลเด่น ภายใต้เงื่อนไข 2 ข้อ คือ
1.) เป็นหุ้นที่จะจ่ายเงินปันผล ช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง)
2.) เป็นหุ้นพื้นฐานที่มีแนวโน้มการเติบโต/กระแสเงินสดมั่นคง /อยู่ใน Theme การลงทุนหลักของ KSS ปี 2025 อาทิ Theme เศรษฐกิจไทยปี 2025F เติบโต อาทิ กลุ่มธนาคาร หรือ อยู่ในอุตสาหกรรม Up Cycle อาทิ Sector ICT หรือ หุ้นที่อยู่ในกลุ่มได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง อาทิ กลุ่มอสังหา กลุ่มการเงิน ฯลฯ โดยเรียงตามอัตราตอบแทนเงินปันผลจากสูงไปต่ำ
พบว่ามีหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลเด่น 9 บริษัท คือ
หุ้น Big Cap ได้แก่ SCB (TP Max Con 135.0, Yield 2H24F 8.6%), TTB (TP25-2.2,Yield 2H24F 7.2%) HMPRO (TP25-13.5,Yield 2H24F 4.3%) INTUCH (TP25-108,Yield 2H24F 4.2%), ADVANC (TP25-305, Yield 2H24F 3.7%),
หุ้น Mid Cap ได้แก่ AP (TP25-11.8., Yield 2H24F 7.65%), TISCO (TP25-97.0, Yield 2H24F 5.84%), SC (TP25-3.2, Yield 2H24F 5.52%), JMT (TP25-22.8, Yield 2H24F 2.3%),
หุ้นปันผลสูงครึ่งหลังปี 2024 ADVANC, INTUCH, SCB, TTB, HMPRO,JMT AP, SC, TISCO
โดยทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการศึกษาสถิติหุ้นปันผลเด่น 9 บริษัทดังกล่าวข้างต้น ย้อนหลัง 8 ปี พบว่าหากลงทุนซื้อหุ้นก่อน 2 สัปดาห์และขายวันที่ขึ้น XD พบว่า ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นที่ให้ Return มากที่สุด คือ JMT +5.36%, TTB +4.16%, ADVANC +3.05%, ส่วน SCB, HMPRO, INTUCH, AP, SC, TISCO ผลตอบแทน (Capital Gain) เฉลี่ยอยู่ราว 1% เท่ากับว่า การลงทุนหุ้นกลุ่ม High Dividend ในช่วงเวลาดังกล่าว หลาย ๆ ครั้งนักลงทุนจะมักจะได้รับเงินปันผลฟรี
• OKJ (Buy, TP25F-17.0): We maintain our BUY rating for OKJ with a target price of Bt17. We expect continued strong earnings growth, with 4Q24F expecting to grow 75% yoy and 7% qoq to Bt64m, +61% yoy for FY24F earnings, and 25% annual growth (CAGR FY25-27F) driven by SSSG, branch expansion, and improved profitability. Currently trading at 28x PER for 2025F, we expect this multiple to decline to 21x PER 2026F, from earnings growth.
• CBG (Buy, TP25F-97.0): We maintain BUY, increase TP by 9% (to THB97), as we increase EPS by 4-6% in 2025F-2026F, from: 1) 2-3% upward revision of revenues as management expects to gain 3% market share for the domestic energy drink (to 29%), 2) gross margin to expand 0.2ppt (to 27.6%) from better economies of scale due to strong growth. We think the domestic market share gain could be a positive catalyst to the share price.
• KTB (Buy, TP25F-24): เราคงคำแนะนำ BUY ที่ TP 25F ที่ 24 บ. เพราะ i) คาดได้ผลบวกจากงบประมาณภาครัฐต่อเนื่องใน 1H25F ii) กำไรสุทธิปี 2025F คาดเติบโต +9%y-y มากกว่ากลุ่มที่ +4%y-y iii) มีโอกาสเห็น KTB ปรับเพิ่ม payout ratio จากปัจจุบันที่ราว 30%สำหรับกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 1.05 หมื่นลบ. ใกล้กับเราและตลาดคาด ไตรมาสนี้เห็นปัจจัยบวก 2 อย่าง คือสินเชื่อเพิ่มขึ้น +5.2% q-q คิดเป็น +4.7% YTD จากสินเชื่อภาครัฐ และคุณภาพสินทรัพย์แข็งแกร่งต่อเนื่อง ทั้งค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) ลูกหนี้ stage 2 และ NPL
• SCB (Buy, TP25F-24): เราปรับ TP25F ขึ้นเป็น 120 บ. จากการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2025-26F ขึ้น (5-6)% แต่คงคำแนะนำ NEUTRAL ภาพรวมเรามอง SCB มีปันผลเด่น dividend yield สูงสุดในกลุ่มธนาคารประมาณ 8% ต่อปี ซึ่ง 2H24F คาดจ่ายที่ 7.81 บ./หุ้น dividend yield ประมาณ 6%
2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility
Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE
Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI