Company Note
Neo Corporate
คงแผนการเติบโตในระยะกลางที่ 10-15% ส่วนต่างประเทศคาดเห็นการฟื้นตัวใน 2Q25F
ผู้บริหารตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 10-15% ในปี 2025F (vs. TISCOe 7%) โดยคาดหวังจากการออกสินค้าในกลุ่ม Premium mass เพิ่มเติมที่จะช่วยหนุนการเติบโตต่อสำหรับตลาดในประเทศที่ยังมีช่องว่างอีกมาก ส่วนยอดขายในต่างประเทศคาดหวังการฟื้นตัวในช่วง 2Q25F หลังคาดจะนำสินค้ากลุ่ม Household เข้าสู่ช่องทาง Modern Trade ในเวียดนามได้ในช่วงปลาย 1Q25 นี้ ขณะที่ตั้งเป้าหมาย GPM ในระดับ 42-43% (vs. TISCOe 42%) แม้ภายหลังการปรับประมาณการลงราว 9% เพื่อสะท้อนความเสี่ยงด้านต้นทุนที่สูงขึ้น เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” เนื่องจากเรายังเห็นการเติบโตของตลาดน้ำยาปรับผ้านุ่มและสบู่เหลวในประเทศที่ยังแข็งแกร่ง 8-16% (รูปที่ 4,5) รวมถึงมองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงมากว่า 30% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาสะท้อนความกังวลด้านต้นทุนและความผิดหวังจากการหดตัวของตลาดต่างประเทศของบริษัทมากเกินไปจนราคาปัจจุบันซื้อขายที่ Foward P/E ปี 2025-26F เพียง 10-11x (vs. Peer 17-18x) ขณะที่เราคาด NEO จะจ่ายเงินปันผลอย่างน้อย 1.37 บาท/หุ้น (อิง Payout Ratio ขั้นต่ำที่ 40%) คิดเป็น Yield ราว 4.5%
คาดกำไรสุทธิ 4Q24F ที่ 259 ล้านบาท (+80% YoY, +12% QoQ)
เราคาดรายได้เติบโต 3% YoY เป็น 2,537 ล้านบาท ซึ่งเป็นจุดสูงสุดใหม่ของบริษัท จากความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม Silver ages และ Pet parents รวมถึงการเติบโตที่คาดจะยังโดดเด่นต่อเนื่อง Personal Care ที่สามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้ ขณะที่เราคาด GPM ที่ 43.3% ลดลงเล็กน้อยจาก 43.6% ใน 4Q23 จากการใช้โปรโมชั่นเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและสัดส่วนการส่งออกที่ลดลง ส่วน SG&A to sales คาดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเหลือ 30.2% จาก 34.8% ใน 4Q23 เพราะไม่มีการจ่ายโบนัสพิเศษเหมือนช่วงก่อนเข้าตลาดในปีก่อน ส่งผลให้เราคาดกำไรจากสุทธิเติบโต 80% YoY เป็น 259 ล้านบาท
แนวโน้ม 1Q25F คาดชะลอตัวลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล
เราประเมินผลประกอบการ 1Q25F จะชะลอตัวลง QoQ จาก 1)เป็นช่วง Off season และมีวันหยุดมาก 2)คาดมีค่าใช้จ่ายในการเข้าตลาด MT ในต่างประเทศ 3)แนวโน้ม Product mix และต้นทุนที่เพิ่มขึ้นน่าจะกดดัน GPM ให้ลดลงทั้ง YoY, QoQ ขณะที่เราได้ปรับประมาณการปี 2025F ลดลง 9% เป็น 852 ล้านบาท (-17% YoY) จากการปรับสมมติฐาน GPM ลงเป็น 42.0% (จาก 42.8%) รวมถึงต้นทุนค่าเสื่อมราคาและดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากแผนการขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่ม Household และ Personal Care รวมมูลค่า 2.3 พันล้านบาทในปีนี้
ประเมินมูลค่า
เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยมูลค่าเหมาะสม 2025F ที่ 46.75 (จากเดิม 51.5 บาท) โดยใช้ P/E ที่ 16.4x ความเสี่ยงได้แก่ การแข่งขันด้านราคารุนแรง, สินค้าบางส่วนถูกควบคุมด้านราคา, ต้นทุนมีความผันผวนสูงและความสำเร็จของการออกผลิตภัณฑ์ใหม่