สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(16 มกราคม 2568)--------บริษัท จีเอเบิล จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศความร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัท Thai NS Solutions (Thai NS) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ NS Solutions Corporation ประเทศญี่ปุ่น โดยความร่วมมือครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการจับมือกัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพในการให้บริการด้านดิจิทัลโซลูชัน แก่กลุ่มลูกค้าในวงกว้างมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะด้าน Manufacturing ซึ่งเป็นการสร้างแต้มต่อให้แก่ธุรกิจองค์กร ที่ต้องการขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม อีกทั้งความร่วมมือนี้ยังสนับสนุนการขยายฐานลูกค้าของจีเอเบิลในวงกว้างอีกด้วย

ดร. ชัยยุทธ ชุณหะชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีเอเบิล จำกัด (มหาชน) ได้เผยว่า “ในฐานะผู้ให้บริการด้านระบบไอทีและดิจิทัลโซลูชันแบบครบวงจร (Tech Enabler) ชั้นนำของประเทศไทย ที่มีฐานลูกค้าระดับองค์กร Enterprise ที่หลากหลายทั้งในกลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มโทรคมนาคม กลุ่มพลังงาน และอื่นๆ จีเอเบิล เชื่อมั่นว่าการร่วมมือกับพันธมิตร Thai NS Solutions ด้วยทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาระบบและแอปพลิเคชันทางธุรกิจสำหรับกลุ่มผู้ผลิตญี่ปุ่นในประเทศไทยกว่า 180 คน จะช่วยเสริมทัพความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีให้กับจีเอเบิลได้อีกขั้น เพราะความร่วมมือครั้งนี้ ไม่เพียงแค่ช่วยเสริมศักยภาพด้านเทคโนโลยีของทั้ง 2 องค์กร แต่ยังช่วยเพิ่มมูลค่าการให้บริการที่เรามอบให้กับลูกค้าอีกด้วย ซึ่งนับเป็นจุดต่อยอดสำคัญในการสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับจีเอเบิล ในการส่งมอบเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าในวงกว้างมากยิ่งขึ้น”

มร. เคนสุเกะ ซูซุกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย เอ็นเอส โซลูชั่นส์ จำกัด บริษัทในเครือของ NS Solutions Corporation ได้เผยว่า “ในฐานะผู้ให้บริการโซลูชันด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารชั้นนำเรามีความมุ่งมั่นที่จะสร้างมูลค่าทางธุรกิจของลูกค้าให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกันกับลูกค้า ด้วยการผสมผสานความรู้ทางธุรกิจที่ยาวนานเข้ากับเทคโนโลยีสารสนเทศที่ล้ำสมัยอย่างไม่หยุดยั้ง จึงได้ตัดสินใจจับมือกับบริษัท จีเอเบิล จำกัด (มหาชน) พันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้าน Tech Enabler ชั้นนำของประเทศไทย เพราะเราเชื่อมั่นว่า จีเอเบิล จะเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งในการต่อยอดและพัฒนาศักยภาพเทคโนโลยีที่ครอบคลุมในทุกมิติ”

“ซึ่งวัตถุประสงค์ในการลงนามความร่วมมือของทั้ง 2 บริษัทในครั้งนี้ มุ่งเน้นไปที่การขยายธุรกิจและเสริมสร้างฐานธุรกิจโดยการใช้ฐานลูกค้าและเทคโนโลยีดิจิทัลโซลูชันที่หลากหลายร่วมกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการให้บริการแก่ลูกค้าที่ครอบคลุมทุกมิติของภาคอุตสาหกรรมในวงกว้างมากยิ่งขึ้น” ดร. ชัยยุทธ กล่าว