ขับเคลื่อนด้วยมาตรการกระตุ้น
ทิศทางดอกเบี้ยโลกที่มี FED เป็นหัวขบวน มีความชัดเจนมากขึ้นตามลำดับว่า การปรับลดลงจะช้าและลงได้ไม่มาก ซึ่งเมื่อสะท้อนเข้ามาที่บ้านเราทำให้เห็นว่าโอกาสที่จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายมีน้อยมาก ดังนั้นความหวังว่าจะเห็นแรงกระตุ้นเศรษฐกิจจากนโยบายการเงินผ่อนคลาย ก็ดูเลือนลาง ทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจยังจำเป็นต้องพึ่งพามาตรการทางการคล้ง ซึ่งในงวด 1Q68 ก็จะมีEASY E-RECEIPT ตามด้วยการแจกเงินให้กลุ่มผู้สูงอายุ 4 ล้านคน(DIGITAL WALLET เฟส2) และในงวด2Q68 ก็น่าจะมีการแจกเงินตามแผน DIGITAL WALLET เฟสที่ 3 ปัญหาคือหลังจากนั้นเฉพาะอย่างยิ่งในงวด 3Q68 ซึ่งเป็นปลายปีงบประมาณอาจเห็นแรงกระตุ้นที่แผ่วบางลง ขณะที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากTRADE WAR ที่มากขึ้น สภาวะดังกล่าวอาจสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นวานนี้ TECHNICAL REBOUND ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างที่คาด แต่ะในทางตรงข้ามทำให้สัญญาณทาง TECHNICAL ดูแย่ลง วันนี้ประเมินกรอบ 1335–1350 จุด หุ้น TOP PICK วันนี้เลือก BJC, INTUCH และ PTTGC
สัญญาณดอกเบี้ยเหวี่ยงไปตามตัวเลขเศรษฐกิจ
วานนี้ มีรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI สหรัฐฯ (เงินเฟ้อฝั่งผู้ผลิต) เดือน ธ.ค. 67 อยู่ที่ +3.3%YOY ออกมาต่ำกว่าตลาดคาดการณ์เช่นเดียวกับ CORE PPI ซึ่งอยู่ที่+3.5%YOY ทำให้เพิ่มความคาดหวังว่าตัวเลขเงินเฟ้อสหรัหรัฐฯ (CPI) ที่จะประกาศออกมาคืนนี้เวลา 20.30 น. จะออกมาต่ำกว่าคาดด้วย โดยล่าสุด CONSENSUSคาดการณ์ว่า CPI สหรัฐฯ เดือน ธ.ค. 67 จะปรับเพิ่มขึ้นมาเป็น 2.9%ด้านผลสำรวจของ FEDWATCH TOLL มีการปรับเปลี่ยนคาดกาณ์ลดดอกเบี้ยของFED โดยล่าสุดคาดว่าFED จะลดดอกเบี้ยครั้งแรกของปี2568 ในเดือน ก.ค. 68(เมื่อต้นสัปดาห์คาดเดือน ก.ย.) และจะเกิดขึ้นเพียงแค่ 1 ครั้ง
กลับมาที่ทิศทางดอกเบี้ยบ้านเรา ด้านประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มองว่าดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ในระดับที่สูงเกินไป พร้อมประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงไทย (ดอกเบี้ย -เงินเฟ้อ) ควรอยู่ที่ 0-1%ภายใต้เศรษฐกิจเติบโตราว3% โดยหากเงินเฟ้อเข้ากรอบ 1% ดอกเบี้ยที่ระดับ NEUTRAL RATE ไม่ควรสูงเกิน2% อย่างไรก็ตามในกรณี "ไม่ลดดอกเบี้ย" อาจกดดันให้เศรษฐกิจไทยในช่วง 2H68อ่อนแรงลง และต้องจับตาผลกระทบนโยบายของ TRUMP 2.0 อย่างใกล้ชิด
สรุป สัญญาณเงินเฟ้อที่ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ หนุนให้ตลาดตีความว่า FED จะเริ่มลดดอกเบี้ยเร็วขึ้นกว่าเดิม (โดยล่าสุดคาดเดือน 7 เมื่อต้นสัปดาห์คาดเดือน 9)ขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยบ้านเรา ความเห็นของรัฐบาลยังมองว่าอยู่ในระดับที่สูงเกินไปและในกรณี "ไม่ลดดอกเบี้ย" อาจกดดันให้เศรษฐกิจไทยในช่วง 2H68 อ่อนแรงลง
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยังมีต่อ หนุน GDP GROWTHเติบโตเป็นขั้นบันได
วานนี้มีตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) เดือนธ.ค. 67 อยู่ที่ 57.9 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มเห็นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ช่วยผ่อนคลายให้สถานการณ์เศรษฐกิจไทยเริ่มปรับตัวดีขึ้น และการท่องเที่ยวในประเทศเริ่มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
ซึ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยระยะถัดไปยังมีมาเรื่อยๆ ซึ่ง 2 โครงการที่มีความชัดเจน ณ ขณะนี้ คือ
1. โครงการ EASY E-RECEIPT ลดหย่อนภาษี 50,000 บาท คาดใช้เงิน 7 หมื่นล้านบาท ระยะเวลาโครงการ 16 ม.ค.-28 ก.พ 68
2. โครงการแจกเงิน 10,000 บาท ซึ่งล่าสุดคลังคาดพร้อมโอนเงินในเฟส 2 ให้ผู้สูงอายุ 4 ล้านคน ภายใน 27 ม.ค.68 นี้ ส่วนเฟส 3 คาดมีความชัดเจนใน2Q68 คาดใช้เงิน 4 หมื่นล้านบาทโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆของคลัง คาดหวังให้GDP ปี 2025 โต 3% ปี 2026 โต4% และปี 2027 โต 5% ได้ไม่ยาก ตามที่อดีตนายกฯ กล่าวในงาน “CHAT WITHTONY”
อีกทั้งโครงการ ENTERTAINMENT COMPLEX หลัง ครม. มีมติเห็นชอบโครงการดังกล่าว กระบวนการถัดไป คือ เตรียมเสนอร่าง พรบ.เข้าสภาฯ ช่วง พ.ค.68 คาดประกาศใช้ พรบ. 1Q69 และเริ่มก่อสร้างในปี 2570 โดยผู้ที่จะมาลงทุนต้องมีทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ 10,000 ล้านบาท และต้องลงทุนไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท พร้อมมีประสบการณ์ในการบริหารสถานบันเทิงครบวงจรระดับนานาชาติ ซึ่งล่าสุดมีเอกชนต่างชาติ6 ราย ประกอบด้วย
1.LAS VEGAS SANDS 2.กลุ่ม WYNN RESORTS
3.กลุ่ม CAESARS ENTERTAINMENT
4.กลุ่ม MGM CHINA HOLDINGS
LIMITED
5. กลุ่ม HARD ROCK CAFE
6.MELCO RESORTS &ENTERTAINMENT
สรุป มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้ง EASY E-RECEIPT และ โครงการแจกเงิน 10,000บาทเฟส 2 คาดหนุน GDP GROWTH เติบโตเป็นขั้นบันได คือ GDP ปี 2025 โต 3%ปี 2026 โต 4% และปี 2027 โต 5% อีกทั้งยังมีโครงการ ENTERTAINMENTCOMPLEX ที่จะมาช่วยกระตุ้น GDP GROWTH ในอนาคต
ช่วงรอยต่อ TRUMP2.0 FUND FLOW ออก หุ้นโลกย่อแรง
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา รอยต่อเข้าสู่ยุค TRUMP 2.0 กดดันความกังวลดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้ออยู่ระดับสูง อาจทำให้ FED อาจต้องระมัดระวังในการ TAKE ACTIONต่างๆ มากขึ้น สะท้อนจาก BOND YIELD 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นมาเร็ว 64 BPS.อยู่ที่ 4.79%
แสดงให้เห็นว่าเม็ดเงินมีการไหลออกจากตลาดทุน ทั้งตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้นก็ถูกกดดันแรงในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาเช่นกัน สะท้อนได้จากตลาดหุ้นโลก MSCIACWI -3.7% และตลาดหุ้นอื่นๆ ลงแรง อาทิ อินเดีย -6.9%, ไทย -6.4%, สหรัฐ(NASDAQ) -4.4% แต่ก็เห็นตลาดหุ้นบางแห่งทยอยฟื้น ฮองกง เหลือ -3.8%, เกาหลีใต้ เหลือ 0.1% เป็นต้น
FUND FLOW ในปี 2568 นี้ ยังเห็นการไหลออกจากตลาดหุ้นในภูมิภาคเกือบทุกแห่ง
แรงขายจาก FUND FLOW กดดันตลาดหุ้นโลกรวมถึงไทยย่อตัวลงมาแรง ตอบรับประเด็นลบมาในระดับหนึ่งแล้ว หาก BOND YIELD 10 ปี สหรัฐเริ่มย่อตัวลง และFUND FLOW มีสัญญาณชะลอไหลออก น่าจะเห็น SET INDEX เริ่มทำฐานและฟื้นขึ้นมาได้ ขณะที่ในมุมเทคนิค เห็น RSI เริ่มเข้าเขต OVERSOLD และยกฐานทำ BULLISH DIVERGENCE ซึ่งหาก SET ไม่หลุด 1325 จุด น่าจะเห็นการฟื้นตัวใกล้ๆนี้
Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์