"Selective Play"
KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "Up" ต้าน 1370/1380 จุด รับ 1350/1340 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวในฝั่งหุ้น Value นำโดยหุ้นพลังงาน ขณะที่หุ้นเทคโนโลยีลงต่อ อิงดัชนี S&P500 +0.15% ขณะที่ดัชนี Dow Jones ฟื้นแรงกว่า หลักๆมาจากคณะทำงานคุณ Trump กำลังหารือแผนปรับเพิ่มภาษีนำเข้าค่อยเป็นค่อยไป บวกต่อตลาดหุ้น EM และ SET ขณะที่ปัจจัยมหภาคยังเป็นการรอรายงานเงินเฟ้อผู้ผลิต PPI วันนี้ (14 ม.ค.) และ CPI พรุ่งนี้ (15 ม.ค.) ภายในข้อมูลงาน "Chat with TONY" เป็นบวก เรื่องใหม่ คือ ข้อเสนอแนะการสร้างความเชื่อมั่นความโปร่งใสตลาด, แนวคิดการนำกองทุน LTF กลับมา และแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเติบโตปี 2025F> 3%, 2026F ที่ 4% และ 2027F ที่ 5% เน้นไปที่การดึงเงินเข้าสู่ระบบ+ผลักดันเกิดการลงทุนรอบด้าน คาดจะเริ่มเห็นพัฒนาการตั้งแต่ 2H25F ครม. ตั้งแต่ต้นปี เริ่มเร่งโครงการสำคัญอย่างชัดเจน วานนี้ คือ Entertainment Complex เราประเมินช่วยเรียกคืนความเชื่อมั่นในหุ้นไทยได้ คาด SET วันนี้ฟื้นตัว หุ้นนำ คือ กลุ่มน้ำมัน กลุ่ม Domestic (ธนาคาร สื่อสาร+ดิจิทัล หุ้นอิงภาคบริการ รับเหมา) บวกจากงาน "Chat with TONY" รวมถึงหุ้นโรงไฟฟ้า ที่มีการชี้แจงแนวคิดลดค่าไฟฟ้า โดยเน้นที่การปรับฝั่งต้นทุนภาครัฐก่อน วันนี้แนะนำ PTTEP, INTUCH, BTS เด่น
Daily outlook: "Up" ต้าน 1370/1380 จุด รับ 1350/1340 จุด
What happened around the world?
(*) US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐ Rebound เล็กน้อย Dow jones +0.86%d-d S&P500 +0.15%, แต่ดัชนี Nasdaq ปรับลงต่อ -0.39%d-d (ถูกกดดันจากหุ้นกลุ่ม Tech) โดยดัชนี S&P 500 Sectors ที่ปรับขึ้นคือ หลักๆคือหุ้น Cyclicals อาทิ กลุ่ม Energy, Materials, Health care ฯลฯ ส่วน Sector ปรับลงหลักๆคือ Utilities, IT, ICT, Consumer staples ฯลฯ โดยหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น คือ NVIDIA -1.9%, Meta -1.22%, Apple -1.03% , Intracellular +34% จากตลาดมีมุมมอเงชิงบวกต่อผลประกอบการ ฯลฯ
(++) US Tariff : Bloomberg เผยทีมเศรษฐกิจของ Donald Trump กำลังหารือปรับขึ้นภาษีศุลกากร (Tariff) อย่างช้าๆเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะเงินเฟ้อ โดย 1 ใน Scenario ที่มีโอกาสคือ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าแบบค่อยเป็นค่อยไปราว 2-5%ต่อ เดือน โดยเช้านี้ Dow jones Futures บวกราว 0.2-0.4% KSS ประเมินท่าทีที่ผ่อนคลายขึ้นดังกล่าวมอง มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีน และบวกต่อ SET Index โดยรวมมองเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออก เน้น CPF และบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ PTTEP กลุ่มปิโตรเคมี อาทิ IVL
(*/+) China Econ จีนรายงานยอดส่งออก ธ.ค. 24 ขยายตัวเป็นบวก 9 เดือน และ +10.7%y-y ดีกว่าคาด เร่งขึ้นจาก prev. +6.7%y-y ในทางตรงข้ามยอดนำเข้า ธ.ค. 24 ของจีนพลิกเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 3 เดือน เเพิ่มขึ้น +1.0%y-y vs prev. -3.9%y-y มองบวกต่อหุ้นไทยที่มีธุรกิจการค้าและส่งออกไปจีน โดยรวมมองบวกต่อหุ้นกลุ่ม China Play บวกต่อหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี IVL, PTTGC
(*/+) India CPI : อินเดียรายงานเงินเฟ้อ เดือน ธ.ค. ชะลอลง 2 เดือนติดต่อกันอยู่ที่ 5.22% และดีกว่าคาด หลักๆคือราคาอาหารอ่อนตัวลง ราคาผักลดลงน้ำตาลหดตัว แต่ สภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยซึ่งทำให้ความผันผวนของราคาอาหารรุนแรงขึ้น ความเสี่ยงของการเริ่มการผ่อนคลายทางการเงินล่าช้า กลยุทธ์ให้น้ำหนักเป็นกลางสำหรับตลาดหุ้นอินเดีย จับตาบริเวณ 76800 จุด หากปิดต่ำกว่าในสัปดาห์นี้ ประเมินแนวโน้มช่วงถัดไปอ่อนตัวลงไปกรอบ 74000-75000 จุด
(*/+) Pig : เกาหลีใต้ประกาศระงับการนำเข้าเนื้อหมูจากเยอรมนีทั้งหมด หลังพบการระบาดของโรคปากและเท้าเปื่อยในฝูงกระบือ ณ รัฐบรันเดนบูร์ก มองเป็นจิตวิทยาบวกทางอ้อมในการนำเข้าหมูในไทย ปัจจุบันสัดส่วนนำเข้าที่เกาหลีใต้นำเข้าจากไทยน้อยมาก หรือไม่มีนัยยะ มองเป็นบวกต่อหุ้นส่งออกหมูอาทิ CPF, TFG
(*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ 14 ม.ค. ติดตามเงินเฟ้อ PPI ธ.ค. คาด +0.4%m-m เท่าเดือนก่อนม 15 ม.ค. ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อ CPI ธ.ค. คาดเงินเฟ้อทั่วไป +2.9%y-y, +0.3%m-m ฝั่งจีน 17 ม.ค. ติดตามรายงาน GDP ไตรมาส 4 คาด +5.0%y-y vs prev. +4.6%y-y และติดตามดัชนีกิจกรรมเศรษฐกิจจีน ธ.ค. ฝั่งยุโรป 17 ม.ค. ติดตามรายงานเงินเฟ้อ CPI ธ.ค. คาดเงินเฟ้อทั่วไป +2.4%y-y, +0.3%m-m vs prev. +2.2%y-y, -0.3%m-m, เงินเฟ้อพื้นฐาน +2.4%y-y vs prev. +2.2%y-
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐแนวโน้มยังเป็นขาขึ้น โดยอายุยาวทำจุดสูงสุดตั้งแต่ พ.ย.23 รับมุมมองดอกเบี้ยสหรัฐไม่เร่งปรับลงเร็วในปีนี้ อิง อายุ 2 ปีชะลอการขึ้น อยู่ที่ 4.377% และอายุ 10 ปีแกว่งตัวขึ้นอยู่ที่ 4.76% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร KBANK SCB BBL ประกันชีวิต BLA TLI ส่วน Dollar Index แกว่งตัวมาบริเวณ 109.4 จุด
(+) Oil : ราคาน้ำมันดิบทำจุดสูงสุดในรอบ 4 เดือน อิง Brent +1.43%d-d ปิดที่ USD 80.9/barrel น้ำมันดิบ West Texas +2.94%d-d ปิดที่ USD 78.82/barrel แรงหนุนมาจากประเด็นเดิมช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้วคือสหรัฐเพิ่มการคว่ำบาตรรัสเซีย โดยเฉพาะผู้ผลิตน้ำมัน เรือบรรทุกน้ำมัน คาดจะกระทบ Supply น้ำมัน โดนรวมยังมองบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTTEP, PTT
(*/+) BDI : ดัชนีค่าระวางเรือ BDI ปรับขึ้นติดต่อกัน 3 วันติด +4.29%d-d ปิดที่ 1093 จุด มองบวกต่อหุ้นดรือเทกอง TTA PSL
What happened in Thailand?
(*/-) SET Index SET Index วันทำการล่าสุดผันผวนหลุด Low เดิมที่ 1352 จุด แต่ยังฟื้นตัวปิดเหนือบริเวณดังกล่าวได้ที่ 1354 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มธนาคาร (SCB, KBANK, KTB) จิตวิทยาบวก US Bond Yield เร่งขึ้น ผสาน เก็งภาพก่อนรายงานกำไรงวด 4Q24F ซึ่งมักมีการประกาศจ่ายเงินปันผลงวดปีพร้อมกัน กลุ่มการแพทย์ (BDMS, BH) กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มชิ้นส่วนฯ (DELTA) จิตวิทยาลบ US Bond Yield เร่งขึ้น กลุ่มขนส่ง (AOT, AAV) กังวลนักท่องเที่ยวจีนยกเลิกเที่ยวบินและห้องพัก วิตกข่าวดาราจีนหายตัว และ ข่าวศิลปินฮ่องกงยกเลิกทัวร์คอนเสริตในประเทศไทยโดยให้เหตุผลเรื่องความปลอดภัย
(*/-) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุด เงินไหลออก ซื้อหุ้น +3.4 ล้านเหรียญฯ ขายพันธบัตร -146.5 ล้านเหรียญฯ TFEX Net short -15,730 สัญญา เงินบาทอ่อนค่าทรงตัว 34.7+/- บาท
(+) Chat with TONY : ข้อมูลสำคัญจากงาน "Chat with Tony : Bull Rally of Thai Capital Market" อดีตนายกฯ ให้วิสัยทัศน์ภาพตลาดทุนอยู่ในระบบทุนนิยม ที่หากมีการแก้ไขปัญหาความโปร่งใส การสร้างการเติบโตเศรษฐกิจอย่างเหมาะสม เม็ดเงินลงทุนจะเข้ามาตามกลไกเอง ทั้งนี้ จากแนวาทางต่างๆเราประเมิน เป็นบวกและสร้างความเชื่อมั่นตลาดทุนได้อีกครั้ง จากเรื่องหลักๆแนวทางเพิ่มอำนาจหน่วยงานกำกับดูแล+การผลักดันเกิดกลไกเปลี่ยนแปลงทันสถานการณ์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นความโปร่งใส, แนวคิดการนำกองทุน LTF กลับมา และการให้เป้าหมายเศรษฐกิจเติบโตเร่งขึ้น โดยมีการให้ข้อมูลแนวทางทั้งเรื่องเดิมที่กำลังคืบหน้าขึ้น และเรื่องใหม่ที่เข้ามาเสริม ทั้งนี้ เชิงรายละเอียดสรุปได้ 3 ส่วนดังนี้
1.) การสร้างความเชื่อมั่นต่อตลาดทุน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องใหม่ ประเมินจิตวิทยาบวกต่อ SET (เรื่องใหม่)
ความโปร่งใส กฎระเบียบต่างๆ ต้องมีการพัฒนาแก้ไขให้ทันต่อเหตุการณ์+พัฒนาให้อำนาจหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การแก้ปัญหา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต้องทันต่อเหตุการณ์ (เรื่องใหม่)
เสริมกฎเกณฑ์ความเชื่อมั่นบริษัทที่ซื้อหุ้นคืน ว่าจะมีแนวทางพัฒนาธุรกิจเพื่อนำหุ้นกลับมาสู่ราคาเหมาะสมอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะหุ้นต่ำกว่า PBV หรือ PER ต่ำ) จิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มที่ซื้อขายต่ำกว่า PBV อาทิ ปิโตรเคมี ธนาคาร
สนับสนุนการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ซึ่งน่าจะมีทางเลือกเพิ่มขึ้น จากการเร่งการผลักดันการลงทุนธุรกิจใหม่ๆ และสนับสนุน IPO เป็นทางเลือกในการลงทุน อาทิ Entertainment Complex รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัลต่างๆ และตลาดคาร์บอนเครดิต จืตวืทยาบวกต่อหุ้นเชื่อมโยงสินทรัพย์ดิจิทัล อาทิ BTC JTS TTA และคาร์บอนเครดิต อาทิ DITTO BCPG
2.) การหามาตรการใหม่ๆที่เป็นช่องทางลงทุนหุ้น > พันธบัตร โดยอาจจะพิจาณากองทุน LTF ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษา ทำให้มีโอกาสกองทุนดังกล่าวอาจกลับมาหนุนตลาดอีกครั้ง ประเมินจิตวิทยาบวกต่อ SET (เรื่องใหม่)
3.) การพัฒนาเศรษฐกิจตนเองให้มีความแข็งแรงน่าสนใจ โดยอิงกลไกที่ได้ให้ข้อคิดเห็นแก่รัฐบาล หากดำเนินการได้ต่อเนื่อง เชื่อว่า GDP ปี 2025F จะเติบโต > 3% (vs ตลาดคาด 2.5-2.9%) ปี 2026F เติบโต 4% และปี 2027F จะเติบโต 5% ทั้งนี้ คาดว่าสัญญาณเร่ง GDP ไทยจะเริ่มเห็นภาพชัดเจนใน 2H25F (เรื่องใหม่)
ทั้งนี้ แนวทางต่างๆ เน้นไปที่การดึงเม็ดงินใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ+เน้นไปที่ภาคการลงทุนเพิ่มมากขึ้น ทำให้เราเชื่อตลาดน่าจะมั่นใจมากขึ้นต่อเป้าหมาย GDP ในปี 2025-27F โดยเฉพาะแนวทางที่มีการฉายภาพ โดยแม้ส่วนใหญ่เป็นแนวทางใกล้เคียงกรอบใหญ่ที่วางไว้เดิม แต่กลุ่มเดิมมีพัฒนาการหลายส่วนที่เริ่มมีความคืบหน้า และมีส่วนเสริมเรื่องใหม่บางส่วน) สรุปดังนี้
เรื่องใหม่
o การดึงเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ โดยเป้าหมายค่าไฟฟ้าที่ประกาศช่วงหาเสียง 3.7 บาท พิจารณาแล้วมีต้นทุนหลายส่วนที่ลดได้ โดยยังไม่ต้องแตะในขั้นตอนที่ไปยุ่งเกี่ยวกับเอกชน แต่อาจมีบางส่วนกระทบ PTT บ้างเล็กน้อย
o อุตสาหกรรม Data Center ที่ต่างชาติเริ่มเข้ามาลงทุน เปรียบเสมือน น้ำมัน ต้องมีการลงทุนธุรกิจต่อยอด โดยคาดหวังการดึงต่างชาติเข้ามาลงทุน AI Hub เปรียบธุรกิจช่วยเพิ่มมูลค่าต่อยอดเหมือนโรงกลั่นฝั่งน้ำมัน คาดเม็ดเงินลงทุนมหาศาล 50 พันล้านเหรียญฯ / 1Gigamegawatts
o นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างศึกษาการดึงเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ จากการปฏิรูปภาษี เช่น ลดภาษีนิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคล แต่จะมาพร้อมกับการเพิ่ม VAT ชดเชยรายได้ ขณะที่ลดผลกระทบกลุ่มฐานรากผ่านกลไก Negative Income Tax (เรื่องใหม่ในส่วนการชี้แจงที่มาและแนวคิด)
o เม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นต้องกระจายตัวในพื้นที่ต่างๆ เช่น พื้นที่ชนบทที่ปัจจุบันไม่มีเม็ดเงิน โดยกำลังคิดหาแนวทางผลักดันให้เกิดขึ้น เช่น มาตรการภาษีจูงใจให้บริษัทต่างๆ ไปตั้งสำนักงานใหญ่พื้นที่ต่างจังหวัด (เรื่องใหม่)
o เริ่มการทำ Sandbox ผลักดันอุตสาหกรรม Biotech เช่น Stem-Cell (เรื่องใหม่) จิตวิทยาบวก MEDEZE
สรุป ในส่วนของเรื่องใหม่ ประเด็นที่เราให้น้ำหนักมีโอกาสเกิดขึ้นได้+ทำได้เร็ว คือ
*การลดค่าไฟฟ้าที่การชี้แจงแนวทางดูชัดเจน (ประเมินความเป็นไปได้>50%, คาดเกิดขึ้นภายใน 2 ปี)ประเมินบวกหุ้นไฟฟ้า อาทิ GULF GPSC ที่ตลาดกังวลน้อยลง นอกจากนี้ เป็นบวกกลุ่มใช้ไฟสูง สื่อสาร เน้น ADVANC ค้าปลีก เน้น CPALL, CPAXT และ
**ส่วนประเด็นอื่นๆ เราเชื่อว่ายังต้องรอติดตามแนวทางเพิ่มเติมในระยะถัดไป
เรื่องเดิม
o การดึงเม็ดเงินอุตสาหกรรมใต้ดินขึ้นบนดิน อาทิ พนันออนไลน์ เงินฝากในระบบ 3 ล้านล้านบาท เม็ดได้เสียในระบบมหาศาล 5 แสนล้านบาท หากนำขึ้นได้จะสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจและลดปัญหาทางสังคมผ่านระบบตรวจสอบต่างๆ นอกจากนี้ การแก้ไขปัญหาอื่นๆ เช่น Call Center ลดส่วนสูญเสียเม็ดเงินในระบบ
o การผ่อนคลายกฎระเบียบรัฐฯ ให้เกิดการลงทุนใหม่ๆ เช่น การให้สิทธิ์พัฒนาที่ดินรัฐฯ 99 ปี ประเมินนำมาการพัฒนาอสังหาฯ (บ้านเพื่อคนไทย, เริ่มถมทะเลสร้างเมืองใหญ่
o คาดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานดำเนินการในส่วนรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายคาดมีผล 1 ต.ค.
o อุตสาหกรรมท่องเที่ยวลักษณะ Man Made อาทิ Entertainment Complex คาดก่อให้เกิดการลงทุน 5.0 แสนล้านบาท นอกจากนี้ จะเสริมเรื่องโครงสร้างพื้นฐานให้เชื่อมโยงครอบคลุม พร้อมลงทุนระบบความปลอดภัยโดยใช้เทคโนโลยีกล้องวงจรปิด AI
o การพัฒนาไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน
o การเริ่ม Sandbox รับชำระเงินจาก Bitcoin โดยทุกคนที่ถือส่วนใหญ่มีกำไร มีโอกาสจับจ่ายง่ายและสูงกว่าปกติ ขณะที่เป็นรากฐานพร้อมเติบโตไปกับสหรัฐฯยุค Trump ที่สนับสนุนเงินดิจิตอล นอกจากนี้ รวมถึงการพิจารณากลไกการออกพันธบิตรรัฐบาลใหม่ โดยกำลังพิจารณาแนวออกลอตเล็ก อายุสั้น และใช้เป็นฐานการออก Stable Coin เพื่อนำเงินมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
o การดึงเม็ดเงินอุตสาหกรรม Semi-Conductor เป็น New S Curve ที่เริ่มมีสัญญาณทางบวกจากไต้หวัน และไทยควรใช้จุดเด่นความเป็นกลางธุรกิจซึ่งต่างชาติมองเป็นช่องทางลดผลกระทบ Trump 2.0 แลกเปลี่ยนกับโอกาสเรียนรู้อุตสาหกรรมดังกล่าว
สรุป ในส่วนของเรื่องเดิมส่วนใหญ่เราพบว่าทยอยมีพัฒนาการทางบวกจากการทำงานของรัฐบาลในปัจจุบัน อาทิ การเริ่มกระบวนการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือการริเริ่มโครงการแล้ว ทั้งนี้ เรื่องที่เราให้น้ำหนักมีโอกาสเกิดขึ้น >70% และน่าจะมีความคืบหน้า 1 ปี ได้แก่
*การดึงพนันออนไลน์เข้าระบบ+แก้ไขปัญหา Call Centerบวกต่อกลุ่ม Digital Tech Consult อาทิ BBIK, BE8
*พัฒนาการภาคท่องเที่ยว ภาคบริการ Entertainment Complexบวกหุ้นในธีม Entertainment Complex อาทิ AOT BTS VGI (เก็งกำไร) CPALL BJC BA MBK
*โครงการรถไฟฟ้า 20 บาท บวกต่อ BTS และ
*การผ่อนคลายให้สิทธิ์พัฒนาที่ดินรัฐฯ บวกต่อกลุ่มรับเหมา PYLON, STECON, CK
**กลุ่มถัดมา เราให้น้ำหนักโอกาสเกิดขึ้น 50% และน่าจะคืบหน้า 2-3ปี คือ เรื่องศูนย์กลางทางการเงิน,การผลักดัน Digital Assets และการดึง New S Curve
(*/+) Cabinet : ที่ประชุม ครม. วันนี้ มีมติสำคัญ ดังนี้
1.) เห็นชอบร่าง พรบ. สถานบันเทิงครบวงจร เตรียมส่งกฤษฎีกาดูรายละเอียดร่างกฎหมายโดยคาดใช้เวลา 2-3 เดือน ก่อนนำเข้าสู่สภาการเดินหน้ากฎหมายดังกล่าว
ระยะสั้นถือเป็นภาพบวก vs ตลาดกังวลว่าขั้นตอนอาจจะสะดุด หลังกฤษฏีกามีข้อเสนอแนะออกมาก่อนเสนอ ครม. ล่าสุด ประเมินกรอบโครงการยังน่าจะเห็นการเริ่มประมูลปลายปี 2025-ต้นปี 2026 ส่วระยะกลางคาดหนุนเศรษฐกิจ i.) เม็ดเงินลงทุนโครงการ ii.) การจัดเก็บภาษีจากการสร้างแหล่งท่องเที่ยว Man-Made Attractions ซึ่งเป็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จในหลายประเทศ
นอกจากนี้ หากอิงผลการศึกษาในสิงคโปร์และมาเก๊า KSS พบว่า โดยเฉลี่ยแล้ว การเปิด Entertainment Complex 1 แห่งหนุนนักท่องเที่ยวขยายตัวขึ้นจากฐานนักท่องเที่ยวเดิมราว 10-15% ผลบวกอีกด้าน คือ New S Curve ใหม่ของภาคท่องเที่ยวไทยที่ตลาดเชื่อมั่นโอกาสก้าวข้ามระดับ Pre-COVID ที่ 39.6 ล้านคนในระยะกลาง-ยาว
โดยรวม KSS ประเมินพัฒนาการดังกล่าวเป็นบวกหุ้นในธีม Entertainment Complex อาทิ AOT BTS VGI (เก็งกำไร) CPALL BJC BA MBK
2.) อนุมัติงบกลางตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ในการศึกษาเรื่องพัฒนาที่อยู่อาศัยที่อยู่รอบสถานีรถไฟที่มีศักยภาพหรือโครงการบ้านเพื่อคนไทย วงเงิน 160 ล้านบาท ส่วนสาเหตุที่มีการขออนุมัติงบกลางจากครม.เพื่อศึกษารายละเอียดโครงการบ้านเพื่อคนไทยบนพื้นที่ทั้ง 4 แห่ง ประกอบด้วยพื้นที่บางซื่อ กม.11, เชียงราก, สถานีธนบุรี และสถานีเชียงใหม่ ทั้งนี้ สัญญาณก่อนหน้าที่กล่าวถึงแนวทางการโครงการขนาดใหญ่ระดับคอนโด 45 ชั้น คาดว่าเม็ดเงินลงทุนโครงการดังกล่าวจะมีนัยฯ ประเมินจิตวิทยาบวกต่อกลุ่มรับเหมา
(*/+) BOI: BOI เปิดเผยว่า ในปี 2024 คำขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุน โดยมีจำนวน 3,137 โครงการ เพิ่มขึ้น 40%y-y เป็นยอดจำนวนโครงการที่สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้ง BOI และมีมูลค่าเงินลงทุน 1,138,508 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 35% สูงสุดในรอบ 10 ปี ขณะที่ในปี 2025F BOI ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท เน้นอุตสาหกรรมเป้าหมายยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญ แบตเตอรี่ เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อัจฉริยะ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ดาต้าเซ็นเตอร์และบริการคลาวด์ เทคโนโลยี AI และดิจิทัลขั้นสูง และเทคโนโลยีชีวภาพ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมและบริการที่ประเทศไทยเด่น เกษตรและอาหาร พลังงานสะอาด การแพทย์และสุขภาพ การท่องเที่ยว ประเมินจิตวิทยาบวกต่อกลุ่มนิคม อาทิ WHA, AMATA อย่างไรก็ดี จากฐาน BOI ที่สูงในปีก่อน เชิงกลยุทธ์ ระยะสั้นเราแนะนำรอติดตามพัฒนาการยอดในช่วงปี 2025F ก่อนหาจังหวะลงทุนรอบใหม่
(*/+) Chinese New Year Plays: ทีมกลยุทธ์ออกรายงานกลยุทธ์ลงทุนก่อนเข้าสู่เทศกาลตรุษจีนวันที่ 29 ม.ค. 2025 ซึ่งปกติมักเป็นช่วงเวลามีความคึกคักการจับจ่ายสินค้าเนื้อสัตว์ อาหารและผลไม้ เพื่อไหว้บรรพบุรุษ และเป็นวันหยุดยาวของผู้ที่มีเชื้อสายจีนออกไปท่องเที่ยว สร้างจิตวิทยาบวกหุ้นเกี่ยวข้อง ทำให้ KSS ศึกษาสถิติกลุ่มมัก Outperform ช่วงตรุษจีนย้อนหลัง 6 ปี พบว่า ก่อนเทศกาลตรุษจีน 2 และ 1 สัปดาห์ SET Index +0.81% และ +0.23% ตามลำดับ Sector ที่ได้ประโยชน์กับเทศกาลตรุษจีนปรับขึ้นในทางเดียวกัน และกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นสุดหากซื้อก่อน 2 สัปดาห์ และความเป็นไปได้ที่จะให้ผลตอบแทนบวกเกิน 50% คือ กลุ่มการเงิน +2.73% กลุ่มขนส่ง +1.59% กลุ่มเกษตร +1.4% กลุ่มสื่อสาร +1.33% กลุ่มอาหาร +1.21% กลุ่มค้าปลีก +1.03%
เชิงกลยุทธ์ เราแนะนำนักลงทุนเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มดังกล่าว กลุ่มการเงิน เน้น AEONTS (TP-140), KTC (TP-55) กลุ่มขนส่ง เน้น AOT (TP-64.5) กลุ่มเกษตร เน้นCPF(TP-30) GFPT (TP-14.5) กลุ่มสื่อสาร เน้น ADVANC (TP-305) และกลุ่มค้าปลีก เน้น CPALL (TP-70)
(*) Consumer IT: กสทช. มีมติกำหนดมือถือ OPPO และ Realme หากยังมีแอพพลิเคชั่น "Fineasy และสินเชื่อความสุข" ติดตั้งมาพร้อมกับเครื่องอยู่ ให้งดจำหน่ายทั้งหมด ประเมินประเด็นดังกล่าวเริ่มมีผลกระทบจำกัดต่อหุ้น Consumer IT ที่ตอบรับทางลบไปแล้ว ขณะที่ในทางปฏิบัติยังมีมือถือยี่ห้อและรุ่นอื่นเป็นทางเลือกทดแทน ทำให้คาดผลกระทบจำกัด และหุ้นมีโอกาสค่อยๆฟื้นตัว ทั้งนี้ เรายังชอบ ADVICE มากสุดในกลุ่ม และเลือกเป็นหุ้นหลัก
(*) To monitor: ปัจจัยกายในสัปดาห์นี้ติดตาม
1.) 14 ม.ค. รายงานนักท่องเที่ยวต่างชาติ รายสัปดาห์
2.) 14 ม.ค. ติดตามรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ธ.ค. 24 ไม่มีคาด vs prev. 56.9 จุด
3.) 14 ม.ค. กลุ่มธนาคารเริ่มรายงานกำไร 4Q24F นำโดย TISCO ตามด้วย 17 ม.ค. ในส่วน TISCO ธนาคารที่เหลือคาดทยอยรายงานสัปดาห์ถัดไปช่วง 20-21 ม.ค. ทั้งนี้ สำหรับกลุ่มธนาคารที่เราศึกษา ประเมิน กำไรสุทธิ 4Q24F ที่ 4.90 หมื่นลบ. กำไรเพิ่มขึ้น +15% y-y เพราะ i) การเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียม-บริการ ii) การลดลงของค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ขณะที่กำไรลดลง -11% q-q เพราะ i) การลดลงของ yield on loan ii) การลดลงของเงินลงทุน(FVTPL) iii) การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายตามฤดูกาล โดยทางพื้นฐานเราชื่นชอบ KBANK และ KTB มากสุด
4.) 16 ม.ค. นโยบาย Easy E-Receipt เริ่มมีผล คาดหนุนภาพบริโภคคึกคักขึ้น
5.) 17 ม.ค. นายกฯ เตรียมเปิดตัว "บ้านเพื่อคนไทย"
Daily Strategy : PTTEP, INTUCH, BTS
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "Up" ปัจจัยต่างประเทศและในประเทศเป็นบวก ต่างประเทศ คือ กรณีทีมงานคุณ Trump เตรียมปรับเพิ่มภาษีนำเข้าค่อยเป็นค่อยไป บวกต่อตลาดหุ้น EM รวมถึงไทย ขณะที่ภายในมีแรงหนุนความคาดหวังเชิงบวกต่อตลาดทุนและเศรษฐกิจไทยจากงาน "Chat with TONY" ประเมินภาพดังกล่าวหนุนหุ้นเด่นวันนี้ 1.) กลุ่มน้ำมันตอบรับ ความเสี่ยงเศรษฐกิจลดลงจากการดำเนินนโยบายคุณ Trump ค่อยเป็นค่อยไป 2.) กลุ่ม Domestic จากความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย อาทิ ธนาคาร สื่อสาร+ดิจิทัล หุ้นอิงภาคบริการ รับเหมา บวกจากงาน "Chat with TONY" รวมถึงหุ้นโรงไฟฟ้า ที่มีการชี้แจงแนวคิดลดค่าไฟฟ้า โดยเน้นที่การปรับฝั่งต้นทุนภาครัฐก่อน
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, CPALL, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
•Jan 2025 Stock Picks : ADVANC, INTUCH, SCB, TTB, BTS, GULF, MALEE
• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
Strategy Update: ซินเจีย ยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ 2025 ปีมะเส็ง
ใกล้เข้าสู่เทศกาลตรุษจีนปี 2025 (วันขึ้นปีใหม่ของจีน) ปีนี้ตรงกับวันที่ 29 ม.ค.2025 โดยเป็นเทศกาลที่จะเกิด 1.)ความคึกคักการจับจ่ายเนื้อสัตว์, อาหารและผลไม้เพื่อไหว้บรรพบุรุษ 2.) วันหยุดยาวของผู้ที่มีเชื้อสายจีน (จีน, ไต้หวัน, ฮ่องกง) ออกไปท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ และการรับประทานอาหารร่วมกันในครอบครัว ฯลฯ คาดจะเป็นปัจจัยหนุนการใช้บริการในไทยทั้งทางด่วน, ปั๊มน้ำมัน, ห้างสรรพสินค้า, สายการบิน, โรงแรม รวมถึงการซื้อสินค้า อาทิ เสื้อผ้า ฯลฯ 3.)เทศกาลการแจกเงินและ ทอง ในธรรมเนียมคนจีน ถือว่าเป็นการเสริมสิริมงคลสำหรับผู้ให้และผู้รับ ฯลฯ โดยรวมหากอิง ม. หอการค้าไทย ประเมินการจับจ่ายในช่วง "ตรุษจีน"ปีนี้ เม็ดเงินสะพัด 3.2%y-y อยู่ที่ 109,313 ล้านบาท (ยังไม่ได้รวมกันใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เข้ามาราว 8 แสน - 1 ล้านคน)
KSS ประเมินกระแสการเก็งกำไรหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเทศกาลตรุษจีน ปี 2025 ที่มีความน่าสนใจ โดย KSS ได้ทำการศึกษาสถิติผลตอบแทนหุ้นไทยในช่วงตรุษจีนย้อนหลัง 6 ปี (ปี 2019-2024) พบว่า ก่อนเทศกาลตรุษจีน 2 และ 1 สัปดาห์ SET Index +0.81% และ +0.23% ตามลำดับ Sector ที่ได้ประโยชน์กับเทศกาลตรุษจีนปรับขึ้นในทางเดียวกัน และกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นสุดหากซื้อก่อน 2 สัปดาห์ และความเป็นไปได้ที่จะให้ผลตอบแทนบวกเกิน 50% คือ กลุ่มการเงิน +2.73% กลุ่มขนส่ง +1.59% กลุ่มเกษตร +1.4% กลุ่มสื่อสาร +1.33% กลุ่มอาหาร +1.21% กลุ่มค้าปลีก +1.03%
กลยุทธ์การลงทุน KSS แนะนำเก็งหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเทศกาลตรุษจีน เน้น กลุ่มการเงิน AEONTS (TP-140), KTC (TP-55) กลุ่มขนส่ง AOT (TP-64.5) กลุ่มเกษตร CPF(TP-30) GFPT (TP-14.5) กลุ่มสื่อสาร ADVANC (TP-305) และกลุ่มค้าปลีก CPALL (TP-70)
Strategy Update: คาด Global Minimum Tax กระทบจำกัดกว่าตลาดกังวล โอกาสลงทุนหุ้น Infra Tech
จากกรณี ครม. เห็นชอบ ร่าง พ.ร.ก. ภาษีขั้นต่ำ หรือ Global Minimum Tax 15% สำหรับ บ. ข้ามชาติที่มีรายได้มากกว่า 750 ล้านยูโรต่อปี และ ร่าง พ.ร.ก. กองทุนส่งเสริมการแข่งขัน เป็นกองทุนสนับสนุนเงินที่ บ.ข้ามชาติที่ต้องเสียภาษีเพิ่ม เริ่มมีผลตั้งแต่ 1 ม.ค. 2025 ที่ผ่านมา ฝ่ายวิจัย KSS จึงได้ประเมินผลกระทบเบื้องต้นจากมาตรการดังกล่าวที่มีต่อบริษัทที่อาจจะต้องจ่ายภาษีเพิ่มเติม โดยเราใช้เกณฑ์ 1) รายได้ปี 2023 สูงกว่าระดับ 2.6 หมื่นล้านบาท และ 2) อัตราภาษี Effective Tax Rate ประเมินโดย Bloomberg ต่ำกว่าระดับ 15.0% หากใช้สมมติฐานกรณีเลวร้าย คือ ให้ทุกบริษัทเสียภาษีเพิ่มเป็น 15% โดยไม่ได้รับผลชดเชยด้านอื่น พบว่า กำไรปี 2025F ของบริษัทที่จะถูกกระทบจากมาตรการดังกล่าวอย่างมีนัยยะ ได้แก่ EA (คาดกำไรปี 2025F จะลดลง -11.96%) GULF (-11.82%) HANA (-10.37%) AH (-10.09%) DELTA (-9.5%) TU (-3.28%) ขณะที่หากรวมเป็นผลกระทบต่อคาดการณ์กำไรตลาดจะอยู่ราว -8.6 พันล้านบาท หรือ -0.7% ของกำไรตลาดปี 2025F ที่เราประเมิน 96 บาท
ในเชิงกลยุทธ์ เราประเมินหุ้นที่มีความเสี่ยงกระทบส่วนใหญ่ทยอยปรับตัวลงสะท้อนความเสี่ยงดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว EA (YTD2025 Return +0.5%) GULF (-6.3%) HANA (+0.4%) AH (-3.07%) CK (-4.69%) DELTA (-4.92%) TU (-3.08%) แต่หากอิงโอกาสที่รัฐฯน่าจะต้องหาช่องทางสนับสนุนเงินคืนเพื่อลดผลกระทบ รวมถึงการบริหารภาษีภายในบริษัทต่างๆ คาดผลกระทบจะจำกัดกว่าที่ประเมินข้างต้น เชิงกลยุทธ์แนะนำตั้งรับหุ้นที่อยู่ในกลุ่มที่เป็น New S Curve ของไทยระยะถัดไป หากราคาปรับลงมา ได้แก่ โรงไฟฟ้า ที่อยู่ในธีม Infra Tech เน้น GULF GPSC
Strategy Update : Dividend Plays 2H24
ช่วงปลายเดือน ก.พ. - พ.ค. 2025 จะเข้าสู่เทศกาลจ่ายปันผลประจำปี 2024 ของบริษัทจดทะเบียน ทีมกลยุทธ์ KSS จึงได้รวบรวมหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง) จากคาดการณ์ของ KSS และ Consensus เพื่อนำมาคัดสรรหุ้นปันผลสูง (High Dividend) คือ Dividend Yield มากกว่า 3.5% สำหรับกลยุทธ์การลงทุนระยะ 1 - 2 เดือนแรกของปี ใน "Theme Dividend Play"
Key Ideas : KSS มีมุมมองบวกต่อการลงทุนในหุ้นปันผลในช่วงต้นปีเนื่องจาก
o KSS ได้ทำการศึกษาสถิติผลตอบแทนหุ้นปันผล(SETHD) ย้อนหลัง 10 ปี พบว่า SETHD ในช่วงเดือน ม.ค. – ก.พ. ของทุกปี ผลตอบแทนมักเป็นบวก เดือน ม.ค. ผลตอบแทนบวก 6 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.7%, เดือน ก.พ. บวก 7 ใน 10 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +0.67%
o SETHD ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของทุกปี (งวด 1Q) ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.85%)
กลยุทธ์ : ในเชิงกลยุทธ์ KSS แนะนำซื้อหุ้นปันผลสูงก่อนที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD 2 สัปดาห์แล้วขายวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD (dividend capture) มักจะให้ผลตอบแทนที่ดี ทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการคัดกรองหุ้นปันผลเด่น ภายใต้เงื่อนไข 2 ข้อ คือ
1.) เป็นหุ้นที่จะจ่ายเงินปันผล ช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง)
2.) เป็นหุ้นพื้นฐานที่มีแนวโน้มการเติบโต/กระแสเงินสดมั่นคง /อยู่ใน Theme การลงทุนหลักของ KSS ปี 2025 อาทิ Theme เศรษฐกิจไทยปี 2025F เติบโต อาทิ กลุ่มธนาคาร หรือ อยู่ในอุตสาหกรรม Up Cycle อาทิ Sector ICT หรือ หุ้นที่อยู่ในกลุ่มได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง อาทิ กลุ่มอสังหา กลุ่มการเงิน ฯลฯ โดยเรียงตามอัตราตอบแทนเงินปันผลจากสูงไปต่ำ
พบว่ามีหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลเด่น 9 บริษัท คือ
หุ้น Big Cap ได้แก่ SCB (TP Max Con 135.0, Yield 2H24F 8.6%), TTB (TP25-2.2,Yield 2H24F 7.2%) HMPRO (TP25-13.5,Yield 2H24F 4.3%) INTUCH (TP25-108,Yield 2H24F 4.2%), ADVANC (TP25-305, Yield 2H24F 3.7%),
หุ้น Mid Cap ได้แก่ AP (TP25-11.8., Yield 2H24F 7.65%), TISCO (TP25-97.0, Yield 2H24F 5.84%), SC (TP25-3.2, Yield 2H24F 5.52%), JMT (TP25-22.8, Yield 2H24F 2.3%),
หุ้นปันผลสูงครึ่งหลังปี 2024 ADVANC, INTUCH, SCB, TTB, HMPRO,JMT AP, SC, TISCO
โดยทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการศึกษาสถิติหุ้นปันผลเด่น 9 บริษัทดังกล่าวข้างต้น ย้อนหลัง 8 ปี พบว่าหากลงทุนซื้อหุ้นก่อน 2 สัปดาห์และขายวันที่ขึ้น XD พบว่า ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นที่ให้ Return มากที่สุด คือ JMT +5.36%, TTB +4.16%, ADVANC +3.05%, ส่วน SCB, HMPRO, INTUCH, AP, SC, TISCO ผลตอบแทน (Capital Gain) เฉลี่ยอยู่ราว 1% เท่ากับว่า การลงทุนหุ้นกลุ่ม High Dividend ในช่วงเวลาดังกล่าว หลาย ๆ ครั้งนักลงทุนจะมักจะได้รับเงินปันผลฟรี
• TRUE (Buy, TP25F-14.7): We reiterate a Buy call and Bt14.7 TP for TRUE. Turnaround story continues in 4Q24 with expected core earnings of Bt3.8b, turning around from Bt1b loss in 4Q23. 4Q24 earnings would also mark fourth consecutive quarters of qoq growth since 1Q24. Despite unchanged earnings forecast in 2024 and 2025, we see some upside risk to our forecast. Trading at 7.7x 2025 EV/EBITDA with 10% EBITDA growth in 2025, TRUE isn't pricey stock.
• GLOBAL (Buy, TP25F-16): We upgrade GLOBAL to BUY, while maintain the TP at THB16, as the share price correction has been too deep, -18% mom, while the fundamentals remain unchanged. We maintain all estimates and project that core profit in 4Q24F could be THB576m, up 3% yoy – underpinned by the 9 store additions in the past 12 months, despite the -2% same-store-sales growth (SSSG) for the quarter.
• Energy & Petrochemical (Neutral): ฝั่งต้นน้ำ (น้ำมันดิบ) +3-4% w-w ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ส่งให้เกิดความกังวลขา supply ทั้งจาก U.S. คว่ำบาตรพลังงานรัสเซียเพิ่ม และ สงครามฯยังรุนแรง คงมุมมองราคาน้ำมันดิบ ม.ค. 25 ฟื้น m-m ได้ปัจจัยบวก ความกังวลสงครามฯ, การเลื่อนแผนเพิ่มกำลังการผลิตของ OPEC+ และ demand น้ำมันฟื้น ตามช่วงฤดูหนาวชาติตะวันตก รวมถึงจีนฟื้น รวมถึงการคว่ำบาตรพลังงานรัสเซียเพิ่มของ U.S.
ฝั่งโรงกลั่น ค่าการกลั่นสิงคโปร์ (SG GRM) -5% w-w ฉุดจาก gasoline spread -13% w-w ระดับคลังน้ำมันใน U.S. +3% w-w และความต้องการใช้ในเอเชียลดลง และ HSFO spread -34% w-w ยังถูกฉุดจากการน้ำเข้าของจีนน้อยลง คงมุมมองค่าการกลั่น ม.ค. 25 ทรงตัว m-m demand ช่วงท่องเที่ยวและฤดูหนาว หนุน และ ความต้องการใช้จีนฟื้นต่อเนื่อง
ฝั่งปิโตรเคมี ส่วนใหญ่ยังลดลง w-w demand ยังชะลอ ในขณะที่ราคา feedstock เพิ่มขึ้น i) สายโอเลฟินส์ HDPE spread -1% w-w ส่วน PP +2% w-w โดย HDPE spread ต่ำราว 299 $/ton ระดับคลังในจีนต่ำกว่ากรอบล่างค่าเฉลี่ย 5 ปี ii) สายอะโรเมติกส์ BZ -3% w-w ส่วน iii) สายโพลีเอสเตอร์ (PET) integrated spread -2% w-w อาจกดดันต่อ IVL คงมุมมอง ม.ค. 25 สายโอเลฟินส์ ฟื้น m-m ตาม demand re-stock รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ของจีน
ภาพสัปดาห์ PTTEP มีปัจจัยหนุนต่อเนื่องจากราคาน้ำมันดิบ มอง SG GRM ที่ลดลงจาก HSFO ไม่ได้เป็นลบมากต่อกลุ่มโรงกลั่นในประเทศ เรายังคงมุมมองโรงกลั่นเป็นตัวเลือกเด่นของ 4Q24F ที่ฟื้นทั้งค่าการกลั่น (4Q24 SG GRM +37% q-q) และ stock loss ลดลง รวมถึง 1Q25F มีแนวโน้มได้ stock gain มาหนุน คง top pick เป็น SPRC (TP9.5)
2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility
Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE
Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI