ภาพตลาดและแนวโน้ม
Market wrap & Outlook
แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ
อัปเดต Sentiment การลงทุนในภูมิภาคจาก Fund Flow
Key Takeaways:
กระแสเงินทุนต่างชาติกลับมาไหลออกอีกครั้ง โดยมียอดขายสุทธิมูลค่า 1,256 ล้านเหรียญ โดยมีแรงขายหลักในไต้หวัน
เซคเตอร์เด่นของภูมิภาคในสัปดาห์ที่แล้วจากการจับสัญญาณด้วย Volume Index ได้แก่ Bank ในไทย, Infrastructure ในอินโดนีเซีย และ Electricity & Gas ในเกาหลีใต้
บรรยากาศการลงทุนที่อ่อนแอและปริมาณการซื้อขายที่เบาบางยังคงกดดันตลาดหุ้นไทย โดย market breadth ยังคงอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2024
รายละเอียด:
การติดตามกระแสการลงทุน (fund flows) ใน 5 ประเทศในสัปดาห์ที่ผ่านมา มียอดขายสุทธิ 1,256 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นการพลิกกลับจากยอดซื้อสุทธิที่ระดับ 2,271 ล้านเหรียญ โดยมี net outflow ใน 3 ประเทศ ได้แก่ ไต้หวัน 1,406 ล้านเหรียญ ไทย 33 ล้านเหรียญ อินโดนีเซีย 16 ล้านเหรียญ ส่วนเกาหลีใต้และฟิลิปปินส์มี net inflow ที่ 198 ล้านเหรียญ และ 1 ล้านเหรียญตามลำดับ
สำหรับเซคเตอร์เด่นของภูมิภาคจากการจับสัญญาณด้วย Volume Index ได้แก่ Bank ในไทย, Infrastructure ในอินโดนีเซีย และ Electricity & Gas ในเกาหลีใต้
แนวโน้ม:
เซคเตอร์ไทยที่น่าจับตาในระยะสั้น (เฉพาะที่ cover ในรายงาน Flow Tracker) ได้แก่ กลุ่ม Bank โดย Volume Index มีแนวโน้มแข็งแรงกว่าเซคเตอร์อื่นๆ
อัปเดต Market-timing Indicator (เฉพาะตลาดหุ้นไทย):
ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวผันผวน กดดันจากบรรยากาศการลงทุนที่อ่อนแอ จากการมี Earnings Revision Breadth ที่ติดลบกระจายตัวไปในหลายเซคเตอร์ ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายเบาบาง อีกทั้งดัชนี SET ยังหลุดแนวรับทางจิตวิทยาที่ 1400 จุด เราคาดว่าความผันผวนของตลาดจะเพิ่มสูงขึ้นและวิ่งเข้าหาค่าเฉลี่ยระยะยาวในระยะอันใกล้ เนื่องจาก market-timing indicators กำลังส่งสัญญาณดังนี้:
ดัชนี Composite Short-term ซึ่งเป็นตัวชี้วัดในระยะสั้น เริ่มกลับมาอ่อนแอลงอีกครั้ง ฉุดโดยดัชนี Short-term Momentum Index ที่ปรับตัวลงในโซนติดลบ รวมถึงดัชนี Short-term Bull-to-Bear ที่มีโอกาสปรับตัวลดลง ฉุดโดย Market Breadth Indicator ที่ปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2024 สะท้อนภาพ bearish sentiment
ตัวชี้วัดสำคัญในระยะกลาง เช่น Medium-term Momentum Index, Medium-term Bull-to-Bear และ Volume Flow Index ต่างปรับตัวลดลง สะท้อนถึงแนวโน้มที่อ่อนแอในภาพรวม ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับแรงกดดันต่อไป เราประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของ SET ในช่วงสองสัปดาห์ข้างหน้าไว้ที่ 1330-1400 จุด
สรุปภาพตลาดวานนี้
SET แกว่งขึ้น แล้วดิ่งลงวานนี้ โดยหุ้นโรงไฟฟ้าเป็นกลุ่มหลักที่กดดันตลาด GULF BGRIM GPSC WHAUP จากวิตกข่าวการหาเสียงนโยบายลดค่าไฟ สื่อสารฯ ADVANC INTUCH TRUE ค้าปลีก CPALL CPAXT นอกจากนี้ พบว่ายังมีแรงขายเฉพาะตัวเข้ามาใน BANPU (ราคาถ่านหินร่วง) โรงพยาบาล BDMS BH รวมทั้งการเทออกหุ้นปิโตรเคมี PTTGC SCC (เทรดจบรอบไว) ส่วนในด้านหุ้นบวกเด่นกว่าตลาด SEI STGT
แนวโน้มตลาดวันนี้
ข่าวปั่นดันหุ้นเมกาบวกหลอก...แต่หุ้นไทยเดี้ยงนี่สิของจริง
เมื่อวานตลาดหุ้นต่างประเทศ ดูจะบวกได้ดีรับข่าวปั่น ทรัมป์ จะเลือกตั้งกำแพงภาษีบางอุตสาหกรรมที่กระทบอเมริกา หลังกระแสข่าวนี้ออกไป ทรัมป์ ก็ได้ออกมาปฎิเสธข่าวดับฝันตลาดหุ้น ส่วนหุ้นไทยที่ไม่เคยได้บวกรับข่าวดีใดๆกับตลาดหุ้นโลก คาดเด้งได้ไม่ไกลจากแรงซื้อคืนหุ้นลงแรงเมื่อวาน เช่น โรงไฟฟ้า สื่อสาร ฯลฯ ส่วนกลุ่มหุ้นธนาคารคาดยังคงแข็งกว่าตลาด
กลยุทธ์ แนะนำ “รอโหลดหุ้น” เพื่อเล่นรีบาวด์สำหรับรอบนี้ โดยที่เราประเมินว่า เมื่อประเด็นลบเริ่มซา เช่น ความกังวลแรงขาย LTF, ข่าวลดค่าไฟลงเยอะๆ ขณะที่ค่าก๊าซยังสูง BLS Research มองว่าเป็นไปได้ยาก, รวมไปถึงกระแสข่าวต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับประเด็น กำแพงภาษี ซึ่งคาดว่าจะมีข่าวลักษณะนี้เข้ามาเป็นระยะ ส่งผลให้ตลาดหุ้นผันผวน, ราคาน้ำมันและก๊าซ เริ่มทรงๆ หลังบวกรับข่าวยูเครนปิดท่อก๊าซรัสเซีย-ยุโรป ซึ่งเริ่มซาลงตามที่เราคาดการณ์
และ เราคงคาดว่า ตลาดหุ้นไทยจะมีรีบาวด์ภายในสัปดาห์นี้ และจะเกิดการสร้างกราฟทางเทคนิคให้เกิดสัญญาณซื้อเล่นรีบาวด์รอบใหม่ คาดกลุ่มแรกที่จะนำตลาดยังคงเป็นกลุ่มธนาคาร
กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์แนะนำ เลือกสะสมหุ้นกลุ่มเด่นที่เราคาดว่าจะมี Flows หมุนเข้ามาเล่น และหุ้นรายตัวที่มีประเด็นสนับสนุน
วิเคราะห์ทางเทคนิค
SET ลงต่อ (ดีดสั้นแล้ว!ลงแรง) ปัจจุบันเข้าใกล้ตำแหน่ง Fibonacci retracement 61.8% คิดเป็นการปรับตัวลงมาทั้งสิ้น 2/3ของระยะทางที่ลงและเข้าใกล้ previous low 1,361 จุดที่เคยทำไว้เมื่อเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว จับตา RSI กำลังลงเข้าเขต oversold ดังนั้นโอกาสจังหวะรีบาวด์แบบเป็นนำเป็นเนื้ออาจจะต้องรออีกสักหน่อย...กลยุทธ์ทางเทคนิค ยังคงเลือกเน้น Selective หุ้นโครงสร้างแกร่ง + ปันผลสูง เพื่อสู้กับตลาดที่ซึมลงแบบนี้ ติดตามหุ้นแนะนำ
What to watch
ติดตามดู แรงขายไถ่ถอนกองทุน LTF ที่ครบอายุ
"ทรัมป์" ปัดข่าวเตรียมผ่อนคลายนโยบายตั้งกำแพงภาษี: "รายงานข่าวจากวอชิงตัน โพสต์ที่อ้างแหล่งข่าวที่ไม่มีการเปิดเผยชื่อ ซึ่งไม่มีตัวตนอยู่จริง ได้ระบุอย่างไม่ถูกต้องว่า ผมมีแผนที่จะผ่อนคลายนโยบายการตั้งกำแพงภาษี นี่เป็นรายงานข่าวที่ไม่ถูกต้อง" นายทรัมป์โพสต์ใน Truth Social
แนวทางลดค่าไฟ ยังคงเป็นประเด็นที่เราตามเกาะติดก่อนจะมี ข่าวการประชุมตัดสิน ค่าไฟรอบใหม่ช่วง มีค. ซึ่งคาดว่าราคาหุ้นโรงไฟฟ้าที่ลงแรง เมื่อวาน น่าจะรีบาวด์ได้บ้าง แต่ยังไม่น่าวางใจ
เงินเฟ้อไทย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน ออสเตรเลีย ขยับขึ้นต่อเนื่อง (กดไม่ลง) มีแนวโน้มที่ดอกเบี้ยอาจทรงตัว ตามเฟด
รายงานการประชุมเฟด วันพุธนี้ ตลาดเริ่มมอง เฟดจะลดดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวในเดือน มีค.ปีนี้
จีนประกาศขึ้นเงินเดือนข้าราชการครั้งใหญ่ในรอบทศวรรษ หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ
ข้าราชการหลายล้านคนทั่วประเทศจีนได้รับการขึ้นเงินเดือนอย่างไม่คาดคิดในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นความพยายามของรัฐบาลจีนในการกระตุ้นการใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การขึ้นเงินเดือนนี้ครอบคลุมข้าราชการและพนักงานภาครัฐทั้งหมด 48 ล้านคน ก็จะเป็นเม็ดเงินที่ถูกอัดฉีดเข้าสู่เศรษฐกิจในทันทีราว 1.2-2.0 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ครั้งสุดท้ายที่จีนประกาศขึ้นเงินเดือนข้าราชการทั่วประเทศอย่างเป็นทางการคือในปี 2558 โดยรัฐบาลได้ขึ้นเงินเดือนเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมากกว่า 30% เพื่อแก้ปัญหาการทุจริตและเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภค
หุ้นแนะนำวันนี้
BBL หุ้นธนาคารปันผลดีปันผลสูง(S 153 R 155 SL 150)
Tactical port ถอด TRUE STECON เพิ่ม BBL
รายงานพื้นฐานวันนี้
Utilities Sector
ความเป็นไปได้ 3 ทาง ในการลดค่าไฟเหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย
ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าร่วงแรงหลังอดีตนายกฯ กล่าวถึงการลดค่าไฟเหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย ซึ่งตลาดดูเหมือนจะคาดการณ์ถึงกรณีเลวร้ายที่สุด ภายใต้ความเป็นไปได้ 3 ทางในการลดค่าไฟที่เราประเมิน
1) ลดค่าไฟโดยไม่ลดราคาก๊าซ (กรณี เลวร้ายที่สุด)
หากรัฐบาลตั้งค่าไฟที่ 3.70 บาท/หน่วย เริ่มตั้งแต่ พ.ค. 2025 โดยไม่ลดราคาก๊าซ เราคาดว่ากำไรหลักของ BGRIM, GPSC, GULF, GUNKUL, และ WHAUP จะลดลง 27%, 34%, 3%, 4%, และ 8% ตามลำดับ และหากดำเนินการต่อในปี 2026 จะส่งผลกระทบเพิ่มขึ้นอีก โดยเป้าหมายราคาหุ้นจะลดลงโดย BGRIM เหลือ 18 บาท, GPSC 25 บาท, GULF 72 บาท, GUNKUL 5.10 บาท, และ WHAUP 5.40 บาท
ผลกระทบนี้จะลามไปถึง EGAT ซึ่งปัจจุบันมีต้นทุนการผลิต 3.95 บาท/หน่วย การลดค่าไฟลงจะเพิ่มภาระขาดทุนให้ EGAT อีก 3 พันล้านบาท/เดือน (จากปัจจุบัน 7-8 หมื่นล้านบาท) และอาจชะลอการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ
2) ลดต้นทุนก๊าซ (กรณี เป็นไปตามกลไกมากสุด)
การลดราคาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งคิดเป็น 60-70% ของต้นทุนการผลิตไฟฟ้า อาจเป็นแนวทางที่ยั่งยืน เช่น การเพิ่มการผลิตในประเทศ ลดราคา LNG และการแข็งค่าของเงินบาท อย่างไรก็ตาม ตัวแปรเหล่านี้ควบคุมได้ยากในระยะสั้น ทำให้ไม่ใช่ทางเลือกที่เป็นไปได้ในเร็วๆ นี้
3) ลดให้เฉพาะกลุ่มเปราะบาง (กรณีนี้ เป็นไปได้มากสุด หากจะมีมาตรการช่วยเหลือ)
การลดค่าไฟเฉพาะสำหรับครัวเรือน เช่น ที่ใช้ไฟน้อยกว่า 300 หน่วย/เดือน ซึ่งใช้เงินทุนน้อยกว่าและส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลในช่วงก่อนการเลือกตั้ง อัตราไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้อุตสาหกรรมจะคงที่ที่ 4.15 บาท/หน่วย ทำให้ไม่มีผลกระทบต่อ SPPs โดยราคาหุ้นโรงไฟฟ้า ที่เน้น SPP ซึ่งปรับตัวลดลงไปมาก อาจฟื้นตัวได้หากรัฐบาลเลือกใช้วิธีนี้
Fundamental view: เราแนะนำจับตาแนวทางของรัฐบาลที่จะมีผลต่อภาพรวมกลุ่ม โรงไฟฟ้า โดยเฉพาะ SPPs ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025
Residential Property Sector
Presales ไม่ดี และแนวโน้มยังอ่อนแอ
โดยปกติแล้วไตรมาสที่ 4 จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี ไม่ว่าจะเป็น Presales หรือ กำไร แต่ไม่ใช่สำหรับปี 2024 โดยเราคาดยอด Presale 4Q24 ที่ 4.1 หมื่นล้านบาท ลดลง 24% YoY และ 10% QoQ โดย SIRI มียอด Presales สูงสุดที่ 1.0 หมื่นล้านบาท ลดลง 14% YoY และทรงตัว QoQ ตามมาด้วย AP ที่ 9.5 พันล้านบาท ลดลงทั้ง YoY และ QoQ และ SPALI แสดงสัญญาณการฟื้นตัวของ presales ที่ 6.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% YoY และทรงตัว QoQ
จาก Presales ที่ออกมาค่อนข้างหน้าผิดหวัง ทำให้เรามองว่ากำไรรวมของกลุ่มอสังหาจะออกมาที่ 6.7 พันล้านบาท ลดลง 1% YoY แต่เพิ่มขึ้น 3% QoQ โดยเราเห็นถึงรายได้ที่เติบโตแข็งแกร่งทั้ง YoY และ QoQ แต่ GM กลับปรับตัวลงอย่างน่าเป็นห่วง แสดงถึงการแข่งขันทางด้านราคาเพื่อเร่งยอดขาย
โดยภาพของปี 2025 นี้เรามองว่าจะเป็นภาพที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่า เพราะเราเห็นถึงแนวโน้มของการเปิดตัวโครงการที่ลดลงอย่างน้อย 10-20% ในแต่ละราย
Fundamental view: ดังนั้นเรายังคงน้ำหนัก “น้อยกว่าตลาด” และให้ SPALI และ SIRI เป็น top picks ของกลุ่มอสังหา
Commodities Sector
ค่าระวางเรือฟื้นตัวแข็งแกร่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ภาพรวม: ค่าระวางเรือปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด WoW ตามมาด้วยราคาน้ำมันดิบ ในขณะที่สเปรดเคมีส่วนใหญ่และค่าการกลั่น (GRM) ปรับตัวลดลง
น้ำมันดิบ: ราคาน้ำมันดิบดูไบเพิ่มขึ้น $1.79 WoW อยู่ที่ $75.75/bbl จากคาดการณ์เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและสต็อกน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ลดลง
ค่าการกลั่น: GRM สิงคโปร์ลดลง $0.39 WoW อยู่ที่ $4.02/bbl จากสเปรดเบนซินและฟิวออยล์ที่แคบลง สต็อกเพิ่มในสหรัฐฯ และต้นทุนดิบสูงขึ้น ในทางกลับกัน สเปรดเจ็ตฟิวและดีเซลเพิ่มขึ้นตามความต้องการช่วงฤดูหนาว
สเปรดเคมี: สเปรดเคมีส่วนใหญ่ลดลงจากต้นทุนแนฟทาที่เพิ่มขึ้น Ethylene ลดลง $19 WoW อยู่ที่ $169/t และ Propylene ลดลง $9 WoW อยู่ที่ $164/t
ถ่านหิน: ราคาถ่านหิน (Newcastle Export Index) ลดลง $1.90 WoW อยู่ที่ $122.90/tonne จากอุปสงค์ที่อ่อนตัวในภูมิภาค
ค่าระวางเรือ: ดัชนี Baltic Dry Index (BDI) เพิ่มขึ้น 55 จุด (6% WoW) อยู่ที่ 1,051 โดยได้รับแรงหนุนจาก Capesize และ Panamax (+4% WoW) ส่วนค่าระวางเรือตู้คอนเทนเนอร์เพิ่มขึ้น 3% WoW
Fundamental view: เราแนะนำถือ PTTEP จากความเสี่ยงอุปทานน้ำมันดิบตึงตัว และขายหุ้นกลุ่มโรงกลั่นหลังสิ้นสุด High Season ใน 4Q24 สำหรับหุ้นในกลุ่ม Chemical เรายังคงเลือก IVL เป็นหุ้นเด่นจากแนวโน้มกำไรที่แข็งแกร่งใน 1H25
และในกลุ่มเดินเรือ เราแนะนำเก็งกำไร PSL, TTA และ RCL ในช่วง High Season ใกล้เทศกาลตรุษจีน
BTS
บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์
เริ่มต้นบทใหม่
BTS เตรียมเปิดตัวแผนแม่บทการขยายธุรกิจในงาน Thai Corporate Day วันที่ 13 ม.ค. โดยเน้นการปรับกลยุทธ์เพื่อเติบโตในระยะยาว
BTS เป็นผู้นำระบบขนส่งมวลชนในไทย โดยปัจจุบันบริหาร 4 สายหลัก และอยู่ระหว่างเจรจาหนี้ O&M ส่วนต่อขยายสายสีเขียวที่คงค้างกว่า 3 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกัน จากข่าวต่างๆ รัฐบาลอาจมีแนวโน้มซื้อคืนสัมปทานเพื่อนำไปใช้ทำนโยบายค่าโดยสาร 20 บาท
ธุรกิจนอกระบบรางจะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต โดย BTS ถือหุ้นในธุรกิจมอเตอร์เวย์ระหว่างเมือง และเมืองการบินอู่ตะเภา ซึ่งรอประกาศ NTP และจะเปิดโอกาสในธุรกิจใหม่ เช่น entertainment complex นอกจากนี้ VGI มีส่วนร่วมใน Virtual Bank ซึ่งอาจเปลี่ยนโฉมธุรกิจการเงิน
ประเด็นหลักที่ต้องติดตามในงานนี้ คือ 1) การชำระหนี้ O&M ที่เหลืออยู่ 2) ผลกระทบหากมีการซื้อคืนสัมปทาน 3) แผนพัฒนาอู่ตะเภา 4) โอกาสใน Entertainment complex 5) การลงทุนใน Virtual Bank และ 6) แผนยุทธศาสตร์ระยะยาวจะพลิกโฉมกลุ่ม BTS ได้อย่างไร
Fundamental view: ทั้งนี้ เราได้ปรับเป้าหมายใหม่ (เลื่อนไปใช้มี.ค. 2026) ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 5.70 บาท แต่ยังคงให้คำแนะนำถือเชิงปัจจัยพื้นฐาน
Quantitative Strategy
ดัชนี Market-timing ของตลาดหุ้นไทยอ่อนแอลง แต่ยังไม่ถึงจุดกลับตัว
ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวผันผวน กดดันจากบรรยากาศการลงทุนที่อ่อนแอ จากการมี Earnings Revision Breadth ที่ติดลบกระจายตัวไปในหลายเซคเตอร์ ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายเบาบาง อีกทั้งดัชนี SET ยังหลุดแนวรับทางจิตวิทยาที่ 1400 จุด เราคาดว่าความผันผวนของตลาดจะเพิ่มสูงขึ้นและวิ่งเข้าหาค่าเฉลี่ยในระยะอันใกล้ เนื่องจาก market-timing indicators กำลังส่งสัญญาณดังนี้: 1) ดัชนี Composite Short-term ซึ่งเป็นตัวชี้วัดในระยะสั้น เริ่มกลับมาอ่อนแอลงอีกครั้งในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉุดโดยดัชนี Short-term Momentum Index ที่ปรับตัวลงในโซนติดลบ รวมถึงดัชนี Short-term Bull-to-Bear ที่มีโอกาสปรับตัวลดลงอีกครั้ง ฉุดโดย Market Breadth Indicator ที่ปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม 2024 สะท้อนภาพ bearish sentiment 2) ตัวชี้วัดสำคัญในระยะกลาง เช่น Medium-term Momentum Index, Medium-term Bull-to-Bear และ Volume Flow Index ต่างปรับตัวลดลง สะท้อนถึงแนวโน้มที่อ่อนแอในภาพรวม ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับแรงกดดันในระยะอันใกล้ เราประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของ SET ในช่วงสองสัปดาห์ข้างหน้าไว้ที่ 1330-1400 จุด
สรุปประเด็นจาก Quick take
SPALI
ศุภาลัย
4Q24 Presales เติบโตแข็งแกร่ง YoY
SPALI ประกาศยอดจองซื้อใน 4Q24 ออกมาที่ 6,679 ล้านบาท เติบโต 25% YoY และทรงตัว QoQ
View From Fundamental: เรามองว่า Presales ออกมาเป็นไปตามที่เราคาด และคาดกำไร 4Q24 จะทรงตัวทั้ง YoY และ QoQ เราจึงยังให้ SPALI เป็น Top pick ของกลุ่มอสังหาฯ คาดปันผล 2H24 ที่ 0.85 บาทต่อหุ้น คิดเป็น div yield ที่ 4.6%
Utilities
มุมมองของเรา ต่อประเด็นลดค่าไฟเหลือ 3.70 บาท
คุณทักษิณ ชินวัตร เสนอแนวคิดลดค่าไฟเหลือ 3.70 บาท/หน่วยในช่วงหาเสียง
View From Fundamental: ความกังวลระยะสั้นอาจเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน หากหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับฐานลงแรงเกินไปจากข่าวดังกล่าว
Economics
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือน ธ.ค. 24
ทั้งปี 2024 โตเพียง 0.4% YoY ต่ำสุดในรอบ 4 ปี นับจากช่วงปี 2020 ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานขยายตัวที่ 0.79%
View From Fundamental: คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2025 จะอยู่ที่ 0.8% YoY หนุนจากราคาอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและมาตรการแก้หนี้ครัวเรือน ที่น่าจะทำให้กำลังซื้อของภาคครัวเรือนฟื้นกลับมาได้บ้าง
Beverage
ล๊อคต้นทุนน้ำตาลต่ำลง-ปัจจัยบวก
เราคาดว่า CBG และ OSP มีแนวโน้มล๊อคราคาน้ำตาลปี 2025 ต่ำกว่าปี 2024 จากราคาน้ำตาลตลาดโลกลดอย่างต่อเนื่อง และข่าวล่าสุดที่จีนระงับนำเข้าน้ำเชื่อมจากไทย
View From Fundamental: ชอบ CBG คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 96 บาท คงคำแนะนำ ถือ OSP ราคาเป้าหมาย 24 บาท
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน