Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

694

 

 

"Dividend Play"

KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ " Sideways" ต้าน 1392/1397 จุด รับ1370/1366 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงเฉลี่ย -0.2% รับ GDP4Q24 โดย Fed Atlanta คาดเหลือ 2.6%q-q จาก 3.1% ส่วนฝั่งเอเชียฝั่งจีนรายงาน Caixin PMI ภาคผลิต เดือน ธ.ค. พลิกลดลงสู่อยู่ที่ 50.5 จุด ต่ำกว่าตลาดคาดทำให้คาดรัฐบาลจีนจำเป็นต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจจีนในปี 2025 ส่วนภายในเมื่อวาน SET Index ปรับลงแรงคาดรับประเด็นเดิม Global minimum tax เริ่มมีผล 1 ม.ค.2025 โดยยังคงมุมมองบวกต่อ SET เนื่องจากอยู่ในโซนลงทุนลงทุนระยะกลางกรอบ 1420-1370 จุด (Forward Equity Risk Premium สูง 4.76%-4.52%) > AVG +1 S.D. ที่ 4.05% ผสานกับปัจจัยพื้นฐานภายในยังเด่นทั้ง PMI ภาคการผลิตไทย เดือน ธ.ค.ปรับขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันและเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน ผสานแรงหนุนจากภารบริโภคภายในช่วงต้นปี หนุนจากมาตรการ Easy E-receipt ฯลฯ คาดกลุ่มเด่นวันนี้ คือ กลุ่มพลังงาน (กลุ่มน้ำมัน หนุนจากราคาน้ำมันดิบ +2% + กลุ่มโรงกลั่น หนุนจากค่าการกลั่น +20%d-d) กลุ่ม High Yield (สถิติลงทุนในช่วง 1Q จะให้ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ใน 10) เน้นDomestic Plays อาทิ ธนาคาร ค้าปลีก ท่องเที่ยว สื่อสาร วันนี้แนะนำ SPRC , INTUCH, SCB

 


Daily outlook: "Sideways" ต้าน 1392/1397 จุด รับ 1370/1366 จุด

What happened around the world?

(*/-)US Stock : ตลาดหุ้นสหรัฐในวันแรกของปี ปรับลงเล็กน้อยรับ GDP3Q24 โดย Fed Atlanta ปรับลดเหลือ 2.6%q-q จากรอบก่อนที่ 3.1%q-q อิงดัชนี Dow jones -0.36%, ดัชนี S&P500 –0.2% และดัชนี Nasdaq -0.16% โดย Sector กลุ่มที่ปรับขึ้นหลักๆคือ Energy, Utilities, ICT, Health care ฯลฯ ส่วนกลุ่มที่ลงแรงหลักๆคือ กลุ่ม Consumer discretionary, Materials, Real estate, Consumer staples ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ Tesla -6% , Apple -2.6% ฯลฯ

(*/-) China Caixin PMI : จีนรายงาน Caixin PMI ภาคผลิต เดือน ธ.ค. พลิกลดลงสู่อยู่ที่ 50.5 จุด ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 51.6 จุด ชะลอจากเดือนก่อนที่ 51.5 จุด ทำให้ยังคาดหวังจะเห็นแผนนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนกล่าวสุนทรพจน์ในวันนี้เนื่องในเทศกาลปีใหม่ เผยในปี 2025 ยังคงคาดที่เดิม และได้เรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินโยบายเศรษฐกิจมหาภาคแบบเชิงรุกมากขึ้น มองเป็นสัญญาณบวก มองน่าสมหุ้น China Play นำโดย SCC IVL PTTGC

(*/-)US Econ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาในโทนอ่อนตัวลง อิง 1.) S&P Global PMI ภาคผลิต ธ.ค. แม้จะชะลอลงมาอยู่ที่ 49.4 จุด แต่ดีกว่าตลาดคาด 48.3 จุด, 2.) ยอดขอรับสวัสดิการว่างงาน (Initial Jobless Claims) -9 พันรายจากสัปดาห์ก่อน ที่ 2.11 แสนราย ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 2.2 แสนราย (MUFG ทำการศึกษา initial jobless claims ที่เพิ่มขึ้นเกิน 5 หมื่นราย มักเป็นสัญญาณของเศรษกิจถดถอย และจากการศึกษาความเสี่ยง Hard Landing จะเกิดขึ้นผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกเฉลี่ยจะสูงกว่าระดับ 4.0 แสนตำแหน่ง) 3.)MBA Mortgage rate 30 ปี เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.97% ระดับสูงสุดตั้งแต่ ก.ค.2024 จากสัปดาห์ก่อนที่ 6.75% KSS ประเมินหนุนความเชื่อเงินเฟ้อหมวด Shelter เดือน ธ.ค. มีแนวโน้มทรงตัว 4.) GDP Now โดย Fed atlanta คาดงวด 4Q24 +2.6%q-q ลดลงปลายปี 2024 คาดที่ 3.1% และ prev. +2.8% ในงวด 3Q24

(*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ 3 ธ.ค. ติดตามรายงาน ISM PMI ภาคผลิต ธ.ค. คาด 48.3 จุด vs prev. 48.4 จุด

(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐแกว่งตัว อิง อายุ 2 ปี ทรงตัวอยู่ที่ 4.24% แต่อายุ 10 ปีปรับลง -1 bps อยู่ที่ 4.55% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) ส่วน Dollar Index แข็งค่าขึ้นมาบริเวณ 109.1 จุด

(*/+)Oil :ราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวต่อเป็นวันที่ 3 อิง น้ำมันดิบ Brent +1.71%d-d ปิดที่ USD 75.92/barrel น้ำมันดิบ West Texas +1.97%d-d ปิดที่ USD 73.13/barrel โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกระยะสั้นต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ PTT, PTTEP

(-) World Container Index (WCI) : WCI ปรับเพิ่มขึ้นทำ New high ในรอบ 3 เดือน ล่าสุด +3%w-w อยู่ที่ 3905 เหรียญต่อ 40 ft และปรับขึ้นเกือบทุกเส้นทางเรือ ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นเรือ Container อาทิ RCL และบวกต่อกลุ่มให้บริการโลจิสติกส์ในลักษณะ Freight Forwarder ที่มีสัดส่วน Sea Freight สูง อาทิ SINO (90% ของรายได้), SONIC (62% ของรายได้) LEO (75% ของรายได้) และ WICE (34% ของรายได้)

(+) Refinery: ค่าการกลั่นฟื้นตัว วานนี้ อิง ณ โรงกลั่นสิงคโปร์ ปิดล่าสุด 2 ม.ค. เพิ่มขึ้น 0.8$ +20%d-d ปิดที่ระดับ 4.67$/bbl นับเป็นสัญญาณบวกต่อการดำเนินงานปกติของกลุ่มโรงกลั่น Top Pick คือ SPRC

 

What happened in Thailand?

(*/-) SET Index วันแรกของปี 2025 – 20.36 จุด -1.45% มูลค่าการซื้อ-ขายที่ 3.6 หมื่นล้านบาท ปรับลงสอดคล้องกับประเทศในฝั่งเอเชียเหนือ หลังจีนรายงาน Caixin PMI ภาคผลิตต่ำคาด ฯลฯ โดยประเด็นที่เป็นแรงกดดันหลักคาดมาจากความกังวลจาก LTF ที่ครบกำหนดไถ่ถอนและ Global Minimum Tax เริ่มมีผล 1 ม.ค.2025 ทำให้หุ้นที่เกี่ยวข้องปรับลง อาทิ DELTA -8.8% กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF -4.6% กลุ่ม ICT (ADVANC, INTUCH) ฯลฯ ส่วนหุ้นกลุ่มที่หนุนดัชนีคือ กลุ่มปิโตรเคมี PTTGC, IVL กลุ่มน้ำมัน PTTEP ฯลฯ

(*/-) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลเข้า ขายหุ้น -36.6ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +7.02 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Short -26,407 สัญญา เงินบาทอ่อนค่า 34.3+/- บาท

(+/-) BoT Minutes: ธปท.เปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (BoT Minutes) เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการยังมีมุมมองบวกต่อทิศทางเศรษฐกิจโดยคาด GDP ของไทยปี 67 ขยายตัว 2.7% และจะขยายตัวขึ้นเป็น 2.9% ในปี 68 แต่มีความกังวลมากขึ้นจากความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐ ซึ่งการดำเนินนโยบายการเงินจะมีประสิทธิผลลดลงภายใต้ภาวะที่ความไม่แน่นอนสูง การรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (policy space) จึงมีความจำเป็นมากขึ้น คณะกรรมการจึงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 2.25% ตามเดิม และจะติดตามพัฒนาการทางเศรษฐกิจและพิจารณาใช้นโยบายการเงินให้เหมาะสมต่อไป เรามีมุมมองเป็นกลางเนื่องจากเป็นสิ่งที่ตลาดรับรู้ไปแล้ว **โดยทีมกลยุทธ์ KSS คงมุมมองเดิมคาดทิศทางดอกเบี้ยยังเป็นขาลง แรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำจะกดดันให้แบงก์ชาติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้อย่างน้อย 1 ครั้ง เป็นจิตวิทยาบวกกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย (ทุกๆ 0.25% หนุน SET ประมาณ 20-25 จุด) และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง อาทิ หุ้นในกลุ่มไฟแนนซ์ (SAWAD, KTC)

(+) TH Econ: S&P Global รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิต เดือน ธ.ค. ปรับขึ้นสู่ระดับ 51.4 (Prev 50.2 Vs 51.3 Consensus) ปรับขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันและเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน เรามีมุมมองเป็นบวกกับตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับคาดการณ์ของเราซึ่งคาดว่าไทยจะได้ประโยชน์จากกระแสย้ายฐานการผลิตเพื่อเลี่ยงสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐสะท้อนผ่านยอดขายที่ดินของผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมรวมถึงการนำเข้ากลุ่มสินค้าทุนและสินค้ากึ่งสำเร็จรูปเร่งขึ้นต่อเนื่องเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความต้องการสินไทยโดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี **เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่เกี่ยวข้อง อาทิ กลุ่มนิคมฯ (AMATA, WHA), กลุ่มส่งออก (ITC, AAI, และ CPF)

(+) TH Future Industries: เลขาธิการนายกฯ เผยกลุ่มนโยบายปี 2568 ที่รัฐบาลจะดำเนินการให้เป็นรูปธรรมผลักดันให้ GDP ของประเทศกลับมาขยายตัวมากกว่าระดับ 3% คือการขับเคลื่อนการลงทุนที่เป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Future Industries) คือ 1) การลงทุนด้านศูนย์ธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ AI ขนาดใหญ่ (Data Center), 2) ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), และ 3)ระบบเกษตรแม่นยำ อุตสาหกรรมอาหารที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ (Food Technology) ทังนี้ รัฐบาลจะปรับปรุง แก้ไขกฎหมาย กฏระเบียบที่เก่า ล้าสมัย เพื่ออำนวยความสะดวก รองรับการลงทุนทั้งจากในและต่างประเทศ **เรามีมุมมองเป็นบวกเพราะเป็นการสานต่อความต่อเนื่องจากปี 67 คาดส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของไทยทั้งระยะสั้น กลาง และยาว เป็นบวกโดยตรงต่อกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อาทิ นิคมฯ (AMATA ROJNA WHA), Data Center และ Supply Chain (DELTA GULF INSET) เรามองราคาหุ้นของ GULF ที่ปรับลงจากข้อวิตกภาษี GMT เป็นโอกาสเข้าสะสม

(+) High yield Play: ฤดูกาลจ่ายเงินปันผลประจำปี หุ้นที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ และ ให้ Dividend yield สูงมักจะเป็นเป้าในการเข้าซื้อเพื่อดักเงินปันผลประจำปีซึ่งจะประกาศและขึ้นเครื่องหมาย XD ในช่วงเดือน ก.พ. ถึง เดือน พ.ค.ทั้งนี้หากอิงสถิติผลตอบแทนของดัชนีหุ้นปันผล (SETHD) ย้อนหลัง 10 ปี พบว่าการลงทุนในไตรมาสที่ 1 จะให้ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ใน 10 ปี หรือ มีความน่าจะเป็นที่จะให้ผลตอบแทนเป็นบวก 70% ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.85% (เดือน ม.ค. ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 6 ใน 10 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.7%, เดือน ก.พ. ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ใน 10 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.67%)

ทีมกลยุทธ์ KSS ได้รวบรวมหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลปี 2024F ทั้งปีและบริษัทที่จ่ายปันผลในช่วง 2H24F ให้ Dividend yield มากกว่า 3.5%ต่อปี และมีแนวโน้มเติบโตดีในปี 2025F สำหรับกลยุทธ์การลงทุนระยะ 1 - 2 เดือนแรกของปี 2025 ใน "Theme Dividend Play" แบ่งเป็น

o หุ้น Big Cap: SCB (ซื้อ/เป้า 2025F - Max Consensus 135 บาท, DPS 2H24F- 7.81 บาท, Yield 6.68%), TTB (ซื้อ/เป้า 2025F - 2.25 บาท, DPS 2H24F-0.06 บาท, Yield 3.24%), 20%), ADVANC (ซื้อ/เป้า 2025F – 305 บาท, DPS 2H24F- 5.26 บาท, Yield 1.85%)

o หุ้น Mid Cap: AP (ซื้อ/เป้า 2025F 11.80 บาท, DPS 2H24F- 0.65 บาท, Yield 7.83%), TISCO (Neutral/เป้า 2025F - 97 บาท, DPS 2H24F-5.75 บาท, Yield 5.84%), SC (ซื้อ/เป้า 2025F –3.2 บาท, DPS 2H24F- 0.15 บาท, Yield 5.77%), JMT (ซื้อ/เป้า 2025F – 22.80 บาท, DPS 2H24F- 0.42 บาท, Yield 2.33%)

 

 

Daily Strategy : SPRC , INTUCH, SCB

ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "Sideways" ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลง รับ GDP4Q24 โดย Fed Atlanta คาดเหลือ 2.6%q-q จาก 3.1% ส่วนฝั่งเอเชียฝั่งจีนรายงาน Caixin PMI ภาคผลิต เดือน ธ.ค. พลิกลดลงสู่อยู่ที่ 50.5 จุด ต่ำกว่าตลาดคาดทำให้คาดรัฐบาลจีนจำเป็นต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจจีนในปี 2025 ส่วนภายในเมื่อวาน SET Index ปรับลงแรงคาดรับประเด็นเดิม Global minimum tax เริ่มมีผล 1 ม.ค.2025 โดยยังคงมุมมองบวกต่อ SET เนื่องจากอยู่ในโซนลงทุนลงทุนระยะกลางกรอบ 1420-1370 จุด (Forward Equity Risk Premium สูง 4.76%-4.52%) > AVG +1 S.D. ที่ 4.05% ผสานกับปัจจัยพื้นฐานภายในยังเด่นทั้ง PMI ภาคการผลิตไทย เดือน ธ.ค.ปรับขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันและเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน ผสานแรงหนุนจากภารบริโภคภายในช่วงต้นปี หนุนจากมาตรการ Easy E-receipt ฯลฯ คาดกลุ่มเด่นวันนี้ คือ กลุ่มพลังงาน กลุ่ม High Yield (สถิติลงทุนในช่วง 1Q จะให้ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ใน 10) เน้นDomestic Plays อาทิ ธนาคาร ค้าปลีก ท่องเที่ยว สื่อสาร

หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT

กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP

กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย

กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)

กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, CPALL, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
•Jan 2025 Stock Picks : ADVANC, INTUCH, SCB, TTB, BTS, GULF, MALEE

• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

Dividend Plays 2H24: ช่วงปลายเดือน ก.พ. - พ.ค. 2025 จะเข้าสู่เทศกาลจ่ายปันผลประจำปี 2024 ของบริษัทจดทะเบียน ทีมกลยุทธ์ KSS จึงได้รวบรวมหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง) จากคาดการณ์ของ KSS และ Consensus เพื่อนำมาคัดสรรหุ้นปันผลสูง (High Dividend) คือ Dividend Yield มากกว่า 3.5% สำหรับกลยุทธ์การลงทุนระยะ 1 - 2 เดือนแรกของปี ใน "Theme Dividend Play"

Key Ideas : KSS มีมุมมองบวกต่อการลงทุนในหุ้นปันผลในช่วงต้นปีเนื่องจาก

o KSS ได้ทำการศึกษาสถิติผลตอบแทนหุ้นปันผล(SETHD) ย้อนหลัง 10 ปี พบว่า SETHD ในช่วงเดือน ม.ค. – ก.พ. ของทุกปี ผลตอบแทนมักเป็นบวก เดือน ม.ค. ผลตอบแทนบวก 6 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.7%, เดือน ก.พ. บวก 7 ใน 10 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +0.67%

o SETHD ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของทุกปี (งวด 1Q) ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ใน 10 ปี เฉลี่ย +0.85%)

กลยุทธ์ : ในเชิงกลยุทธ์ KSS แนะนำซื้อหุ้นปันผลสูงก่อนที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD 2 สัปดาห์แล้วขายวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD (dividend capture) มักจะให้ผลตอบแทนที่ดี ทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการคัดกรองหุ้นปันผลเด่น ภายใต้เงื่อนไข 2 ข้อ คือ

1.) เป็นหุ้นที่จะจ่ายเงินปันผล ช่วง 2024F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลครั้งเดียว) หรือ 2H24F (สำหรับบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง)

2.) เป็นหุ้นพื้นฐานที่มีแนวโน้มการเติบโต/กระแสเงินสดมั่นคง /อยู่ใน Theme การลงทุนหลักของ KSS ปี 2025 อาทิ Theme เศรษฐกิจไทยปี 2025F เติบโต อาทิ กลุ่มธนาคาร หรือ อยู่ในอุตสาหกรรม Up Cycle อาทิ Sector ICT หรือ หุ้นที่อยู่ในกลุ่มได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง อาทิ กลุ่มอสังหา กลุ่มการเงิน ฯลฯ โดยเรียงตามอัตราตอบแทนเงินปันผลจากสูงไปต่ำ

พบว่ามีหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลเด่น 9 บริษัท คือ

หุ้น Big Cap ได้แก่ SCB (TP Max Con 135.0, Yield 2H24F 8.6%), TTB (TP25-2.2,Yield 2H24F 7.2%) HMPRO (TP25-13.5,Yield 2H24F 4.3%) INTUCH (TP25-108,Yield 2H24F 4.2%), ADVANC (TP25-305, Yield 2H24F 3.7%),
หุ้น Mid Cap ได้แก่ AP (TP25-11.8., Yield 2H24F 7.65%), TISCO (TP25-97.0, Yield 2H24F 5.84%), SC (TP25-3.2, Yield 2H24F 5.52%), JMT (TP25-22.8, Yield 2H24F 2.3%),

หุ้นปันผลสูงครึ่งหลังปี 2024 ADVANC, INTUCH, SCB, TTB, HMPRO,JMT AP, SC, TISCO

โดยทีมกลยุทธ์ KSS ได้ทำการศึกษาสถิติหุ้นปันผลเด่น 9 บริษัทดังกล่าวข้างต้น ย้อนหลัง 8 ปี พบว่าหากลงทุนซื้อหุ้นก่อน 2 สัปดาห์และขายวันที่ขึ้น XD พบว่า ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นที่ให้ Return มากที่สุด คือ JMT +5.36%, TTB +4.16%, ADVANC +3.05%, ส่วน SCB, HMPRO, INTUCH, AP, SC, TISCO ผลตอบแทน (Capital Gain) เฉลี่ยอยู่ราว 1% เท่ากับว่า การลงทุนหุ้นกลุ่ม High Dividend ในช่วงเวลาดังกล่าว หลาย ๆ ครั้งนักลงทุนจะมักจะได้รับเงินปันผลฟรี

 

 

• KTC (Buy TP 55.0): เรามีมุมมอง neutral ต่อกำไรสุทธิ 4Q24F คาดที่ 1,900 ลบ. กำไรเพิ่มขึ้น +8% y-y เพราะการเพิ่มขึ้นของ NIM รายได้ค่าธรรมเนียม-บริการ และหนี้สูญรับคืน ขณะที่กำไรลดลง -1% q-q จากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ตามปัจจัยฤดูกาล และการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) จากการตัดจำหน่ายหนี้สูญ (write-off) เพิ่มขึ้น และสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น +6.0% q-q หรือคิดเป็น +0.2% YTD หลักๆจากสินเชื่อบัตรเครดิต ด้านคุณภาพสินทรัพย์บริหารจัดการได้ดี NPL Ratio อยู่ที่ 1.90% ใกล้กับ 3Q24 เราชอบ KTC เพราะ i) คาดมาตรการของ ธปท. และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางภาครัฐ จะช่วยลดปัญหาการตกชั้นของลูกหนี้ ii) ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง iii) มีจุดแข็งเรื่องงบดุล iv) กำไรสุทธิปี 2025F คาดทำจุดสูงสุดใหม่ต่อจากปี 2024F

 

KTB(Buy TP 24.0): เรามีมุมมอง neutral ต่อกำไรสุทธิ 4Q24F คาดที่ 1.04 หมื่นลบ. กำไรเพิ่มขึ้น +70%y-y เพราะค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ลดลง จาก 4Q23 มีการตั้งสำรองสำหรับลูกหนี้รายใหญ่รายหนึ่ง คาดคือ ITD ขณะที่กำไรลดลง -6% q-q จากการลดลงของ yield on loan การลดลงเงินลงทุน (FVTPL) และการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ตามปัจจัยฤดูกาล สำหรับสินเชื่อเพิ่มขึ้น +1.0 % q-q คิดเป็น +0.5% YTD จากสินเชื่อภาครัฐ ด้านคุณภาพสินทรัพย์บริหารได้ดี NPL Ratio คาดที่ 3.15% ใกล้กับ 3Q24 ภาพรวมเราชอบ KTB และคงเป็น Top Pick ของกลุ่มธนาคารคู่กับ KBANK (BUY, TP 180 บ.) เพราะ i) กำไรสุทธิปี 2025F คาดเติบโตเด่น +10%y-y ii) คาดได้ผลบวกจากงบประมาณภาครัฐใน 1H25F iii) มีโอกาสเห็น KTB ปรับเพิ่ม payout ratio ขึ้น จากปัจจุบันที่ราว 30%

 


2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility

Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE

Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้