Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

1,318


บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

"Window Dressing"

KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ " Sideways/Up" ต้าน 1415/1426 จุด รับ 1395/1390 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พักตัว ดัชนี S&P500 -1.11% กดดันจากหุ้นเทคโนโลยี หลักๆ จิตวิทยาลบ US Bond Yield 10 ปี ขยับขึ้น +4 bps สู่ 4.62% สูงสุดตั้งแต่ เม.ย. 24 หลังประเด็นเพดานหนี้ ต้นปี 2025 เข้ามากดดัน ส่งผลตลาดหุ้นสหรัฐฯที่มี Valuation Premuim ระดับ Forward PER ที่ AVG + 1 S,D. ปรับฐาน ทั้งนี้ เราประเมินภาพฝั่งตลาดหุ้น EM (Emerging) จะผันผวนน้อยกว่าจาก Valuation ยังมี Discount ขณะที่ Dollar Index ทียังแกว่งบริเวณ 108 +/- จุด (vs จุดสูงสุด 108.7 จุด) กดดันค่าเงิน EM แต่ค่าเงินบาทเช้านี้กลับแกว่งแข็งค่า 34.0 +/- บาท ตอบรับเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวเร่งขึ้น ผสานหุ้นอยู่ในโซนลงทุนลงทุนระยะกลางกรอบ 1420-1370 จุด (Forward Equity Risk Premium สูง 4.76%-4.52%) > AVG +1 S.D. ที่ 4.05% คงมุมมองโอกาส ต่างชาติสลับซื้อมากขึ้นและการเกิด Window Dressing ปลายปีและวันนี้การ Rebalance ดัชนี SET50/100 มีผลราคาปิด หุ้นนำ คือ กลุ่ม Domestic ที่ขับเคลื่อนการฟื้นตัว โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในช่วงฤดูกาล+กลุ่มให้ Yield สูงค้าปลีก ท่องเที่ยว สื่อสาร ธนาคาร วันนี้แนะนำ ADVANC, BTS BJC

 

 

 

 

 

 

Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1415/1426 จุด รับ 1395/1390 จุด

What happened around the world?

(*/-)US Stock : ตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อวันศุกร์ปรับลง โดยเฉพาะกลุ่ม Tech อิงดัชนี Dow jones -0.77%, ดัชนี S&P500 –1.11% และดัชนี Nasdaq -1.49% โดย Sector ทุกกลุ่มปรับลงในทางเดียวกัน โดยกลุ่มที่ลงแรงหลักๆคือ กลุ่ม Consumer Discretionary, IT, ICT, Real estate ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ Tesla -4.9%, NVIDIA -2.1%, Microstartegy -3.24% ฯลฯ

(*) Japan Econ : ทิศทางเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังเห็นสัญญาณขยายตัว หนุนภาพอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นต่อในช่วงต้นปี 2025 สะท้อนจากเมื่อวันศุกร์รายงาน 1.)อัตราเงินเฟ้อ(Tokyo CPI) เดือน ธ.ค. +3.0%y-y ปรับขึ้นติดต่อกัน 2 เดือน และสูงกว่าเป้าเงินเฟ้อที่ BOJ ตั้งไว้ 2.0% 2.)อัตราการว่างงาน พ.ย. ทรงตัวตามที่คาด 2.5% เท่าเดือนก่อน 3.)ยอดค้าปลีก พ.ย. +2.8%y-y คาด +1.7%y-y vs prev. +1.6%y-y KSS คาดจะยังเห็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วง 1Q25 กลยุทธ์ให้น้ำหนัก Neutral แนะนำ เน้นถือสำหรับการลงทุนในตลาดญี่ปุ่น

(*) China : รายงานกำไรภาคอุตสาหกรรมของจีน เดือน พ.ย. -4.7%y-y ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ -5.0% vs prev. -4.3%y-y KSS มองเศรษฐกิจจีนที่ยังไม่ฟื้นทุกภาคส่วน ทำให้ยังคาดหวังจะเห็นแผนนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นในระยะถัดไป มองน่าสะสมหุ้น China Play นำโดย SCC IVL PTTGC

(*) War Tension : ความตึงเครียดสงครามช่วงปลายปียังมีอยู่ อาทิ 1.) TACenergy ผู้จัดจำหน่ายเชื้อเพลิงเปิดเผยวันศุกร์ว่า สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน กำลังกลับมาเป็นประเด็นหลักอีกครั้งอาจส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในปี 2025 2.) กลุ่มประเทศ NATO เผยวันศุกร์ว่าจะเพิ่มกำลังทหารในทะเลบอลติก 1 วันหลังจากที่ฟินแลนด์ยึดเรือที่ขนส่งน้ำมันจากรัสเซีย การทำข้อตกลงใหม่ในการขนส่งก๊าซของรัสเซียผ่านยูเครน 3..) ความตึงเครียดในตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น หลังจากอิสราเอลบุกโรงพยาบาลในภาคเหนือของกาซาเมื่อวันศุกร์ และโจมตีเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับขบวนการฮูตีในเยเมน ความเสี่ยงในปี 2025 ที่ตลาดให้น้ำหนักคือ มาตรการคว่ำบาตรที่น่าจะเกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามาบริหารประเทศ KSS ประเมินแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติยังเป้นขาลง แม้ระยะสั้นจะมีปัจจัยหนุนจากปัจจัยดังกล่าวโดยเฉพาะสงคราม แต่ประเมินสถานการณ์ยังไม่ขยายเป็นวงกว้าง ยังไม่กระทบแหล่งผลิตน้ำมันอย่างมีนัยยะ

(*/-)US Monitor : Janet Yellen รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯระบุในจดหมายที่ส่งถึงสมาชิกสภาคองเกรสเมื่อวันศุกร์คือภายใต้ข้อตกลงงบประมาณปี 2023 สภาคองเกรสได้ระงับใช้เพดานหนี้จนถึงวันที่ 1 ม.ค.2026 การไม่ดำเนินการใดๆอาจทำให้กระทรวงการคลังไม่สามารถชำระหนี้ได้ และการผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง อาจต้องใช้มาตรการพิเศษอย่างเร็วที่สุดหนี้จะแตะเพดานใหม่ระหว่า 14-23 ม.ค. 2025 เพื่อป้องกันไม่ให้สหรัฐฯ เริ่มผิดนัดชำระหนี้ KSS ประเมินเป็นจิตวิทยาลบต่อตลาดหุ้นสหรัฐระยะสั้น เพราะเคยเกิดขึ้นในอดีตหลายครั้ง และในท้ายที่สุดรัฐบาลสหรัฐจะคลี่คลายปัญหา

(*) To monitor : ฝั่งจีน 30 ธ.ค. ติดตามรายงาน PMI เดือน ธ.ค. ของทางการจีน คาดภาคผลิต 50.3 จุด เท่าเดือนก่อน, ภาคบริการ 50.2 จุด vs prev. 50.0 จุด, 2 ธ.ค. ติดตามรายงาน PMI ภาคผลิต ธ.ค. สำนัก Caixin คาด 51.6 จุด vs prev. 51.5 จุด ฝั่งสหรัฐ 2 ม.ค. ติดตามรายงาน S&P Global PMI ภาคผลิต ธ.ค. คาด 48.3 จุด เท่าเดือนก่อน, 3 ธ.ค. ติดตามรายงาน ISM PMI ภาคผลิต ธ.ค. คาด 48.3 จุด vs prev. 48.4 จุด ฝั่งยุโรป 2 ม.ค. ติดตาม PMI ภาคผลิต ธ.ค. คาด 45.2 จุด เท่าเดือนก่อน

(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐแกว่งตัว อิง อายุ 2 ปี แกว่งตัวอยู่ที่ 4.33% และอายุ 10 ปีปรับขึ้น +4 bps อยู่ที่ 4.622%ทำจุดสูงสุดในรอบราว 7 เดือน (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มประกันชีวิต BLA, TLI กลุ่มธนาคาร KBANK KTB ส่วน Dollar Index แกว่งตัวอ่อนค่าลงมาบริเวณ 107.8 จุด

(*/+)Oil : ราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวต่ออิง น้ำมันดิบ Brent +1.2%d-d ปิดที่ USD 74.2/barrel น้ำมันดิบ WTI +1.4%d-d ปิดที่ USD 70.6/barrel แรงหนุนจากปริมาณสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ -4.2 ล้านบาร์เรลที่ลดลงมากกว่าที่ตลาดคาด 7 แสนบาร์เรล โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกระยะสั้นต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ PTT, PTTEP

 

What happened in Thailand?

(*/+) SET : SET Index วันทำการล่าสุด แม้มูลค่าการซื้อขายเบาบาง 2.98 หมื่นล้านบาท และผันผวนท้ายตลาดจากการ Rollover TFEX แต่ยังปิดปรับขึ้น +3.66 จุด หรือ +0.26% ปิดที่ 1401.46 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มพลังงาน (PTT,GULF) PTT จากราคาน้ำมันประคองตัวคาดหวังผลบวกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน GULF ฟื้นตัวจากแรงกดดัน Yield สหรัฐฯ เริ่มทรงๆ + ราคาก๊าซ NYMEX -6.0% กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, INTUCH) เด่นในฐานะหุ้น Dividend สูงที่มัก Outperform ช่วงต้นปี ขณะที่ธุรกิจยังเดินหน้าในทางบวกกำไร 4Q24F ยังมีแนวโน้มเด่น กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มธนาคาร (KBANK, TTB) ประเมินเป็นการขายทำกำไร หลังวานนี้ปรับขึ้นนำตลาด กลุ่มค้าปลีก (CPAXT, CPALL) แกว่งผันผวนต่อเนื่อง หลัง AIMC มีมติให้สมาชิก บลจ. พิจารณาลงทุนใน CPAXT ด้วยความระมัดระวัง

(*/+) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลเข้า ขายหุ้น -2.34 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +16.4 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Long 30,434 สัญญา เงินบาทแข็งค่าทรงตัว 34.05+/- บาท

(*/+) Retail & Infra Tech: "ฐานเศรษฐกิจ" สำรวจความคิดเห็นผู้บริหารระดับสูง 50 ราย มองเศรษฐกิจไทยปี 68 ท่ามกลางความท้าทาย 67.3% คาด GDP โต 2-3% เร่งลงทุนด้าน AI-ดิจิทัล ชี้ Artificial Intelligence (AI) และ Machine Learning (ML) เป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนเกม พร้อมรับเทรนด์ ESG-ความยั่งยืน ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นในธีม Infrastructure Tech อาทิ WHA, GULF, ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK ระยะสั้นเน้นหุ้นที่มี Yield สูงที่มักเคลื่อนไหวเด่นช่วงต้นปีก่อนประกาศผลประกอบการ+เงินปันผล อาทิ ADVANC, INTUCH (เพื่อนำไปรวมกับ GULF เป็น Newco)

(*) SET50/100 Rebalance : 30 ธ.ค. การ Rebalance ดัชนี SET50/100 มีผลราคาปิด

• หุ้นที่เข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU SAWAD COM7 และ CCET

• หุ้นที่หลุดออกจาก SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ CENTEL BCP TIDLOR และ EA

• หุ้นที่เข้า SET100 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ JTS, CCET, PR9, COCOCO

• หุ้นที่หลุดออก SET100 รอบนี้ 4 บริษัท คือ MBK, RBF, TIPH, TOA

กลยุทธ์ เลือกลงทุนหุ้นมีภาพบวกในปี 2025F ซึ่งมีโมเมนตัมต่อหลังถูกเพิ่มน้ำหนัก อาทิ SAWAD แรงหนุนวงจรดอกเบี้ยปี 2025 ภาพหลักเป็นขาลง+เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว หรือในกลุ่มที่ถูกปรับออกจากดัชนี เน้น CENTEL (ฟื้นตามท่องเที่ยว 4Q24 ปี 2025F เด่น ชดเชยภาระต้นทุนโรงแรมใหม่ได้ดีกว่าคาดเดิม, MBK เด่นในธีม Entertainment Complex มีความคืบหน้าทยอยทั้งปี 2025F)

(*/+) Nov 24 Econ: BOT ออกรายงานเศรษฐกิจไทยใน พ.ย. 24 ชะลอลง m-m หลักๆจากการบริโภคภาคเอกชนลดลง หลังจากที่เร่งไปในเดือนก่อนจากมาตรการเงินโอนภาครัฐ สอดคล้องกับกิจกรรมในภาคการค้า ด้านการลงทุนภาคเอกชนปรับลดลงจากทั้งหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ และหมวดก่อสร้าง อย่างไรก็ดี ดัชนีการบริโภคเอกชนยังขยายตัวได้ 0.7%y-y รวมถึงดัชนีการลงทุนภาคเอกชน ยัง +2.6%y-y ขณะที่เราประเมินระยะสั้น ธ.ค. 24 ที่เป็นฤดูจับจ่ายเฉลิมฉลอง ผสาน การทยอยกลับมาออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี น่าจะหนุนเห็นการขยายตัวอีกครั้ง ส่วนกล่มที่ยังแรงหนุน คือ ภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวยังขยายตัวได้ การใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวต่อเนื่องจากทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุน และการส่งออกที่ฟื้นตัวรายสินค้า เราประเมินสัญญาณเศรษฐกิจสอดคล้องกับตลาดประเมิน คือ งวด 4Q24 GDP ยังเด่นสุดของปี และขยายตัวต่ออีก 2.9% ในปี 2025 เชิงกลยุทธ์ เราประเมินหุ้น Domestic ธนาคาร SCB, KBANK ค้าปลีก CPALL, BJC ท่องเที่ยว AOT, AWC, ERW, CENTEL เด่น

(*) TH MPI : ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) พ.ย. 24 อยู่ที่ระดับ 93.41 หดตัว -3.58%y-y v อุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบหลักๆ คือ ยานยนต์ น้ำมันปาล์ม และชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ ส่วนที่ส่งผลวก คือ เครื่องจักรที่ใช้งานทั่วไป (อาทิ เครื่องปรับอากาศ) สัตว์น้ำบรรจุกระป๋อง และเสื้อผ้า ขณะที่ปี 25 สศอ. คาดการผลิตภาคอุตสาหกรรมจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง จากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐ โดยรวมเรามองเป็นกลาง เนื่องจากปัจจัยกดดันกลุ่มยานยนต์ถือเป็นเรื่องที่สะท้อนในความคาดหวังตลาดไปแล้ว ส่วนกลุ่มที่ยังขยายตัวดี ประเมินจิตวิทยาบวกต่อ TU เสื้อผ้า จิตวิทยาบวกต่อ SABINA

(*) To Monitor: สัปดาห์นี้ปัจจัยภายใน ติดตาม

1.) 2 ม.ค. PMI ภาคผลิต ธ.ค. 24 ไม่มีคาด vs prev. 50.2 จุด

2.) การไถ่ถอนกองทุน LTF ครบกำหนด ทั้งนี้ เราประเมิน LTF ในปี 2019 ที่จะเริ่มขายได้ในปี 2025 เราประเมินยอดซื้อในปีนั้นราวๆ 6.8 หมื่นล้านบาท ซื้อทุนเฉลี่ยที่ดัชนี SET Index ระดับ 1642 จุด (คิดจากราคา Mid price และยอดซื้อ LTF ในแต่ละเดือน) ดังนั้น

i.) หากประเมินจากระดับดัชนีปัจจุบัน เราคาดว่าแรงขายจะมีน้อยในช่วงเดือนม.ค. เนื่องจากนักลงทุนที่ลงทุนในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีผลขาดทุนอยู่ และมีโอกาสที่นักลงทุนจะรอไปขายในช่วงปลายปีมากกว่า (รอให้ขาดทุนน้อยลง + รอขายออกมาเพื่อสลับไปซื้อกอง TESG วนลดหย่อนภาษี)

ii.) ส่วนหากประเมินจากค่าเฉลี่ยย้อนหลังพบว่าแรงขาย LTF ส่วนใหญ่จะขายหนักในเดือนม.ค. และค่อยๆ ขายในเดือนที่เหลือ โดยค่าเฉลี่ย 3 ปี ของปี 2017-2019 แรงขาย LTF ในเดือนม.ค. ที่ประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท และทั้งปีเฉลี่ย 4.7 หมื่นล้านบาท

 

Daily Strategy : ADVANC, BTS BJC เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "Sideways/Up" Dollar Index ยังแกว่งบริเวณ 108 +/- จุด (vs จุดสูงสุด 108.7 จุด) ทำให้ค่าเงิน EM ส่วนใหญ่ยังแกว่งไปตามแนวโน้มเศรษฐกิจ อิงรายงาน BOT ฝั่งไทยยังอยู่ในเกณฑ์การขยายตัวสูง y-y ยังชัดเจนใน พ.ย. 24 เงินบาทเช้านี้ยังอยู่ในโซนแข็งค่า 34.0 +/- บาท ผสาน หุ้นอยู่ในโซนลงทุนลงทุนระยะกลางกรอบ 1420-1370 จุด (Forward Equity Risk Premium สูง 4.76%-4.52%) > AVG +1 S.D. ที่ 4.05% คงมุมมองโอกาสเห็น Flow ต่างชาติสลับซื้อมากขึ้นและการเกิด Window Dressing ปลายปี หุ้นนำ คือ กลุ่ม Domestic ที่ขับเคลื่อนการฟื้นตัว โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในช่วงฤดูกาล+กลุ่มให้ Yield สูงที่เป็นเป้าหมายช่วง Dividend Season ต้นปี 2025F ค้าปลีก ท่องเที่ยว สื่อสาร ธนาคาร

หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT

กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP

กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย

กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)

กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, CPALL, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
• DEC24 Best Picks : ADVANC, BJC, BTS, GULF, AOT, IVL, MALEE

• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

KSS Strategist Comment: SET UPDATE ตลาดหุ้นเริ่มฟื้นตัวจากแนวรับทางเทคนิคบริเวณ 1360-65 จุด สอดคล้องมุมมองเราประเมินความผันผวนอยู่ในช่วงปลายแล้ว อิงระดับ Current Equity Risk Premium ใกล้ AVG + 1S.D. เชิงกลยุทธ์ แนะนำให้เริ่มทยอยสะสมรอการฟื้นตัวรอบใหม่ ส่วนระยะสั้นหากเน้นเก็งกำไรเราประเมินสัปดาห์หน้า SET มีโอกาสฟื้นตัว จากแรงหนุน

1.) ครม. เตรียมพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ Easy E-Receipt และ Digital Wallet เฟส 2 ลุ้นเปิด Upside ของ GDP ปี 2025F

2.) อิงสถิติ 5 ปีย้อนหลัง มักเกิด Santa' Rally ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี โดยมีความเป็นไปได้ที่จะให้ผลตอบแทนเป็นบวก 100% และให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +1.5% โดยรอบนี้เรามองมีโอกาสเกิดเช่นกัน จากตลาดที่อยู่ในโซนลงทุน และคาดเม็ดเงินลงทุนภายในลดหย่อนภาษีระยะกลาง-ยาวจะเร่งขึ้นส่งท้ายปี

3.) Current Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.0% +/- ใกล้ AVG + 1S.D. ที่เป็นจุดกลับตัวในภาวะปกติ สอดคล้องสัญญาณ Fund Inflows เริ่มกลับมาเป็นบวก วานนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทย ขณะที่วันนี้ซื้อพันธบัตรต่ออีก 1.89 พันล้านบาท

Strategy: เราคงมุมมองตลาดหุ้นปัจจุบันประเมินความผันผวนช่วงปลายแล้ว และปัจจุบันอยู่ใน Value Zone (1345-1370 จุด) เชิงกลยุทธ์แนะนำเริ่มทยอยสะสมหุ้นเพื่อลงทุนระยะกลาง-ยาว ส่วนการลงทุนระยะสั้น เราประเมิน SET มีโอกาสฟื้นตัวจากปัจจัยบวกที่รอในสัปดาห์หน้า โดยเน้นหุ้นในธีม Domestic

o กลุ่มธนาคาร KBANK, KTB,

o กลุ่ม ICT ADVANC, TRUE

o กลุ่มขนส่ง BTS,

o กลุ่มค้าปลีก BJC, CPALL, HMPRO, CRC

o กลุ่มท่องเที่ยว AWC

o กลุ่มปิโตรเคมี IVL

• SET50/100 Rebalance Update: ตลาดประกาศผลการ Rebalance ดัชนี SET50/100 รอบ 1H25 คาดการ Rebalance มีผลเริ่มใช้ 1 ม.ค. 2025

• หุ้นที่เข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU SAWAD COM7 และ CCET

• หุ้นที่หลุดออกจาก SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ CENTEL BCP TIDLOR และ EA

• หุ้นที่เข้า SET100 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ JTS, CCET, PR9, COCOCO

• หุ้นที่หลุดออก SET100 รอบนี้ 4 บริษัท คือ MBK, RBF, TIPH, TOA

กลยุทธ์ แนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET50-SET100 เนื่องจากมีความเสี่ยงในการลดน้ำหนักจาก Index Fund ขณะที่แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้เราแนะนำ SAWAD และ BANPU เด่น

• Strategy Update : กองทุนลดหย่อนภาษีเด่นปลายปี 2024 ที่ไม่ควรพลาด

ทีมกลยุทธ์ชวนวางแผนลดหย่อนภาษีช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี ผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี SSF, RMF และ TESG โดยอิงจากน้ำหนักการลงทุน KSS Rating ที่ทีมกลยุทธ์ให้ไว้ในบทวิเคราะห์ Cross Asset Strategy ตามตาราง Exhibit 1 เราเลือกการลงทุนสินทรัพย์ประเภท Fixed Income (ทั่วโลก), Equities (ไทย จีน เอเชีย) เป็น Top pick สำหรับการลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีในปี 2024 นี้ และกองทุน Top pick ได้แก่ UGIS-SSF/UGISRMF, KFACHINSSF/KFACHINRMF, K-TNZ-ThaiESG, KFTHAIESGA

สำหรับผู้ที่มีเงินได้ในปี 2024 และต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี และต้องการลงทุนระยะยาว สามารถเลือกลงทุนได้ผ่านกองทุนลดหย่อนภาษีในทุกประเภท ทั้ง SSF, RMF และ TESG โดยกองทุน RMF และ SSF สามารถลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ โดยกองทุนทั้ง 2 ประเภท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ แล้วต้องไม่เกิน 5 แสนบาท ส่วนกองทุน TESG สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ และสูงสุดไม่เกิน 3 แสนบาท รายละเอียดเพิ่มเติมแสดงไว้ใน Exhibit

สำหรับผู้มีเงินได้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี และใส่ใจในระยะเวลาถือครอง แนะนำสำรวจช่วงอายุของนักลงทุน โดยสำหรับนักลงทุนที่อายุต่ำกว่า 51 ปี กองทุน TESG

กลยุทธ์ Tax Allowance Fund Strategy:

กองทุน SSF และ RMF (ลดหย่อนได้ประเภทละ 30% แต่ SSF ไม่เกิน 200,000 บาท และรวมกันกับ RMF และกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ) แนะนำ UGIS-SSF/UGISRMF (GlobalBond), KFACHINSSF/KFACHINRMF (China)

กองทุน TESG (ลดหย่อนได้ 30% หรือสูงสุด 300,000 บาท) แนะนำ KFTHAIESGA และ K-TNZ-ThaiESG

 

• Soft Commodity (Neutral): ราคาถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น +1.5%w-w คาดจากความต้องการซื้อถั่วเหลืองเพิ่มขึ้นในภาวะราคาต่ำ ราคาน้ำตาลลดลง -2.2%w-w เนื่องจากแนวโน้มอุปทานทั่วโลกดีขึ้น บราซิลเร่งผลิตน้ำตาลเพื่อส่งออกเพราะค่าเงินเรียล(BRL)อ่อนค่าและคาดการผลิตในไทยฤดูกาล 2024/25 เพิ่มขึ้น ราคายางพาราลดลง -1.9%w-w จากสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้คลี่คลาย ความกังวลด้านอุปทานลดลง ส่วนด้านอุปสงค์คาดชะลอการซื้อในช่วงสิ้นปี ราคาน้ำมันปาล์มลดลง -0.6%w-w จากปริมาณการส่งออกของมาเลเซียลดลง เพราะอุปสงค์ลดลงในหน้าหนาวเนื่องจากการจัดเก็บทำได้ยาก อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ราคาไก่ เพิ่มขึ้น +5.2%w-w อยู่ที่ 40.50 บาท (ต้นทุน 36-37 บาท) เพราะอุปสงค์เพิ่มขึ้นในฤดูกาลท่องเที่ยว ราคาสุกรทรงตัว w-w ที่ 73.50 บาท (ต้นทุน 66-67 บาท) ราคาสุกรจีนลดลง -1%w-w ที่ 15.53 หยวน หรือ 72.49 บาท (ต้นทุนการเลี้ยง 15.50 หยวน) จากความต้องการเพิ่มขึ้นน้อยกว่าอุปทานที่เพิ่มขึ้น ราคาสุกรเวียดนามเพิ่มขึ้น +3.1%w-w ที่ 66,833 ดอง หรือ 89.48 บาท (ต้นทุนการเลี้ยง 45,000 ดอง) โดยเฉพาะในฮานอยอยู่ที่ 69,000 ดองสูงที่สุดในประเทศ คาดมาจากอุปทานลดลงเพราะโรคอหิวาต์แอฟริกา (ASF) และความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้นช่วงสิ้นปี

เราให้น้ำหนักกลุ่มฯ NEUTRAL เรายังคงเลือก CPF (TP25F 30) เป็น Top pick ราคาเนื้อสัตว์มีแนวโน้มฟื้นตัว ขณะที่ต้นทุนอาหารสัตว์ลดลงต่อเนื่อง

 

 

 

 

2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility

Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE


Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ยืน 1200 จุด By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ในท้องทุ่งสีเขียว หุ้นไทยบวกยืน 1200 จุดได้อีกครั้ง ...

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้